Bloggang.com : samma - ร่างกายสูญสลาย จิตใจคงอยุ่ สิ่ง ๆ นี้ จะเป็นผู้ที่ไปเกิดใหม่ ในอนาคตต่อไปเรื่อย ๆ

Group Blog

มิถุนายน 2553

8 มิถุนายน 2553

ร่างกายสูญสลาย จิตใจคงอยุ่ สิ่ง ๆ นี้ จะเป็นผู้ที่ไปเกิดใหม่ ในอนาคตต่อไปเรื่อย ๆ

All Blog

ร่างกายสูญสลาย จิตใจคงอยุ่ สิ่ง ๆ นี้ จะเป็นผู้ที่ไปเกิดใหม่ ในอนาคตต่อไปเรื่อย ๆ

.

จากบทความที่แล้วของผม ที่ได้นำเสนอไป

เรื่อง

ชีวิตต้องเกิดตาย

แต่ " ดวงจิต " เป็น อมตะ

ก็ได้มีสมาชิกผู้รู้ในพันทิปโต๊ะศาสนา หลายท่าน หลายคน

ได้ท้วงติง แนะนำ บอกมาว่า ตามหลักของพระพุทธศาสนา สอนว่า

" จิต " ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นอมตะ แต่มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

ตามหลักของพระพุทธศาสนา จิต คือ ความรู้แจ้งทางตา ,

ทางหู , ทางจมูก , ทางลิ้น , ทางกาย , ทางใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีการเกิดดับ

อยู่ตลอดเวลาจริง ๆ ถ้าพูดถึง " จิต " ในความหมายนี้

แต่ " ดวงจิต " ที่ผมบอกว่าเป็นอมตะ นั้น ผมหมายถึง

" ดวงจิต " ในภาพรวม ภาพใหญ่ ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน ( จิต ตาม

ความหมายของพระพุทธศาสนา ผมก็พึ่งรู้เมื่อไม่นาน คือ เมื่อปีก่อน

เพราะโดนท้วงที่พันทิปโต๊ะศาสนา เรื่องจิตเกิดดับ ไม่เป็นอมตะ นี่แหล่ะ

หาความหมายของจิต ในเน็ตไม่เจอ จึงต้องไปซื้อหนังสือมาอ่าน )

จุดกำเนิด จุดเริ่มต้นของสิ่งที่มีชีวิต คือ เหล่ามวลมนุษย์

และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล เป็นสิ่งที่

หาจุดเริ่มต้นไม่ได้ ตามหลักของพระพุทธศาสนา

แต่จากทฤษฎี ยูนิเวิร์สบอม " กำเนิดเก่าจักรวาล " ที่ผมค้นพบ

ทำให้ทราบว่า สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับการกำเนิด

จักรวาล จิตใจของคนเราเหล่ามวลมนุษย์ และสรรพสัตว์ สัตว์โลกทั้งหลาย

ทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล เป็นจิตใจดวงเดิม ที่ได้ผ่านการเวียนว่าย

ตายเกิดมาแล้ว เป็นจำนวนมากมายนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนสมัย ยุคเทพ

นิยาย ก่อนที่โลกใบนี้ จะเกิดเสียอีก นับพันล้าน หมื่นล้านปี เป็นอย่างน้อย

ร่างกายกับจิตใจของคนเราเหล่ามวลมนุษย์ และสรรพสัตว์

ทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นมาอยู่คู่กับจักรวาล แบ่งออกเป็นส่วนใหญ่ ๆ

ได้ ๒ ส่วน คือ ร่างกาย กับ จิตใจ ร่างกายเป็นของหนัก ( มีน้ำหนัก )

จิตใจเป็นของเบา ( ไม่มีน้ำหนัก ) ร่างกายเป็นบ่าว จิตใจเป็นาย ร่างกาย

จะคอยทำในสิ่งต่าง ๆ ตามที่จิตใจเป็นผู้สั่ง ร่างกายเป็นสิ่งที่มีรูปร่าง มีตัวตน

จิตใจเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ร่างกายมีการเกิดดับ เกิดและก็ตาย

ตายและก็เกิดไปเรื่อย ๆ ร่างกายสูญสลาย จิตใจยังคงอยู่ สิ่ง ๆ นี้ จะเป็นสิ่ง

เป็นผู้ที่ไปเกิดใหม่ ในอนาคตต่อไปเรื่อย ๆ

จะหมุนวน เวียนว่ายตายเกิด เป็น " วัฏจักรแห่งชีวิต "

ตาม " กฏของธรรมชาติ " ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อใดได้เกิด

เป็นมนษย์ ได้รู้ เห็น และเข้าใจ ใน " กฏของธรรมชาติ " ซึ่งเป็นความลับ

ที่ซ่อนอยู๋ในธรรมชาติ ได้อย่างแท้จริง เมื่อนั้น ก็จะสามารถหยุดการหมุนวน

เวียนว่ายตายเกิดได้

พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า " เมื่อบุคคลหนึ่งแล่นไป

ท่องเที่ยวไปตลอดกัป ร่างกระดูก หมู่กระดูก กองกระดูก พึงเป็นกองใหญุ่

เหมือนภูเขาเวปุลลบรรพตนี้ " ( พระไตรปิฎก ฯ เล่ม ๓๘ หน้า ๓๑๖ )

พระองค์เปรียบเทียบว่า ถ้าจะเอากระดูกของคน ๆ

เพียงคนเดียวที่เคยเกิดตายมาแล้วในชาติก่อน ๆ มากองรวมกันไว้ กระดูก

ของคน ๆ นั้น จะกองโตกว่าภูเขาเวปุลลบรรพต ซะอีก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า

ไอ้ภูเขานี้ มันใหญ่โตมากมายแค่ไหนกัน เพราะไม่รู้จัก

( วันนี้นั่งคิดอยู่นานแร้ว พอแค่นี้ก่อน วันหลังค่อยมาต่อใหม่ )

Create Date : 08 มิถุนายน 2553
Last Update : 8 มิถุนายน 2553 16:58:03 น.
Counter : 492 Pageviews.

7 comments

อืม!

โดย: น้ำเค็ม

วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:17:56:02 น.

แล้ว?...อะไรต่อล่ะครับ จบดื้อๆงี้เลยหรอ ตกลงมาเล่านิทานให้ฟังเฉยๆใช่ไหมครับ

จากคุณ : Generals

โดย: samma

วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:18:09:12 น.

ลืมบอกไปครับว่า ...

เมื่อใดได้เกิด เป็นมนษย์ ได้รู้ เห็น และเข้าใจ ใน

" กฏของธรรมชาติ " ซึ่งเป็นความลับที่ซ่อนอยู๋ใน

ธรรมชาติ ได้อย่างแท้จริง เมื่อนั้น จิตใจก็จะเข้าถึง

สภาวะ แห่ง God คือ อยู่เหนือ ความสุข และความทุกข์

ทั้งหลายทั้งปวง มีจิตใจที่บริสุทธิ์ สะอาด สงบ ร่มเย็น

อยู่ได้ ตลอดกาล

ตลอดไป หยุดการหมุนวน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

โดย: samma

วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:18:10:54 น.