เรียนล่วงหน้า แก้ปัญหาเด็กมัธยมหัวไว-ให้หน่วยกิตมหา'ลัยปี 1 ไปตุน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 กันยายน 2549 08:08 น. ดร.กอปร กฤตยากีรรณ ใครว่าเด็กเก่งไม่ปัญหา เรียนได้เร็วกว่าเพื่อนในห้องก็ทำให้เบื่อเนื้อหาที่ครูสอนได้เหมือนกัน เผลอๆ กลายเป็นตัวปัญหาก่อกวนการเรียนเพื่อน พับจรวดปาหัวคนอื่นไปซะอย่างนั้น ร้อนถึงผู้ใหญ่ที่ต้องมาคิดหลักสูตรให้คุณหนูหัวไว จัดโครงการ เรียนล่วงหน้า ตุนเป็นหน่วยกิตสำหรับเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่ต้องเสียเวลาเรียนซ้ำ โครงการเรียนล่วงหน้า เป็นโครงการที่ร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนมัธยมศึกษาได้ศึกษาวิชาเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัย ซึ่งนักเรียนจะได้เป็นหน่วยกิตที่สะสมไว้และไม่ต้องเรียนวิชาดังกล่าวซ้ำในมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันก็ได้หน่วยกิตในวิชาระดับมัธยมโดยไม่ต้องเรียนด้วย ทั้งนี้จะเปิดรับสมัครและสอบวัดความรู้เพื่อคัดนักเรียนเข้าโครงการ ดร.กอปร กฤตยากีรณ ประธานยคณะกรรมการทำงานโครงการนำร่องโครงการเรียนล้วงหน้า กล่าวถึงที่มาของโครงการว่า จากการที่ได้ไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐนั้น ได้เห็นการเรียนการสอนที่เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยมคือ เอพีโปรแกรม (Advanced Placement Program: AP Program) ซึ่งเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความสามารถได้เรียนล่วงหน้า จึงเห็นว่าเมืองไทยน่าจะโครงการลักษณะดังกล่าวบ้าง ทั้งนี้ ดร.กอปร เท้าความว่าในปี 2545 มูลนิธิพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(มูลนิธิ พสวท.) ได้จัดสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับโครงการสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ เพื่อทบทวนว่ามีโครงการสำหรับเด็กพิเศษอะไรบ้าง และก็ได้มีการเสนอโครงการเรียนล่วงหน้าซึ่งมีสหรัฐเป็นแบบอย่าง พร้อมทั้งกล่าวถึงประโยชน์ว่าเป็นโครงการที่กว้างขวาง ค่าใช้จ่ายไม่สูงและเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนกระแสหลักหรือนักเรียนในชั้นเรียนทั่วไปที่ไม่เป็นนักเรียนในโครงการพิเศษ จากนั้นทางมูลนิธิบัณฑิตยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(บวท.) ได้รับลูกต่อโดยรับผิดชอบในการจัดตั้งคณะกรรมการสำหรับโครงการ และเริ่มดำเนินการในปี 2546 โดยได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากมูลนิธิ พสวท. ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานแบบอาสาสมัครคือไม่มีค่าตอบแทน ต่อมาสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ได้รับโครงการไปดูแลต่อ เป็นการแก้ปัญหาเด็กเก่ง พวกนี้เรียนเร็วก็จะเบื่อเวลาที่ครูสอนเนื้อหาที่เขารู้แล้ว เขาก็ไม่อยากเรียน กลายเป็นเด็กมีปัญหา เอาเวลาไปแกล้งเพื่อน พับจรวดปาหัวคนอื่นบ้าง ก็จัดให้เขาได้เรียนที่มีเนื้อหาลึกขึ้น เช่น ไม่ต้องเรียนวิชาชีววิทยา แต่ไปเรียนชีววิทยาล่วงหน้าที่มีเนื้อหาลึกกว่า เขาก็ได้หน่วยกิตทั้ง 2 วิชา ร่นเวลาเรียนในมหาวิทยาลัย อาจจะเป็น 3 ปี หรือ 3 ปีครึ่ง แต่โดยมากก็เรียนได้ประมาณคนละ 1-2 วิชา ทั้งนี้มีเด็กสมัครเข้าโครงการแล้วหลายร้อยคน ดร.กอปรอธิบายว่าในการจัดการเรียนการสอนนั้น ทางมหาวิทยาลัยจะจัดอบรมครูเพื่อให้ไปสอนวิชาเรียนล่วงหน้าสำหรับเด็กมัธยม และเมื่อเด็กสามารถใช้เป็นหน่วยกิตสำหรับมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการได้ ทั้งนี้ยังเป็นการยกระดับการเรียนการสอน เนื่องจากครูได้รับการอบรมให้มีความรู้มากขึ้นเพื่อไปสอนเด็กในเนื้อหาที่ยากกว่าระดับปกติ ซึ่งเคยมีว่าบางชั้นเรียนจัดสอนให้กับเด็กแค่ 2 คน แต่ก็เพื่อแก้ปัญหาให้กับเด็กเก่ง สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงเรียน ส่วนนักเรียนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรหรือไม่นั้นต้องตรวจสอบอีกที อย่างไรก็ดีแม้จะเป็นโครงการเพื่อแก้ปัญหาให้กับเด็ก แต่ตัวโครงการเองก็ยังมีปัญหาซึ่ง ดร.กอปรได้ชี้เห็นคือ มหาวิทยาลัยเตรียมรองรับผลหน่วยกิตให้เฉพาะโรงเรียนในโครงการที่อยู่ในความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนั้นๆ เท่านั้น และอีกปัญหาสำคัญคือเด็กที่เรียนล่วงหน้าจำนวนมาก ไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีความร่วมมือกับโรงเรียน และเด็กจำนวนมากไม่ได้เรียนต่อในคณะวิทยาศาสตร์ แต่ไปเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ หรือไปเรียนต่อต่างประเทศ สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหานั้น ดร.กอปร เสนอว่าควรจัดทำระบบกลางของโครงการ ร่วมทั้งจัดทำหลักสูตรกลางและบันทึกผลกลางชั่วคราวเพื่อให้แต่ละมหาวิทยาลัยสามารถรับนักเรียนในโครงการที่ไม่ได้เป็นโรงเรียนที่ร่วมมือกันโดยตรง รวมทั้งเสนอแนวทางในการผลักดันและพัฒนาโครงการว่า หากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) จะแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อผลักดันโครงการ และเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาสนับสนุนโครงการ จะช่วยให้โครงการก้าวหน้าต่อไป สำหรับสถาบันที่เข้าร่วมโครงการเรียนล่วงหน้าแล้ว ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ร่วมมือกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ ปทุมวัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมมือกับ 10 โรงเรียนใน จ.เชียงใหม่ เชียงราย และลำพูน และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมมือกับโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น