ชีวิตต้องเกิดตาย แต่ " ดวงจิต " เป็น อมตะ
จากคำถามของคุณช่าง
คำถามข้อที่ ๑ การหลุดออกจาก กฎทั้งปวง เรียกว่า นิพพาน
ใช่ไหมครับ
ตอบว่า
ใช่ครับการหลุดออกจาก " กฏของธรรมชาติ " ทั้งปวง
เรียกว่า " นิพพาน "
คำถามข้อที่ ๒ ผมว่าเราทุกคนเป็นอมตะ นะ เพราะมันไม่มีเหตุผลเลย
ถ้าจะบอกว่า หายไปเฉยๆ มันแค่เปลี่ยนรูปแบบ ท่านคิดว่าไงครับ
ตอบว่า
ชีวิตต้องเกิดตาย แต่ " ดวงจิต " เป็น อมตะ
ชีวิตของคนเราและสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ หรือทั่วทั้งจักรวาล
จะต้องเกิดดับ เกิดตาย เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ไปเรื่อย ๆ อย่าง
ไม่มีที่สิ้นสุด คนสามารถกลับไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน และสัตว์เดรัจฉาน
ก็สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้ อย่างยุติธรรมเท่าเทียมกัน ตาม " กฏของ
ธรรมชาติ " คือ กฏแห่งกรรม " ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " หว่านพืชเช่นใด
ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ซึ่งจากทฤษฎี บิ๊กแบงพลังจิต
ยูนิเวิร์สบอม กำเนิดเก่าจักรวาล ที่ผมค้นพบ ทำให้เห็นได้ว่า ดวงจิต คือ
ความคิด จิตใจ ของคนเรา กับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้
และ ทั่วทั้งจักรวาล เป็นสิ่งที่ เกิดก่อนโลก มีอยู่ก่อนจักรวาล อยู่คู่จักรวาล
ปัจจุบัน อยู่ไปเรื่อย ๆ ยันจักรวาลอนาคต นับพันล้าน หมื่นล้านปี
( จักรวาลปัจจุบันไม่น่าใช่จักรวาลแรก ถ้ามีอายุแค่ระดับไม่กี่หมื่นล้านปีจริง
ดังที่นักวิทยาศาสตร์วัดรังสีได้ ) มีความเป็นอมตะ จะไม่มีวันสูญหาย
ดับสลายลงไป
จะหมุนวน เวียนว่ายตายเกิด เป็น " วัฏจักรแห่งชีวิต "
ตาม " กฏของธรรมชาติ " ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อใดได้เกิด
เป็นมนษย์ ได้รู้ เห็น และเข้าใจ ใน " กฏของธรรมชาติ " ซึ่งเป็นความลับ
ที่ซ่อนอยู๋ในธรรมชาติ ได้อย่างแท้จริง เมื่อนั้น ก็จะสามารถหยุดการหมุนวน
เวียนว่ายตายเกิดได้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า " เมื่อบุคคลหนึ่งแล่นไป
ท่องเที่ยวไปตลอดกัป ร่างกระดูก หมู่กระดูก กองกระดูก พึงเป็นกองใหญุ่
เหมือนภูเขาเวปุลลบรรพตนี้ " ( พระไตรปิฎก ฯ เล่ม ๓๘ หน้า ๓๑๖ )
พระองค์เปรียบเทียบว่า ถ้าจะเอากระดูกของคน ๆ
เพียงคนเดียวที่เคยเกิดตายมาแล้วในชาติก่อน ๆ มากองรวมกันไว้ กระดูก
ของคน ๆ นั้น จะกองโตกว่าภูเขาเวปุลลบรรพต ซะอีก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า
ไอ้ภูเขานี้ มันใหญ่โตมากมายแค่ไหนกัน เพราะไม่รู้จัก