Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
15 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 
ย้อนรอย สืบรากฯ จีน-สยาม 5 ภาษา



     โครงการจีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา โครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาศรมสยาม-จีนวิทยา ได้ร่วมกันจัดสัมมนาเรื่อง "จีนสยาม 5 ภาษา" ขึ้น (10 ก.ย. 2553) ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านจีน เพื่อนำทางย้อนรอยค้นรากวัฒนธรรมของชาวจีนแต่ละกลุ่มภาษา ที่มุ่งหน้าสู่สยามแต่ครั้งบรรพกาล แล้วตั้งหลักปักฐานใช้ชีวิตอยู่ในสยามตราบจนปัจจุบัน

ในพิธีเปิดกล่าวรายงานโดยรศ.ดร.มาลินี ดิลกวณิช ประธานโครงการจีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา และกล่าวเปิดงานโดย รศ.ดร. ชัชวดี ศรลัมพ์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากพิธีเปิดพิธีกร อ.ดร.สุรสิทธิ์ อมรวณิชศักดิ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวแนะนำวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านจีนแต่ละกลุ่มภาษา โดยเริ่มต้นการเสวนาจากกลุ่มจีนแคะ หรือจีนฮากกาเป็นลำดับแรก แล้วตามด้วย จีนกวางตุ้ง จีนฮกเกี้ยน จีนแต้จิ๋วและจีนไหหลำ ตามลำดับ


แคะนักอพยพ

     วิทยากรบรรยายมีสองท่าน คือ อาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา และคุณนพดล ชวาลกร ผู้อำนวยการศูนย์ฮากกาศึกษา

อาจารย์วรศักดิ์ได้เขียนหนังสือ "คือฮากกา คือจีนแคะ" ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากแรงบันดาลใจที่ต้องการจะสืบค้นประวัติการอพยพของบรรพบุรุษของท่าน หนังสือเล่มนี้จึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับชาวจีนแคะอีกหลายคนให้มุ่งหน้าค้นหารากเหง้าของตน รวมทั้งคุณนพดลด้วย และจากการสืบค้นประวัติดังกล่าว จึงทำให้อาจารย์วรศักดิ์สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจีนฮากกาไว้เป็นจำนวนมาก ท่านเล่าประวัติจีนฮากกาว่า

" จีนฮากกาเป็นนักอพยพ ซึ่งอพยพประมาณสี่หรือห้าระลอกด้วยกัน แต่ละครั้งนั้นประดุจแผ่นดินไหว เป็นการเคลื่อนตัวของคนนับพันนับหมื่น จึงทำให้จีนฮากกามีสำเนียงการพูดที่แตกออกเป็นสิบแปดลักษณะ"

จากการอพยพบ่อยครั้งนี้เองทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับเจ้าของถิ่น เดิม อาจารย์วรศักดิ์ยกตัวอย่างที่สำคัญคือ "ในสมัยราชวงศ์ชิง จีนฮากกาขัดแย้งกับจีนกวางตุ้ง ถึงกับทำสงครามเสียชีวิตคนนับแสน เมื่อไม่สามารถแย่งที่อันอุดมสมบูรณ์มาได้ จีนฮากกาจึงอพยพเข้าสู่เขตป่าเขาทุรกันดาร"

คุณนพดลกล่าวเสริมในประเด็นหลัก "หลังจากที่จีนฮากกาอพยพเข้าสู่ป่าเขาแล้ว การดำรงชีวิตไม่ได้สมาคมกับโลกภายนอก จึงทำให้ลักษณะเฉพาะของชาวจีนฮากกาเป็นคนเก็บตัว และใช้ชีวิตมุ่งไปสู่การศึกษาเป็นหลัก เช่น แต่งบทกวี เรียนปรัชญาการปกครอง เพื่อเข้าสู่การสอบคัดเลือกเป็นขุนนางในราชสำนักจะเห็นได้ว่าในบรรดาขุนนางจีนนั้นมีชาวจีนฮากกาจำนวนพอสมควร"

"เมื่อจีนฮากกาบางกลุ่มอพยพเข้ามาสู่สยาม กลับหันมาประกอบอาชีพด้านหัตถกรรม เราจะเห็นงานฝีมือด้านเครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า ช่างเงิน ช่างทองฯ ล้วนเป็นธุรกิจที่ชาวฮากกาผูกขาด เมื่อทำงานด้านหัตถกรรม ค่าตอบแทนจึงเป็นรายชิ้น ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยได้ค่าตอบแทนน้อย จีนฮากกาในไทยจึงมีลักษณะตระหนี่เป็นส่วนมาก" คุณนพดลกล่าวเสริม

อาจารย์วรศักดิ์ทิ้งท้ายเกี่ยวกับอาหารการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของจีนฮากกา ว่าไม่เหมือนกับจีนอื่น ๆ อีก ๔ กลุ่มภาษา อาหารของจีนฮากกามีไม่มาก ที่เห็นได้ชัดเจนก็เป็นจำพวกของอบ เช่น ไก่อบ ฯ เป็นต้น


กวางตุ้ง: อาชีพกับความเชื่อ

     วิทยากรได้แก่คุณยุวดี ต้นสกุลรุ่งเรือง ชาวจีนกวางตุ้ง เจ้าของผลงาน "จากอาสำถึงหยำฉ่า" หนังสือที่บอกเล่าถึงเรื่องราวการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานของชาวจีนกวางตุ้งที่ หนีความยากลำบากจากแผ่นดินใหญ่ เข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินไทย และอีกท่านคือคุณแสงอรุณ กาญจนรัตน์ นักจัดรายการวิทยุ

คุณยุวดีชี้ให้เห็นว่า "ชาวจีนกวางตุ้งอพยพมาไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยพบหลักฐานว่ามีท่าเรือนานาชาติ ที่มีเรือสำปั้นมาจอด (เทียบเคียงตามหลักภาษาได้ว่า ซั่งปั๋น ซึ่งหมายถึง กระดานสามแผ่น) ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นชาวกวางตุ้งที่มาเป็นช่างต่อเรือให้กับราชสำนักอยุธยา"

แสดงให้เห็นอดีตที่ยาวไกลของชาวจีนกวางตุ้ง อย่างไรก็ตาม คุณแสงอรุณตั้งคำถามถึงประเด็นการอพยพสมัยใหม่ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่ามีความน่ากลัว และสูญเสียชีวิตคนจำนวนมาก ต้องประสบชะตากรรมสารพัด

คุณยุวดีตอบว่า "สำหรับการอพยพสมัยใหม่ พบในช่วงระหว่างสงครามโลก การอพยพหาได้มีภาพที่น่ากลัวดังที่หลายคนจินตนาการ การล่องเรือมานั้นค่อย ๆ เลียบชายฝั่งมาเรื่อย ๆ นายเรือเลือกฤดูที่ปลอดมรสุม ทำให้มีความปลอดภัยสูง" พลางกล่าวต่อไปว่า

"ชาวแต้จิ๋วจะไปลงเรือที่ท่าทรงวาด ส่วนเรือจีนกวางตุ้งจะมาจอดที่สาทร ตลาดน้อย และแถบวัดญวน (วัดกรรมาตุยาราม) เมื่อขึ้นเรือก็ปักหลักอยู่รวมกันเป็นชุนชน แล้วยึดอาชีพช่างกลึง ค้าขาย และเป็นพ่อครัวเป็นหลัก"

คุณแสงอรุณมีคำถามเพิ่มเติมในส่วนของอาชีพว่า "นอกจากอาชีพพ่อครัวแล้วผู้หญิงกวางตุ้งทำอะไร" คุณยุวดีจึงเล่าเรื่องอาสำให้ฟังว่า

"สิ่งที่น่าสนใจคืออาชีพของหญิงกวางตุ้ง ซึ่งมีลักษณะพิเศษ เนื่องจากหญิงกวางตุ้งรักอิสระ หญิงจีนกลุ่มอื่นอพยพตามสามี ส่วนหญิงกวางตุ้งบางคนหนีการแต่งงาน มาเป็นแม่บ้านราคาแพง หรืออาสำ เพราะทำอาหารเป็น พูดจีนเป็น พวกเศรษฐีมักจะจ้างไว้เลี้ยงลูก โดยมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคอยชี้นิ้วสั่งแม่บ้านเล็ก ๆ เศรษฐีฝรั่งก็ใช้หญิงกวางตุ้งเป็นคนเลี้ยงลูก คิดว่าอาชีพนี้น่าจะเป็นอาชีพสำคัญของหญิงกวางตุ้งอีกอาชีพหนึ่งทีเดียว"

พูดไปพูดมาไม่พ้นเรื่องการสังเกตพฤติกรรมของครอบครัวและเพื่อนบ้าน คุณยุวดีรวบยอดพฤติกรรมชาวกวางตุ้งว่า "โดยลักษณะทั่วไปของคนกวางตุ้งมักชอบใช้จ่าย และช่างเจรจา วันหนึ่งหากชาวกวางตุ้งได้นั่งสนทนากันจะมีเสียงเอ็ดตะโรเป็นเวลานาน นอกจากนั้นชาวกวางตุ้งมักจะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องสี ทะเบียนรถ ฯลฯ"

เรื่องที่สนุกที่สุดในการสัมมนานี้น่าจะเป็นตัวอย่างความเชื่อของชาวกวางตุ้งที่คุณยุวดีเล่าให้ฟังว่า

"เมื่อครั้งมีการก่อสร้างโรงแรมที่หม่าเก๊า เจ้าของโรงแรมจะนำเงินทุกสกุลใส่ลงไปในเสาเอก เป็นความเชื่อว่าเพื่อให้ดึงดูดเงินทุกสกุลให้เข้ามาในกาสิโน ตัวตึกต้องสร้างเป็นค้างคาวแวมไพร์ดูดเลือด พนักงานทุกคนต้องมีดวงเป็นนักพนัน ไม่เช่นนั้นไม่รับเข้าทำงาน นิ้วชี้ต้องใส่แหวนเป็นรูปค้างคาวดูดเลือด เขาจะหมุนแหวนหนึ่งรอบให้ค้างคาวหันหน้าออกให้บินไปดูดเลือด คนแก้ก็ใส่เฟืองบินมาตัด นี่เป็นความเชื่อแม้กระทั่งในโรงพนัน ครั้นชนะพนันได้เงินมาเยอะก็ห้ามนำเงินกลับบ้าน เพราะเงินที่ได้จากการพนันเชื่อว่ามีผี ต้องซื้อของให้หมด ดังนั้นบ้านชาวกวางตุ้งแม้มีฐานะไม่ร่ำรวย แต่มักจะอุดมไปด้วยของแบรนด์เนมราคาแพงมากมาย"

สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนสมัยใหม่ แต่ก็เป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกอยู่ในความเป็นคนกวางตุ้งสืบมา


ฮกเกี้ยน: ความเชื่อแฝงในบ้านหลังงาม

     หลังจากจีนกวางตุ้งจบลง ก็มาถึงจีนกลุ่มที่สามคือจีนฮกเกี้ยน ผู้จัดได้เชิญ ดร.ขวัญจิต ศศิวงศาโรจน์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นผู้จัดทำสารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ฮกเกี้ยน และคุณนพพร ภาสะพงศ์ นักเขียนอิสระ เป็นผู้บรรยาย

ทั้งสองท่านสลับกันพูดและเปิดเรื่องด้วยการกล่าวถึงละครที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจีนฮกเกี้ยนว่า

"หากท่านใดได้ชมละครเรื่องบะบ๋า ยะหย๋า ก็จะเห็นภาพสะท้อนของความเป็นจีนฮกเกี้ยนได้มากทีเดียว จีนฮกเกี้ยนนั้นเป็นจีนกลุ่มแรกที่อพยพมาสู่สยาม"

ดร.ขวัญจิต ยกงานเขียนของสกินเนอร์ที่กล่าวว่า "ชาวจีนล่องเรือเข้ามาค้าขายและรับราชการในตำแหน่งออกขุน ในปี พ.ศ.2012 หลักฐานสำคัญก็คือศาลเจ้าที่ชาวจีนฮกเกี้ยนเป็นผู้สร้างการอพยพช่วงแรกใช้ เรือสำเภาล่องมาตามอ่าวไทย มาปักหลักอยู่ทางภาคตะวันออกและภาคกลางของไทย"

"ต่อมาจีนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คนฮกเกี้ยนไม่พอใจก็อพยพมาไทยเป็นระลอกที่สอง และในช่วงหลังสงครามโลก ภาคใต้ของไทยก็มีการค้นพบสายแร่ดีบุก ทำให้ชาวฮกเกี้ยนอพยพมาเป็นกุลีในเหมือง กลุ่มนี้เป็นกลุ่มล่าสุด ดังนั้นขณะนี้จึงพบชาวฮกเกี้ยนหนาแน่นทางภาคใต้ของไทย" ดร.ขวัญจิตกล่าว

คุณนพพรเปลี่ยนประเด็นไปสู่สถาปัตยกรรมและความเชื่อของชาวฮกเกี้ยนว่า

"หลังจากมาตั้งหลักปักฐานแล้ว ชาวฮกเกี้ยนได้นำสถาปัตยกรรมเฉพาะของตนเข้ามาด้วย บ้านของชาวฮกเกี้ยนจะมีช่องระบายอากาศสี่เหลี่ยม การสร้างบ้านมีความเชื่อแฝงอยู่ ด้านหน้าจะเห็นป้ายชื่อ ตรงกลางเป็นชื่อสกุลของบ้าน เรียกว่า "หน้าปีศาจ" เพราะมีหน้าต่างอยู่ข้างประตู หน้าต่างเป็นตา ประตูเป็นปาก สร้างไว้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย ในบ้านจะมีช่องแสง ภายในบ้านเปิดโล่ง รูปแบบบ้านมีสามลักษณะคือ บ้านตึกดิน บ้านตึกแถว และบ้านเดี่ยว ส่วนเรื่องความเชื่อเฉพาะ ชาวฮกเกี้ยนจะมีหิ้งบูชาเสาซ้ายหน้าบ้าน สำหรับไหว้เทวดาจี้กง"

สำหรับอาหารการกินที่ขึ้นชื่อ ก็ได้แก่ อาหารจำพวกหมูตุ๋น บะจ่าง ชา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ผศ. ถาวร สิกขโกศลกล่าวเสริมในช่วงท้ายว่า ชาวจีนฮกเกี้ยนหาได้อพยพมาจากมณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยนทั้งหมด เป็นแต่เพียงบางส่วนที่พูดภาษาฮกเกี้ยนเท่านั้น


คนแต้จิ๋ว: ฉลาดเปรื่อง มากไหวพริบ

     หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ก็ต่อด้วยกลุ่มจีนแต้จิ๋ว ซึ่ง ผศ.ถาวร สิกขโกศล ที่ปรึกษาโครงการจีนศึกษา และคุณสมชัย กวางทองพาณิชย์ เป็นผู้บรรยาย

การบรรยายเต็มไปด้วยบรรยายกาศที่เผ็ดร้อน ผศ.ถาวรเรียบเรียงและเกริ่นโดยข้อมูลพื้นฐานทางด้านภาษาและวรรณกรรมว่า

"หากเทียบกับกลุ่มจีน 5 ภาษา ชาวจีนแต้จิ๋วมีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย คนไทยจึงคุ้นเคยกับสำเนียงภาษาจีนแต้จิ๋วเป็นอย่างดี ภาษาแต้จิ๋วนั้นสามารถรักษาเสียงและศัพท์ภาษาจีนโบราณไว้ได้มาก มีเสียงวรรณยุกต์หลากหลาย และสามารถอ่านเป็นทำนองเสนาะได้เพราะพริ้ง"

"ในด้านวรรณกรรมที่โดดเด่นของคนแต้จิ๋วคือ "กัวแฉะ" เป็นนิทานคำกลอนที่ช่วยให้ผู้หญิงแต้จิ๋วสามารถอ่านหนังสือได้แตกฉาน วรรณกรรมแต้จิ๋วนี้ได้เผยแพร่ไปทุกถิ่นที่มีคนแต้จิ๋วอาศัยอยู่"

ในบทความของ ผศ. ถาวรเรื่อง "แต้จิ๋ว:จีนกลุ่มน้อยที่ยิ่งใหญ่" ซึ่งตีพิมพ์ในศิลปวัฒนธรรม ยังกล่าวถึงอาหารที่ขึ้นชื่อของแต้จิ๋ว คือ ข้าวต้ม มีทั้งข้าวต้มเครื่องและข้าวต้มขาวกับผักดอง ประกอบกับอาหารอื่น ๆ ทั้งกับข้าว ของว่าง ขนม ซึ่งนับเป็นอาหารที่ประณีตมาก อีกทั้งชาแต้จิ๋ว "กังฮูเต๊" ก็โดดเด่นมีชื่อเสียงเหนือชาทั้งปวง มีอุปกรณ์ประณีต ขั้นตอนการชงชาล้วนพิถีพิถันนับว่าเป็นยอดชาของจีน

ผศ. ถาวรยกศิลปะที่โดดเด่นของชาวแต้จิ๋ว

"ศิลปะการแสดงของแต้จิ๋วที่เลื่องชื่อ คงไม่พ้น "งิ้วแต้จิ๋ว" ซึ่งแสดงเป็นภาษาท้องถิ่น งิ้วแต้จิ๋วได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบงิ้วที่ยิ่งใหญ่ โดยพิจารณาคุณภาพทางศิลปะและความนิยมแพร่หลาย อีกทั้งเก่าแก่มีอายุไม่ต่ำกว่า 450 ปี"

นอกจากนั้น ด้วยความที่คนแต้จิ๋วเชี่ยวชาญศิลปะอย่างรอบด้าน จึงสามารถผลิตเครื่องเคลือบที่เป็นเอกลักษณ์ งานเย็บปักถักร้อย "ล้วนผู้ชายปักฝีมือเหนือผู้หญิง หาดูได้ยากในมณฑลอื่น" ศิลปะการตัดกระดาษ ศิลปะไม้แกะสลัก ฯ คนแต้จิ๋วจึงขึ้นชื่อว่า "ประณีต" ในทุกเรื่อง แม้กระทั่งการทำนาก็ตาม

ผศ. ถาวรกล่าวสรุปท้ายว่า

"โดยทั่วไป คนแต้จิ๋วมักจะชอบทำการค้า ประกอบธุรกิจ มีเศรษฐีชาวแต้จิ๋วอยู่ทั่วจีนและยังออกไปทำมาหากินในโพ้นทะเล จึงได้รับสมัญญาว่า "ยิวแห่งประเทศจีน" ลักษณะชอบทำการค้ามาจากนิสัยที่กล้าได้กล้าเสีย ประกอบกับคนแต้จิ๋วเป็นจีนที่ฉลาดหลักแหลม มีไหวพริบปฏิภาณสูง "ทั้งฉลาดทั้งเจ้าเล่ห์" แต่กอปรไปด้วยความพิถีพิถัน ทำให้คนแต้จิ๋วประสบความสำเร็จในทุกหนแห่งแม้ในสยามปัจจุบัน"

อย่างไรก็ตามคุณสมชัยก็ได้นำเสนอในส่วนของการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับจีนแต้จิ๋ว ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ และสถานีโทรทัศน์แต้จิ๋ว พร้อมกับได้แสดงภาพของชาวแต้จิ๋วในสมัยโบราณ ล้วนแล้วแต่เป็นภาพหายากและสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตคนแต้จิ๋วในสยามอันมีค่า ยิ่ง


ไหหลำ: พิธีกรรมกับชีวิต

     ในที่สุดก็มาถึงกลุ่มสุดท้าย พิธีกรเรียนเชิญ รศ. พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล นักวิชาการอิสระ และรศ. แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เจ้าของผลงาน "บ่ บั๊ด บ่ ย้ง ก้ง วัฒนธรรมไทยจีน : ไม่รู้ต้องแสวง"

จากข้อมูลทั่วไประบุว่า จีนไหหลำอพยพมาจากเกาะไหหลำของจีน ชาวไหหลำจะมีเป็นจำนวนมากในไทยบริเวณ ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ และสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในเบื้องต้น รศ.พรเพ็ญ เริ่มต้นแสดงภาพเก่าแก่ของตระกูลของท่าน ที่เกาะไหหลำ ซึ่งสะท้อนความเป็นชาวจีนไหหลำผ่านสถาปัตยกรรมและพิธีกรรม

"ศิลปะการสร้างบ้านของจีนไหหลำ มักจะมีกำแพงและมีประตูทางเข้า แต่ว่าประตูนอกกับประตูในจะเยื้องกัน ถือเป็นเรื่องฮวงจุ้ย มีศิลปะเป็นประตูโค้ง ทางเข้าไปในตัวบ้านมีภาพวาดสะท้อนความชื่นชอบทางด้านศิลปะ"

"สาเหตุที่แต่ละบ้านประตูตรงกัน แล้วตั้งโต๊ะตรงกลาง เพราะเป็นบ้านญาติสนิทสกุลเดียวกันทั้งหมด ชาวจีนไหหลำจึงอยู่อาศัยกันเป็นครอบครัวใหญ่ เวลามีพิธีกรรม เช่นการไหว้พ่อแม่ มักจะมีการจุดประทัดภายในตัวอาคาร การออกแบบบ้านในลักษณะนี้จึงเอื้อต่อพิธีปฏิบัติอย่างมาก" รศ.พรเพ็ญกล่าว

จากนั้น รศ.แสงอรุณได้พูดถึงสิ่งที่ชาวไหหลำนับถือ คือ "ไห่กง" ท่านเปาหน้าขาว นอกจากนั้นยังมีเจ้าที่ประจำถิ่นคือ "พกเด๊กกง" คนจีนไหหลำจะนำติดตัวเสมอ คือเอาความเชื่อนี้ไปด้วยเสมอ พก แปลว่าวาสนา ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างรูปปั้นเคารพที่บ้านบึง จังหวัดชลบุรี

สิ่งที่ รศ.แสงอรุณเล่าให้ฟังก็คือการแสดงงิ้วของชาวจีนไหหลำ

"ชาวไหหลำยังมีการแสดงงิ้วในพิธีกรรมที่สะท้อนความเชื่อด้านวิญญาณ จะเชื่อว่า "ติ้วกวั๊น" ภูตประจำโลงศพจะมาขัดขวางไม่ให้วิญญาณออกมาจากโลงศพ ต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองติดสินบนให้วิญญาณออกมาได้ ดังเช่นพิธีเบิกโลงของคนไทยต้องมีคนตอบสามครั้งเพื่อไม่ให้วิญญาณอื่นมาจับ จองโลง นอกจากนั้นยังมีฉากพกเด๊กกง เจรจาต่อรองกับปีศาจ ต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองแทบทั้งเรื่อง ท้าวเวสสุวรรณแต่งตัวออกมาพิพากษาความดีความชั่วของวิญญาณ เพื่อให้ลูกหลานสบายใจ และในตอนที่วิญญาณอำลาลูกหลาน จะสมมติให้วิญญาณขึ้นไปบนหอสูง มองอย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นฉากที่น่าเศร้ามาก เป่าปี่สามครั้งวิญญาณต้องลาจาก"

ความเชื่ออีกประการที่น่าสนใจที่ รศ.แสงอรุณได้หยิบยกขึ้นมาก็คือ มารดาเมื่อคลอดลูกทำให้ดินเปื้อนเลือดเป็นบาปหนัก ครั้นสิ้นชีวิตต้องแก้บาปด้วยการให้ลูกหลานทำพิธีชำระโลหิต จึงจะพ้นกรรม ถือว่าคลอดลูกเป็นบาป กงเต็กชาวจีนทุกภาษามีพิธีนี้ มีการพรรณาความทุกข์ของแม่ตั้งแต่ตั้งท้อง การกินน้ำแดงในพิธีกงเต็ก (น้ำจะแช่เปลือกอั่งขักจนรสฝาดเฝื่อนมาก) โดยอุปมาให้กินเลือดที่แม่ทำเปื้อนพื้นดิน เด็ก ๆ มักจะไม่เต็มใจ พี่ ๆ จะดื่มแทนน้อง "ดื่มทุกข์แทนแม่"

ต่อมามีน้ำหวานมาแทน เด็ก ๆ แย่งกันดื่มอย่างมีความสุข ไม่มีอารมณ์สะเทือนใจว่าเรากำลังกลืนทุกข์แทนแม่ ทุกวันนี้ประเพณีดั้งเดิมก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว" รศ.แสงอรุณกล่าวปิดท้าย

บทส่งท้าย: รู้จักจีนสยามไปทำไมกัน

     หลังจากการกล่าวถึงจีนแต่ละกลุ่มภาษาไปแล้ว ผู้จัดได้เรียนเชิญ อ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวรวบรัดประเด็นในวันนี้ ดร.วาสนากล่าวว่า

"กลุ่มชาติพันธุ์จีนที่อยู่ในไทย ไม่ว่าจะเป็นจีนแคะหรือฮากกา จีนกวางตุ้ง จีนฮกเกี้ยน จีนแต้จิ๋ว และจีนไหหลำ นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังสามารถคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ความเป็นตัวตนและ วัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมหรือความเป็นไทยได้ อย่างกลมกลืน เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ สิ่งที่เรียกว่า "จิตสำนึกทางชาติพันธุ์" ซึ่งเป็นกลจักรทางความคิดอันสำคัญที่ทำให้อัตลักษณ์และความเป็นกลุ่ม ชาติพันธุ์ทั้งหลายยังดำรงอยู่ได้ ทั้งยังทำให้เราได้ตระหนักว่า อัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของเรานั้น ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความเป็นชาติเช่นกัน"

ดร.วาสนา พยายามเชื่อมโยงความเป็นจีนสยามให้เข้ากับตนเอง โดยการแสดงภาพต่าง ๆ ในพิธีกรรมความเป็นจีนที่เคยผ่านพบเมื่อวัยเด็ก กอปรกับการศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้ ดร.วาสนาเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน ซึ่งมีประชากรที่หลากหลาย นับรวมกันแล้วมากที่สุดเป็นลำดับหนึ่งของโลก อีกทั้งยังกระจายตัวอยู่ทุกเขตแคว้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้

-----

     จีนสยาม 5 กลุ่มภาษายังมีลักษณะเฉพาะอีกหลายประการให้สืบค้นในทางวิชาการ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ การเสวนาครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะเฉพาะ ที่มา ความเชื่อ พิธีกรรม และอัตลักษณ์ของจีนสยามในแต่ละกลุ่มภาษาอันเป็นการเปิดมิติให้มีการค้นคว้า ในระดับที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งคุณูปการต่อวงการสังคมศาสตร์สืบไป

Credit : ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2553

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์

H O M E



Create Date : 15 ตุลาคม 2553
Last Update : 15 ตุลาคม 2553 0:53:12 น. 13 comments
Counter : 3624 Pageviews.

 


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 15 ตุลาคม 2553 เวลา:3:08:25 น.  

 
หนังสือ ฮากกาคือจีนแคะ ขอโทษนะครับควรต้องปรับปรุงเค้าโครงกันใหม่ รวมถึงคนฮากกาควรตั้งวงสัมมนากันเรื่อยๆ เพราะข้อมูลทางชาติพันธุ์จะมีมาเรื่อยๆ กับเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลุ้น ค้นคว้าทางวิชาการ ที่ต้องหาข้อมูลและความคิดความเห็นใหม่เสมอ ท่านวรศักดิ์ ทำให้คนฮากกาฝังความรู้เกี่ยวกับบรรพชนไว้ในจิตใต้สำนึกไปเลยว่า ชนพันธุ์ฮากกาเป็นชนส่วนน้อย ไหลมาจากแถวเหอหนาน-เหอเป่ย แถบอะไรที่เป็นจงหยวนเดิมๆ ที่เป็นจุดเริ่มประวัติศาสตร์จีน มันแค่นั้นหรือ ที่ชนพันธุ์ฮากกานี่เหมือนนักรบพเนจรลุยถั่วลงมาจากเหนือ มีวัฒนธรรมบ้านนอก มีอาชีพไม่กี่อย่าง ตีหม้อเคาะกาละมังขาย ความจริงชาติพันธุ์ฮาก นี่เสียงมันก็คล้ายๆคำว่าฮั่น เป็็นชนพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับ เป็นฟอสซิลทางภาษา-วัฒนธรรมของจีนยุคหนึ่ง แถมมีส่วนร่วมในภาษาจีนกลางอีกตั้งมาก มันแสดงให้เห็น... คือมันสื่อความนัยว่าฮากกานี่เขาไม่ธรรมดาเลยนะ แหมเงาเบื้องหลังที่มาฮากกานี่มันต้องใหญ่กว่ามากๆที่ท่านวรศักดิ์ ฟันธงฮ่ายๆ อันนี้เรามาเริ่มที่ราชวงศ์ฮั่น (เอาแค่นี้ก่อน)เพราะคนจีนก็เรียกตัวเองว่าคนพันธุ์ฮั่น คือคำว่าฮั่น...นี่ฝรั่งเอาไปเขียนในทางร้ายเพราะโดนพวกมงโกลพันธุ์ผสมเติร์กรุกราน.... คือคนพันธุ์ทางแถบจีน บางสมัยเรียกตนเองว่าฮั่น คือจากราชวงศ์ฮั่นที่มั่นคงยาวนาน คือต่อจากฉินซีที่รวบรวมแผ่นดินจีนแถบจงหยวนไว้ได้เป็นปึกแผ่น คือจากยุคราชวงศ์โจวแล้วแผ่นดินแตกแยกวุ่นวาย แต่ฉินซีปกครองได้แค่กระพริบตา แต่ฮั่นปกครองยาวถึงกว่าสี่ร้อยปี นานมาก และมีแผ่นดินกว้างขวางมากขึ้น คือผู้คนและดินแดนใหญ่กว่ากันมาก คือจีนยุคต่อๆมา มันใหญ่ขึ้นทุกที มีชนเผ่าที่มาใหม่ ก็มาเรื่อยๆ มาแล้วก็ไปไหนไม่พ้น เห็นขนมเปี๊ยะ ซาลาเปาแผ่นกลมๆ หรือหมั่นโถว (คือเห็นสิ่งไรหรือคนที่ดีกว่า สะอาดกว่า ขาวกว่า ก็ออกลูกหลานกลายพันธุ์ ผสมใหม่จนเป็นอย่างปัจจุบัน และจากชาวฮากกาบอกว่าบรรพบุรุษจะสูงใหญ่ อันเป็นธรรมดาของคนถิ่นเหนือ หรือจากพันธุ์เติร์กเช่นพวกซงหนู จากรอบเขาอัลไต ที่คนไทยว่าจากมานั่นแหละ(นักวิชาการบางคนบอกว่า คนฮากกาพันกับซงหนู บ้างก็ว่าพันกับเซียนเป่ยจากแม่น้ำมังกรดำ เฮ่ยหลงเจีย) พวกชนเผ่าเหล่านี้ พอลงใต้มากขึ้น เริ่มยึดภาคเหนือจีน (ไม่ใช่แต่พวกนี้ลงมา คนจงหยวนก็รุกขึ้นไปเช่นกัน จึงต่างคนต่างเจอ บ้างเจอขนมเปี๊ยะ ซาลาเปา บ้างเจอหมั่นโถว ขาวๆกลมๆ ยาวๆรีๆเข้า ฮะสนุกหลังศึกเขาละ กินซะจุก พันธุ์เลยเตี้ยลง สั้นลงยิ่งลงใต้มากขึ้นเท่าไร ก็สั้นลงเตี้ยลงเท่านั้น เป็นดั่งนี้เรื่อยมาเรื่อยมา ลงมาจนถึงขอบทะเลก็เริ่มผสมฝรั่งมากขึ้น อย่างบัดเดี๋ยวนี้เมืองไทยก็เริ่มกับคนดำ และที่จีนส่งออกพลเมือง ไปตั้งหลักแหล่งที่กลุ่มประเทศอัฟฟริกา ที่เพิ่งมีรายงานว่าคนอัลจีเรีย ลุยถั่วกับคนจีน เพราะความต่างและความประพฤติ ... 1


โดย: หลี่กินหงิ่ด IP: 125.27.85.76 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:11:22 น.  

 
อ่านหนังสือฮากกาของอาจารย์วรศักดิ์(คิดซะว่าขออาจารย์เป็นที่ชิ่ง เป็นที่เปิดประเด็น) จะสำเหนียกจากข้อเขียนได้ว่า ท่านออกจะผิดหวังกับความเป็นคนฮากไทย(ฮากกาในไทย) ถ้าอ่านประวัติชาติพันธุ์ฮากกา จะเทียบเคียงกับพฤติกรรมคนภาคใต้ แต่จะยิ่งกว่าในความรักเผ่าพันธุ์ รักพวก การได้อ่านหนังสือของท่านวรศักดิ์ดูเหมือนจะผิดหวังในเรื่องนี้ของฮากไทย ซึ่งจากประสบการณ์ก็เห็นด้วยเลยจึงขอยกย่องให้เป็นฮากไทยใช่ฮากกา.... ถ้าในอดีตที่ยาวนานมีแผ่นดินหนึ่ง มีผู้คนต่างเผ่าหมุนเวียนเข้ามาหาสู่-อยู่ผสมเผ่าพันธุ์ขยายสังคมใหญ่มากขึ้น และภาษาในแผ่นดินก็เพิ่มความหลากหลายมากขึ้น ยิ่งเกิดศึกสงคราม ผู้ชนะยุคหลังๆก็สอดแทรกภาษาของตนสู่ภาษาสังคมนั้นๆ ดังภาษาจีนกลางนี้ราชวงศ์ชิงก็เป็นคนกำหนดขึ้น ทำให้ฉุกคิดว่าการที่ภาษาฮากกามีส่วนร่วมอยู่่มากนั้น ต้องเป็นว่าภาษาสังคมก่อนยุคใช้ภาษาจีนกลางนี้ ต้องมีภาษาที่มีลักษณะภาษาฮากกา ที่คนส่วนใหญ่พูดกัน นั่นหมายถึงแผ่นดินก่อนแมนจู -มงโกล เข้าครอง คนจงหยวนนั้นพูดภาษาคล้ายฮากกาอยู่แล้ว ดังนั้นเป็นไปได้ว่าชาติพันธุ์จงหยวน(ตงง้วน)จะพูดภาษาแบบฮากกาเป็นหลัก เป็นภาษากลาง เหมือนอย่างไทย จะพูดภาษาไทย และพูดในครอบครัวถ้ามาจากถิ่นภาษาอื่นก็จะใช้ภาษาของเผ่าพันธุ์ตนเองเหมือนในไทยเรา ดังนั้นคนฮากกาจึงมีมรดกทางวัฒนธรรมระดับนานเป็นพันปีตกทอดมาในกลุ่มภาษาเราเพียงเผ่าเดียว ซึ่งคนแต้จิ๋วเขาก็โอ่ว่าพวกเขาก็เป็นคนจงหยวนเช่นกัน คือเป็นคนเผ่าหนึ่งที่เริ่มอพยพมาตั้งแต่ราชวงศ์โจวๆนี่ครองแผ่นดินจีนเจ็ดร้อยกว่าปี แล้วต่อมาแผ่นดินแตกแยกจนจิ๋นซีฮ่องเต้รวมได้อีกครั้ง ซึ่งเราก็รับฟังด้วยความเคารพ แต่ฮากกาบอกเริ่มขยายย้ายแผ่นดินลงใต้เรื่อยๆเป็นละลอกเป็นพันๆปี โดยบอกเริ่มในราชวงศ์จิ้นของสุมาอี้ ซึ่งเชื่อว่าละลอกแรกๆก็ถูกกลืนหายไปกับคลื่นมนุษย์ถิ่นเดิม แต่ที่ชัดเจนและไหลบ่าแบบน้ำป่าท่วมทุ่ง ก็คราวหนีตายจากการก่อกบถของหงชิ่วฉวน ซึ่งก่อผลสะเทือนไปทั้งแผ่นดินโดนเฉพาะจีนภาคใต้ เมื่อคราวฮากกาหนีตายเพราะแพ้สงคราม ซึ่งทำให้ฮากกาต้องรบนองเลือดตายเป็นแสนๆกับเจ้าถิ่นทางภาคใต้ สุดท้ายเราก็ต้องอยู่บนเขา บนที่สูง ในที่ๆลำบากๆ แต่ก็อยู่รอดมาได้ สิ่งที่สืบทอดของชนฮากกาที่นักวิชาการจีนยอมรับว่าฮากกาคือฟอสซินของบรรพชนจีนเผ่าพันธุ์ผู้ครองแผ่นดินจีนในยุคหนึ่งๆ คือยืนนานจากราชวงศ์โจวถึงราชวง์หมิง ซึ่งตัวภาษาและวัฒนธรรมเป็นตัวเชื่อม-ได้บ่งชี้ชัดว่าฮากกานั้นไม่ธรรมดา มีประวัติที่เล่าขาน นั้นก็ชัดว่าเป็นพันธุ์คนสู้คน มีภูมิปัญญา ตัวอย่างท้ายๆก็คือการเน้นการศึกษา คนที่เจริญๆจะไม่เคยทอดทิ้งการศึกษา คนฮากกาจะอยู่ในวงการนักปกครอง นักปราชญ์ เสมอ ให้ดูบ้านป้อมแบบที่ถู่โหลว จะเห็นถึงภูมิปัญญาของคนที่มีความรู้ ความสามารถ แม้ยามยากสุดเข็ญ เลือดเข้าตา เราก็มีภูิปัญญาที่ใช้ไม่หมดสิ้น (เขาว่าจะหมดไป ก็ยุคกระแสตะวันตกกลืนสิ้นหรือทำเพี้ยนไป) แน่นอนว่าเมื่อต้องจนตรอกถูกปิดล้อมที่ยาวนาน ย่อมทำให้วิสัยทัศน์-พฤติกรรม -อาชีพคือแนวการดำรงชีวิตต้องแปรเปลี่ยนไปมาก จึงเหมือนเขาว่าฮากกาก็เหลือปั้นหม้อเคาะกาละมัง ตัดเย็บเสื้อผ้าและงานหัตถกรรมในแบบที่ว่าสนองตนเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แม้ว่าฮากกาจะมีเหลือรอดอยู่ในพื้นที่ต่างๆทั่วแผ่นดิน และอยู่ในวงราชการ คือแม้แต่กองทหารที่มาปราบฮากกา ที่เก่งๆ ก็คนฮากกาเช่นกัน มีแม่ทัพที่เก่งกาจสามารถก็เป็นคนฮากกา แต่ก็เป็นดั่งอนิจจังที่เทียบกับคน-ครอบครัว-ชนชาติ ที่ต้องตกต่ำยาวนาน มันทำให้ความรุ่งเรือง-ความรู้- ความสามารถ และความมีศิริมงคลต่างๆมากมาย ย่อมหายไป เลือนไป เป็นธรรมดา ยังดีที่ฮากกาเคยครองแผ่นดินมายาวนาน ย่อมเข้าใจความสำคัญของการศึกษา เข้าใจว่าสิ่งนี้แหละที่ทำให้ฮากกายังคงเป็นฮากกา มาจนจวบปัจจุบัน ท่าน(อีกแล้ว)วรศักดิ์ เขียนให้อ่านว่า ฮากกาไม่รู้จะทำอะไร ไม่ต้องการรบกับใคร ต้องเรียนหนังสือ เพื่อไปสอบรับราชการ.. คืออ่านแล้วรู้ว่าฮากกา น่าสมเพช ดูจะตกต่ำมากไปหลายขีด ... แต่รักอาจารย์วรศักดิ์นะ เห็นด้วยทุกเรื่องเลย ยกเว้นการเขียนว่าฮากกาเลือกที่จะเรียนเพราะ...ดังว่า คือมันไม่ใช่หรอกครับ ...เราเป็นเผ่าพันธุ์ผู้เจริญมานับพันปี เราชนฮากกามีความเข้าใจความสำคัญของการศึกษา คือมันอยู่ในสายเลือดมาแต่บรรพชนแล้วครับท่าน ...


โดย: หลี่กินหงิ่ด IP: 125.27.85.141 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:29:24 น.  

 
อึดอัดเรื่องราวเผ่าพันธุ์ของตนที่ไม่รู้จะถามใคร ต้องรบกวนถามอาจารย์วรศักดิ์ หัตถโรบล ในฐานะ
เป็นฮาก-ใหญ่ไทย-ก๊าหงิ่นคนหนึ่ง
ที่อยู่แถวหน้ายุทธจักรจีนสยาม ประเด็นมีดังนี้คือ 1. ศาลเจ้าหลีตี้เบี้ยว ทำไมเมื่อปฏิสังขร จึงไม่ทำแบบจีนให้กลมกลืน รักษาเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ไว้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งที่ไม่ได้ใช้เงินมากหลาย และหรือไม่ถึงกับต้องคิดค้นระดมสมอง ทำอย่างบรรเจิดอลังการ์งานสร้างแบบโชว์ชาวโลกแต่ประการใด ศาลเจ้านี้เป็นศาลเจ้าแรกของฮากไทยก๊าหงิ่น มันชี้อะไรได้หลายอย่าง แล้วเมื่อเทียบกับศาลจีนพันธุ์สยามอื่นๆรอบข้างละแวกใกล้แล้ว .... จึงแอบมากระซิบบอกคุณฮากอื่นๆว่า .. ให้ไปดู @@ 2. คำว่าฮากกา แปลว่า แขก(คนมาเยือน) - แปลว่าคนเป็นแขก - แปลว่าคนพเนจรจากต่างถิ่น... อย่างนั้นหรือครับ เห็นบางท่าน ท่านรู้ว่า ฮากกาแปลว่าแขก เขียนในเวปฮากไทย อธิบายกันใหญ่ จึงขอถามท่านอาจารย์วรศักดิ์ว่ามีชนชาติใดหรือ ที่เรียกตัวเองว่า I-ผม-ไหง่-ตู ขอ
บอก ขอประกาศต่อ U-คุณ-ท่าน-มึน ว่าเหล่ากระผมนี้เป็นคนชาติแขกผู้มาเยือน ..มาขอแด๊ก..U อาจารย์คงมีคำตอบ ... @@ 3. ตอนวัยรุ่น-วัยหนุ่ม ก็อินกับหงชิ่วฉวนในฐานะวีรบุรุษของชนชาวฮากกา ในยุคของท่านหงนั้น ราชวงศ์ชิงก็ร่วงโรยมากแล้วอีกไม่กี่สิบปี น่าจะไปไม่รอดเพราะกระแสสากล ที่รุกเร้าทั้งนอกและในจีนหนักขึ้นทุกที สอดรับกับความเน่าเฟะของราชการจีน (คล้ายไทยตอนนี้ นักการเมืองกับข้าราชการเลวพอกัน เหมือนคอหอยกับลูกกระเดือก) มันต้องล้มในไม่ช้า หงชิ่วฉวนย่นกระแสเปลี่ยนแปลงในจีน จากระบอบเก่าเป็นระบอบใหม่ .. เอาซะว่า 30 ปี แต่แลกกับชีวิตคนฮากกา 20 ล้านคนจีนพันธุ์อื่นอีกยี่สิบ ตั้งแต่รบ จนล้า แล้วหนี จนพอตั้งตัวหายใจสะดวกขึ้น(หน่อย) บนภูเขา บนที่สูง ใต้ชะง่อนผาริมสายน้ำเชี่ยว เป็นอาทิ คนตาย ผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืน ยึดเป็นทาสกามจนตาย เทียบเคียงเหตุเล็กๆในไทยก็ได้คราวเกิดอั้งยี่ที่แปดริ้ว ทางการไทยมาปราบ ฆ่าฟันมั่วไปหมด แล้วคนจีนหนีตาย โดนทั้งในเมือง นอกเมือง จากชนชาติต่างๆ เลือดเปลี่ยนสีของแม่น้ำ อะไรสีแดงที่กระส่านเปื้อนเต็มแผ่นดิน โห.. โหดจนพิมพ์หด แล้วย้อนเข้าเรื่อง คือหงชิ่วฉวนอย่างไรก็คือบัณฑิต เข้าทำนองบัณฑิตในหนังสือกำลังภายในเลย ว่ารูปร่างอ้อนแอ้นดูอ่อนแอ ดูเสมือนไร้กำลังพอแม้จะเชือดไก่ เทียบกันก็คือว่าก็ใช้ปากอ้างโองการของพระเจ้า-ใช้คนอื่น พอยึดเมืองใหญ่ๆได้แล้ว ก็เข้าหอล่อแต่กามา ไม่เหมือนเจ้าที่ดีอื่นๆอย่างเจ้าตาก เล่าปัง ถังไท่จง และอีกมากมาย เกริ่นนำถามว่า ... ในสถานการณ์ที่ใกล้สุกงอมต่อการปฏิวัติ เพราะประชาชนยากแค้น สิ้นศรัทธาแม้แต่พระเจ้า หงชิ่วฉวนได้เป็นวีรบุรุษเป็นใหญ่เทียบได้กับเจ้าแคว้นชั่วข้ามปีแต่ฐานะเหมือนปิ๊กอัพติดดาวสามแฉก คือเป็นฮ่องเต้บ๊อง บ่มิไก๊ ลูกน้องย่ำแย่พลีชีพเพื่อความฝันที่ไกลเกินเอื้อม ฟันธงคำถามว่า หงชิ่วฉวน เป็นวีรบุรุษของชนฮากกา หรือ เป็นคนบ๊องน้องชายท่านเย ที่พระเจ้าแกล้งซะให้เข็ด แต่พาคนไปตาย ... น่าจะเขียนสักเล่มนะอาจารย์ 4. เวปฮากไทยก๊าหงิ่น มันจะมีสาระหลักๆให้สมบูรณ์ คือภาษาหลักของแท้ๆ วัฒนธรรมต่างๆรวมอาหาร ตั้งนานแล้วมีสอนทำอาหารหนึ่งอย่าง สื่อความสัมพันธุ์ชนฮากกาในดินแดนต่างๆ การปฏิรูปสิ่งที่เรามีในไทย คืออธิบายว่าเราเป็นฟอสซิลทางภาษาวัฒนธรรมที่พูดๆกันมาอย่างไร มีทูตสันถวะไมตรีกับฮากทั่วโลก แล้วสอนฮากไทยจะรักกันอย่างไร เป็นอาทิ คือจ้างคนมาบริหารเวปอย่างมืออาชีพเลย คนนั้นต้องเป็นฮากไทยและมีความคิดของ3โลก คือเก่า-ปัจจุบัน-ใหม่ บายอาจารย์วรศักดิ์ หัตถโรบล


โดย: หลี่กินหงิ่ด IP: 125.27.91.104 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา:2:38:53 น.  

 
อาจารย์วรศักดิ์ หัตถโรบล = อาจารย์วรศักดิ์ มหัตถโรบล
ฮากกา ไม่ใช่แปลว่าแขก - ผู้มาเยือน - คนคอยรับประทาน .. แต่จีนพันธุ์อื่นเขาเรียกตามราชการที่เรียกคนที่อพยพหลั่งไหล เคลื่อนย้ายว่า เค่อเหริญเจี้ย ซึ่งแต้จิ๋วจึงเรียกตามว่าแคะนั้ง ส่วนคนฮากกาเรียกตัวเองว่า ผมพี่ฮากครับ เต็มยศก็ฮากกาครับ รู้ไหมว่าพี่ฮากคือไผ? ก็เหมือนคนญี่ปุ่น คนฝรั่งเศส คนไอริส คนแต้จิ๋ว เขาเรียกตัวเองอย่างนั้น ก็แปลเอาซิ แต่มีฮากกาไทยบางคน เล่นแปลบนเวปเฉยว่าฮากกาแปลว่าแขก(ดอยคอย ...) พวก U บ้าแล้ว ที่เฉยๆกันอยู่ ชื่อเรียกชาติพันธุ์มันเป็นสิ่งที่มีความหมายเป็นเลิศ ที่เขาจะนำมาเรียกตนเอง ไอ้แขกนั่นแขกนี่ มันคนเขาเรียก มักจะเหยียดหยามดูถูกเกลียดชัง ยิ่งความหมายทางการเมือง การสงคราม การแย่งชิง ยิ่งทวีความเกลียดโกรธ อาฆาต ฆ่าฟันกันให้ยับสิ้นกันไป และก็ฮากใหญ่-ไทยก๊าหงิ่น ที่ร่ำรวยอยู่ในสมาคมรุ่นบัดเดี๋ยวนี้ น่าจะมองรุ่นเก่าก่อนรุ่นบุกเบิก ทำไรดีๆไว้มาก ได้ทำก่อนจีนพันธุ์อื่นไว้มาก ทั้งทันสมัย ทั้งทรงภูมิคือฮากกาชอบคุยว่าเป็นคนชอบการศึกษา ผลงานมันคือเครื่องบ่งชี้ ซึ่งหลายประการและมีหลายกิจกรรม ที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน และบัดเดี๋ยวนี้นี่เอง ที่คิดอายอยู่คนหนึ่ง เพราะฮากใหญ่-ไทยก๊าหงิ่นที่ร่ำรวยมหาศาลบางคน เคยบอกผ่านทีวีว่า มองดาวยามค่ำคืน ที่ติดเต็มเพดานห้อง เคยประกาศจะทุ่มทุน พันห้าร้อยล้านให้ผู้กำกับฮอลีหูด(มันสะกดอย่างนี้แหละ) จะสร้างประวัติตนให้เป็นแบบอย่างเยาวชนไทย วางตนมีรสนิยมเนี๊ยบในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่สนใจชาติพันธุ์ตนเองแม้จะเป็นถึงกรรมกรและอีกหลายๆคนเช่นกันที่ร่ำรวยเสียเปล่า แต่เฮ้อ... สามล้อถูกหวยยังน่าจะดีใจกว่า ฮากใหญ่พวกนี้..ใช่ฮากกา ฤาที่เขาว่า ..โกลบบ่ะไรเซชั่น แปลว่าโลกอลวน อลเวง ไปไปแล้ว


โดย: หลี่กินหงิ่ด IP: 125.27.91.104 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา:3:47:26 น.  

 
อาจารย์วรศักดิ์ มหัตถโรบล = อาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล ....เขาว่าอ่าน3จบ-สามก๊ก จะเป็นคนคบไม่ได้ ซึ่งเชื่อเหมือนกันว่าอ่าน3จบ ฮากกาคือจีนแคะ จึงเป็นฮัคก้า..ที่แท้จริง แฮ่ม ..เหนื่อยนะที่พิมพ์นามกุลผิด คือเหนื่อยใจ.. ชิมิ ชิมิ


โดย: หลี่กินหงิ่ด IP: 125.27.91.104 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา:4:27:52 น.  

 
เราชนฮากกา นอกจากใส่ใจประวัติความเป็นมาของชนชาติตัวแล้ว โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์การอพยพหนีหลังพ่ายศึกกับอาจี้ซูสีฯแล้ว เราไม่เคยพูดถึง-นึกถึงสหายร่วมศึกผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ชนชาติจ้วง - ม้ง และหรือชาติพันธุ์อื่นๆกันเลย ว่าเขาก็ลำบากยากแค้นแค่ไหน มากกว่าหรือน้อยกว่าเราชนฮากกาอย่างไร ใครพอรู้ ขอร้องเล่าให้ฟังกันบ้าง แต่ก่อนรู้สึกเฉยๆหรืออาจจะไม่ดีซะด้วยกับชาวเขาไทย แต่เมื่ออ่านพบว่าจ้วงกับม้งเป็นสหายร่วมศึกกับชนชาวเรา ก็มีความรู้สึกดีๆและใจหายเมื่อคิดถึงสิ่งที่พวกเขาต้องประสพเช่นพวกเรา เลยนึกถึงว่า พวกเขานั้นพวกเขาอาจอพยพกระเซ็นไปรอบประเทศ เช่นเข้าภาคเหนือไทย-พม่า-ลาว-เวียตอาจเลยไปถึงอัสสัมหรือเปล่า วันนี้ก็ถือว่าทายาทชนฮากกาได้ฝากรำลึกถึงพวกท่านสหายศึกของบรรพชน ที่ต่างเผ่า ที่ร่วมรบด้วยความสุจริตใจ และคำนับมายังท่านทั้งหลาย 108 จอก... กันเปย


โดย: หลี่กินหงิ่ด IP: 180.180.94.124 วันที่: 14 ธันวาคม 2553 เวลา:4:46:38 น.  

 
คนฮากกาเคยอ่านหรือดูหรือฟัง พบเรื่องของคนหรือกลุ่มคน ที่ถูกระบุในหนังสือหรือฟังและดูจากโทรทัศน์แล้วสดุดหูว่า เอ. ที่เขากล่าวถึงนี้หมายถึงคนฮากกาหรือเปล่าน๊า แต่ใจเราคิดว่าน่าจะใช่ . เช่น ในหนังสือ 1421 จีนพบอเมริกาก่อนโคลัมบัส ของนาวาเอก แมนซี่ ที่มติชนพิมพ์ ก็ติดใจจะพูดอยู่เรื่อย ตั้งแต่หนังสือออกวางขายเมื่อหลายปีก่อน เขาพูดถึงพวกผู้หญิงต้อนรับบนเรือว่าน่าจะเป็นพวกทังก้า มีลักษณะว่า ... และเมื่อเร็วๆนี้ก็ได้ยินผ่านหู แต่ก็ลืม แต่ไม่ใช่ที่แมนซี่เขียน เป็นอีกเรื่องและคนละยุค ดังนี้จึงน่าศึกษาความเป็นไปเป็นมาของชนฮากกาอย่างกว้างขึ้น สุดท้ายต้องขอขอบคุณเจ้าของเวปนี้ที่ได้ใช้ประโยชน์มาหลายครา คำนับ ๆๆ


โดย: หลี่กินหงิ่ด IP: 125.27.85.136 วันที่: 22 ธันวาคม 2553 เวลา:19:24:55 น.  

 
ด้วยความยินดีและขอบคุณอย่างสูง


โดย: Kamit IP: 58.9.117.212 วันที่: 23 ธันวาคม 2553 เวลา:22:49:03 น.  

 
คนฮากกาชอบแปลคำว่าฮากกาว่า ผู้มาเยือน ซึ่งผมเรียกว่าแขกดอย อยากถามว่าลักษณะการแปลคำฮากกาว่า"ผู้มาเยือน" ลองนึกดูอย่างพื้นฐานที่สุดคือแปลจากคำเค่อเหยิน หรือแคะตรงๆ เป็นคำที่ผู้อื่นเรียกผู้อพยพที่หลั่งไหลเข้าไปในดินแดนอื่น เมื่อคนอื่นเรียก-เราอาจจะแทนตัวเมื่อทางการถาม เช่นว่า.ใช่ครับผมคนที่อพยพมาครับ เพราะคนถามและคนตอบต่างเป็นคนในแผ่นดินเดียวกันแต่ถ้าถามในรายละเอียดมากขึ้นอจจะว่า(เปรียบเทียบ)..ผมเป็นคนอิสาน ผมเป็นคนเหนือ และถ้าละเอียดยิ่งขึ้น มันก็แตกรายละเอียดมากขึ้น แต่ลักษณะคนแปลคำ"ฮากกา" นานๆเข้าดันเอาคำเรียกหาที่ทางการเรียก หรือเจ้าถิ่นเรียกคนในชาติเดียวกัน ในลักษณะเคลื่อนย้ายแบบหนีภัย ทิ้งถิ่นฐาน มาใช้กับตัวเองด้วย คิดว่าไม่น่าจะถูกต้อง เพราะคนในทุกชาติจะเรียกตัวเองอย่างยกย่องทุกชาติแบบกำหนดด้วยตนเอง จะถัง จะฮั่น หรือลาวกแปลว่าผู้เป็นใหญ่อย่างนี้เป็นต้น ไอ้ที่เอาคำเรียกหาเฉพาะกิจที่ทางการมาเรียกหา เจ้าถิ่เรียกตาม และเจ้าคนมาใหม่ เอามาเหมาแปลเรียกเป็นชาติพันธุ์ตัวเอง เห็นจะมีฮากพวกนี้กระมัง แต่ผมไม่เชื่อ และข้อความในกรอบความคิดเห็นข้างบนถอดหรือลบออกเถอะครับ มันเป็นรายละเอียดในกระแสประวัติแห่งการหลอมรวมชาติจีนนิดหน่อย ผมว่าเดี๋ยวนี้ได้เข้าใจอะไรมากขึ้น .... ว่า ฮากกาก็เป็นพวกตกยากอยู่ห่างไกลเมือง เทียบคนอิสาน พอมีโอกาสเข้าเมืองใหญ่หรืออะไรก็ตามที่ได้เข้าเมืองหรือสังคมเปลี่ยนไปในทางดี ก็พร้อมเปลี่ยนไปเป็นฮั่นที่ใช้ภาษากลางจนหมดสิ้น เพราะเขาเราก็ดึงดูดกันอยู่แล้ว ความยากจน การอยู่นอกกระแสการเปลี่ยนแปลงในทางที่จะดีขึ้นทำให้ฮากกาดำรงอยู่ในคล้ายวรรณะศูทร์ แต่จีนกรอบวรรณะเทวะมันไม่มี คือถ้าได้ดีก็ครองประเทศได้ เป็นลักษณะจีนฮั่น ไม่ใช่แบบอินเดีย ฮากกายุคนี้ไม่พัฒนาองค์ความรู้พื้นฐาน ปรับแต่งความเชื่อ สร้างคำขวัญและสำนึกใหม่ ยังติดฮีโร่หงซิ่วฉวน มีผิดมีถูกอย่างไรยังไม่รู้เลย... เมืองจีนเปิดโลกใหม่ ชูนโยบาย สร้างประเทศใหม่ ปรับปรุงแก้ไขตลอดเวลาของการดำรงอยู่ แล้วฮากกาไทย หลายคนมากหลายได้ดี โลกาภิวัฒน์ทำให้รู้ว่าฮั่นทุกสายพันธุ์ล้วนเชี่ยวชาญสร้างโลกใหม่ได้ ฮากกาในจีนหลายสิบล้านคน ฮั่นแมนดารินที่ชิดใกล้พันล้าน น่าจะเป็นโอกาสมากมายที่จะปั้นปั่นฮากกาไทยเข้าสานประโยชน์อย่างเต็มที่ในทุกลักษณะ แต่น่าเสียดายที่ผู้นำที่ยังไม่เสด็จกับที่ยังหนุ่มกับยังมีลักษณะฮากกายุคเก่า ที่จีนฮั่นภาษาอื่นเคยว่าไว้ ยังงมโข่ง เอาตแต่ตัวรอด(เกียรติ) เอาแต่ตัวเด่น(วิกรม) เป็นต้น ต่อไปจะไม่พูดถึงเรื่องประดานี้อีก เพราะก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงไหนของเศษจีน-กากเจ๊ก เหมือนกัน


โดย: กู้ IP: 125.27.73.52 วันที่: 22 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:25:45 น.  

 
I want to personally thank you for the outstanding presentation. It was by far the best I have ever received. The enthusiasm you generate is contagious. Dick F.
Black Cowboys Football Jersey //www.fdlgroup.co.uk/images/Cheap-Dallas-Cowboys-Jerseys.asp


โดย: Black Cowboys Football Jersey IP: 157.7.205.214 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2557 เวลา:8:28:37 น.  

 
We still cannot quite think I really could often be those types of checking important points seen on your blog post. Our grandkids and so i are sincerely thankful for ones generosity because well as giving me possibility pursue our chosen profession path. I appreciate you information I purchased with your web-site.
cheap online jerseys //www.brodvejus.lt/UserFiles/nfl/cheap-online-jerseys.html


โดย: cheap online jerseys IP: 157.7.205.214 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2557 เวลา:8:31:56 น.  

 
I would comment but, I’m not sure if what I want to say would fit good or not.
womens tom brady jersey //www.brodvejus.lt/UserFiles/nfl/nfl-football-jerseys.html


โดย: womens tom brady jersey IP: 157.7.205.214 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2557 เวลา:9:16:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.