Group Blog All Blog
|
โลกของเรา จะต้องเจริญก้าวหน้า อย่างยั่งยืน @ ไม่ใช่ เจริญขึ้นมา อย่างย่ำแย่ ! เช่น ในปัจจุบัน $$$$$$$$$ $$$$$$$$$$$$$$$$$$$ $$$$$$$$$ " แก่นแท้ของจักรวาล " เป็น " พลังที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด ในจักรวาล " คือ " กฏของธรรมชาติ " ที่ได้คอย ก่อกำเนิด ควบคุม สร้างสรรค์ ให้รางวัล ลงโทษ หรือทำลาย สรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล ให้เป็นไปตาม " กฏของธรรมชาติ " คือ กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น " " กฏของธรรมชาติ " นี้ เป็นสิ่งที่อยู่คู่โลก แต่เกิดก่อนโลก อยู่คู่จักรวาล แต่เกิดก่อนจักรวาล เพราะถ้าจักรวาล เป็นสิ่งที่มีตัวตน มีตัว มีตน นั่นก็คือจักรวาล มันก็จะต้องมีการเกิด และก็มีการดับ ไปในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว แต่ " แก่นแท้ของจักรวาล " นี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ( ที่แท้จริง ) เป็นสิ่งที่เป็นอมตะ คือ ไม่มีการเกิด และก็ไม่มีการดับ มีท่านผู้อ่านถามคำถามที่น่าสนใจกันมา ดังนี้ว่า ๑. แล้วมันคือพลังอะไรอะครับ ใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ๒. อยากได้วิธีนำมาใช้มากกว่าครับ ๓. แล้วรู้เรื่องนี้มันได้อะไรครับ มีประโยชน์ยังไง คำถามข้อที่ ๑ : พลังนี้ คือ พลังอะไร ? ตอบว่า " แก่นแท้ของจักรวาล " คือ " พลังที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด ในจักรวาล " สิ่ง ๆ นี้ เป็น รากฐาน ของสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล เป็นพลังที่ไม่ใช่พลังทางกายภาพ มีตัวมีตน สามารถมองเห็นได้ แต่เป็นพลังทางจิต " พลังแห่งจิต พลังสมอง พลังแห่งปัญญา " ที่ไม่มี ตัวตน ( ที่แท้จริง ) ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตาเนื้อ ตาธรรมดา แต่สามารถศึกษา พิจารณาดู เพื่อรู้ จนเห็น และเข้าใจ ได้ด้วยสมองของมนุษย์ สามารถสัมผัสกับสิ่ง ๆ นี้ ได้ด้วย " พลังแห่งจิต พลังสมอง พลังแห่งปัญญา " เพราะว่าเป็นพลังงานชนิดเดียวกัน จึงสามารถ link สามารถเชื่อมต่อ สามารถสัมผัสกันได้นั่นเอง คำถามข้อที่ ๒ : พลังนี้มีประโยชน์อะไร และสามารถ นำมาใช้ ได้อย่างไร ? ตอบว่า ๒.๑ สิ่ง ๆ นี้ คือ สิ่งที่สูงส่งและยิ่งใหญ่มากมายที่สุด บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล เพราะฉนั้น สิ่ง ๆ นี้ ก็จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีประโยชน์ แก่เหล่ามวลมนุษยชาติ มากมายที่สุด ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน หรือเทียบเคียงได้ ตามไปด้วย กันนั่นเอง " พลังนี้ " สิ่ง ๆ นี้ คือ " กฏของธรรมชาติ " ที่ได้คอย ก่อกำเนิด ควบคุม สร้างสรรค์ ให้รางวัล ลงโทษ หรือทำลาย สรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล ให้เป็นไป ตาม กฏแห่งกรรม คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น " คนเราเมื่อรู้กฏ ก็คือรู้หน้าที่ มีหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกฏ เช่น กฏหมาย เป็นต้น ซึ่งกฏหมาย เป็นสิ่งที่มีอยู่ ในทุก ๆ ประเทศทั่วโลก ก็แตกต่างกันไป เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง ตามแต่ละสถาน ที่ แต่ " กฏของธรรมชาติ " นี้ เป็นสิ่งที่อยู่คู่โลก แต่เกิดก่อนโลก อยู่คู่จักรวาล แต่เกิดก่อนจักรวาล เป็นกฏเกณฑ์ เหมือนกฏหมาย ที่บังคับ ใช้กับสิ่งที่มีชีวิตทั่วทั้งจักรวาล ให้เป็นไปตาม " กฏแห่งกรรม " คือ ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น " เหมือนกันหมด ทั่วทั้งจักรวาล ไม่มีการแบ่งแยกหรือแตกต่างกัน แต่อย่างใด " กฏของธรรมชาติ " ก็เหมือนกับ " กฏหมาย " คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ ไม่สนใจ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย แต่เมื่อได้ทำผิดกฏหมายเข้าไปแล้ว ถ้าถูกจับได้ คุณก็จะต้องถูกลงโทษ อย่างหนักเบา หรือสาหัสสากัน ได้รับความทุกข์ทรมาณ มากมายแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณได้ทำผิดมากน้อยแค่ไหน และกฏหมายท้องถิ่น ของ สถานที่ประเทศนั้น ๆ ได้บัญญัติเอาไว้ว่าอย่างไร กฏหมาย ถ้าคนเราได้กระทำลงไปแล้ว ยังมีโอกาสหนีรอด ยังมี โอกาสหลบเลี่ยงได้ ถ้าโชคดีหรือมีความสามารถ แต่ " กฏของธรรมชาติ " เมื่อคนเราได้กระทำกรรม คือการกระทำใด ๆ ลงไปแล้ว ไม่มีโอกาสหนีผล ของกรรม คือ การกระทำนั้น ๆ พ้น หรือหนีรอดไปได้ ไม่ว่าจะหนีไปอยู่สุด ขอบ หรือส่วนที่ลึกที่สุดของจักรวาล กันก็ตามที " กฏของธรรมชาติ " บังคับใช้กับสิ่งที่มีชีวิต ทั่วทั้งจักรวาล แต่บนโลกนี้ สิ่งมีชีวิตที่จะสามารถ รู้ เห็น และเข้าใจ ในกฏของธรรมชาติ ได้ มีแต่เพียงคน คือ มนุษย์เท่านั้น เพราะเหตุนี้ " กฏของธรรมชาติ " จึง เป็น " หน้าที่ของมนุษย์ " ซึ่งคนเราจะต้องศึกษา พิจารณาดู เพื่อรู้ จนเห็น และเข้าใจ เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวม กันนั่นเอง ๒.๒ " กฏของธรรมชาติ " คือ " พลังที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล " เป็นสิ่งที่คอย ก่อกำเนิด ควบคุม สร้างสรรค์ ให้รางวัล ลงโทษ หรือทำลาย สรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล ให้เป็นไป ตาม " กฏแห่งกรรม " คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ รับผลเช่นนั้น " เป็น แก่นแท้ของธรรมชาติ คือ ความลับของจักรวาล ซึ่งซ่อนอยู่ในธรรมชาติ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตาเนื้อ ตาธรรมดา แต่สามารถศึกษา พิจารณาดู เพื่อรู้ จนเห็น และเข้าใจ ได้ด้วย สมองของมนุษย์ เป็น " หน้าที่ของมนุษย์ " เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและสังคม โดยส่วนรวม หน้าที่ของมนุษย์ คืออะไร ? ๑. เห็นแก่ส่วนรวม ๒. มีความสุขก็ดี มีความยากลำบากก็ได้ ขอเพียงแต่ ไม่ไปเบียดเบียน ตนเอง หรือผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อนกัน แต่คนเราจำนวนมากมายบนโลกนี้ นับสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้านคน เห็นแก่ตัว มากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม เพราะอะไร ? เพราะ คนเราทุก ๆ คน บนโลกนี้ เกิดมาพร้อมกับ " สัญชาติญาณสัตว์ " เพราะ " สัญชาติญาณสัตว์ " ที่คนเราทุก ๆ คนได้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้กัน ก็เพราะยังมี สัญชาติญาณสัตว์ หลงเหลืออยู่ สัญชาติญาณสัตว์ คืออะไร ? ๑. การเห็นแก่ตัว ๒. อยากได้ความสุข อยากมีความสุข อยากเป็นความสุข ไม่อยากได้ความทุกข์ ไม่อยากมีความทุกข์ ไม่อยากเป็นความทุกข์ ที่ปัจจุบันโลกของเราปั่นป่วน วุ่นวาย จนใกล้จะวินาศเต็มทีนี้ มีภัยพิบัติอย่างรุนแรงเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก เป็นสัญญาณเตือนก่อนที่โลกจะวินาศลงไป ถ้าไม่รีบแก้ไข ให้ทันท่วงที กันเสียก่อน มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่มากมาย หลายประเทศ ที่สามารถทำลาย ล้างโลก ได้อยู่ตลอดเวลา ก็เพราะ คนจำนวนมากมายบนโลกนี้ นับสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้านคน ทำตาม " สัญชาติญาณสัตว์ " โดยไม่สนใจปฏิบัติ " หน้าที่ของมนุษย์ " เห็นแก่ตัวเอง มากกว่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้เป็นเพราะความโง่ แต่เป็นเพราะความไม่รู้ ( อวิชชา ) คือไม่รู้ ใน " กฏของธรรมชาติ " มีตาเนื้อ แต่ไม่มีตาปัญญา เห็นเพียงเปลือก แต่ ไม่เห็น " แก่นแท้ของธรรมชาติ " ๒.๓ ปัจจุบันโลกของเราก็เหมือนคนกำลังป่วย ได้มีภัยพิบัติอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นระยะ ๆ ตลอดหลายปี ที่ผ่านมานี้ ทำให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ได้รับ ความทุกข์ทรมาณอย่างแสนสาหัสสากัน นับแสน นับล้านคน ทั่วโลก เสมือนกับเป็นการเตือนกันก่อน ที่โลกจะได้วินาศ ลงไปจริง ๆ ถ้าเหล่ามวลมนุษยชาติไม่รีบช่วยกันแก้ไข ก่อนที่จะ สายเกินไป " พลังที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล " คือ " พลังแห่งจิต พลังสมอง พลังแห่งปัญญา " พลังนี้ สิ่ง ๆ นี้ สิ่งเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถยับยั้งการวินาศของโลกมนุษย์ ที่พวกเราได้อาศัยกันอยู่นี้ ได้ " พลังแห่งจิต พลังสมอง " ที่ธรรมชาติ หรือว่า พระเจ้า ได้มอบให้แก่คนเรา บนโลกนี้ ติดตัวกันมาทุก ๆ คน เป็นสิ่งที่มีพลังมากมายมหาศาล เมื่อคนเราจำนวน มากมายบนโลกนี้ นับสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้านคน ได้ใช้ " พลังแห่งจิต พลังสมอง " ไปตามสัญชาติญาณสัตว์ คือ มีความเห็นแก่ตัว อยากได้ความสุข อยากมีความสุข อยากเป็นความสุข ไม่อยากได้ความทุกข์ ไม่อยากมีความทุกข์ ไม่อยากเป็นความทุกข์ โดยขาด " พลังแห่งปัญญา " คอยควบคุม ยิ่งวิทยาการความรู้ของคนเรา ก้าวหน้ามากขึ้นเพียงไร ก็สามารถทำลาย ล้างโลกได้มากขึ้นเพียงนั้น ก็ยังดีที่คนเรา ทำดีบ้าง ชั่วบ้าง ผสมกันไป ไม่อย่างนั้น โลกของเราคงจะวินาศลงไปนานแล้ว เพราะการที่คนเราใช้วิทยาการความรู้ อันสูงสุ่ง โดยขาดปัญญาคอยควบคุม เห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ประโยชน์ ส่วนรวม ทำตามสัญชาติญาณสัตว์ โดยไม่สนใจปฏิบัติ " หน้าที่ของมนุษย์ " ......... ๒.๔ โลกของเรา จะต้องเจริญก้าวหน้า อย่างยั่งยืน @ ......... ไม่ใช่ เจริญขึ้นมา อย่างย่ำแย่ ! เช่น ในปัจจุบัน " พลังแห่งจิต พลังสมอง " พลังแห่งความรู้ และวิทยาการต่าง ๆ ที่คนทั่วโลกได้คิดค้น ขึ้นมาใช้กันบนโลกนี้ ตั้งแต่อดีต จนสูงส่งล้ำยุคอย่างน่าอัศจรรย์ เช่นใน ปัจจุบันนี้ นั้น จะต้องมี " พลังแห่งปัญญา " ควบคู่กันไปด้วย จึงจะสามารถทำให้ โลกของเรา เจริญก้าวหน้า ขึ้นมาได้ อย่างมั่นคง และยั่งยืน ไม่ใช่ เจริญก้าวหน้า ขึ้นมาอย่างโอนเอน และย่ำแย่ เช่นในปัจจุบันนี้ กันนั่นเอง ถ้าคนทั่วโลกหันมามอง สนใจ และศึกษา ในเรื่องของ " พลังแห่งปัญญา " ซึ่งเป็น หน้าที่ของมนุษย์ คือ การเห็นแก่ ส่วนรวม มากกว่าเห็นแก่ตัว กันตั้งแต่เนิ่น ๆ เสียแต่ตอนนี้ ภายในปีนี้ สองปี นี้ ห้าปีนี้ หรือเต็มที่ไม่เกินสิบปีนี้ ก็อาจจะยังมีโอกาสช่วยยับยั้งการวินาศ ของโลกเรานี้ ได้ทัน แต่ถ้าไม่มีใครรีบสนใจในสิ่งที่ " สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด " นี้ กันเสียแต่เนิ่น ๆ เอาแต่พากัน มัวเมา ลุ่มหลง บูชาในความสุข ตกเป็นทาส อยู่ใต้อำนาจของความสุข เอาแต่ทำตาม " สัญชาติญาณสัตว์ " โดยไม่สนใจปฏิบัติ " หน้าที่ของมนุษย์ " มัวแต่เห็นแก่ความสุขส่วนตัว มากกว่าเห็นแก่ประโยชน์สุขสงบร่มเย็น ของสังคมโดยส่วนรวม กัน โลกของเรา จะต้องพังพินาศลงไป เหตุการณ์ภัยพิบัติกลียุค เช่นอย่างเฮติ มันจะเกิดขึ้นมา พร้อม ๆ กัน ทั่วโลก รวมถึง ในประเทศไทยด้วย จากภัยทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย สารพัดรูปแบบ อย่างที่ได้เคยเห็นประจักษ์เป็นระยะ ๆ กันมาแล้ว นั่นเอง ภายในไม่เกิน ๕๐ ปีนี้ เป็นอย่างช้า อย่างเร็วก็ สิบ ยี่สิบ สามสิบปี หรือเร็วมากกว่านั้นก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะว่า อนาคตนั้น เป็นสิ่งที่ ไม่แน่นอน เรื่องเหลือเชื่อ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อ สามารถเกิดขึ้นได้ ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง บนโลกนี้ ถ้าสิ่ง ๆ นั้น เป็นสิ่งที่มีเหตุผล เหตุก็คือ คนเราทั่วโลก ได้ใช้ " พลังแห่งจิต พลังสมอง " ใช้วิทยาการความรู้ เทคโนโลยีที่ได้คิดค้น พัฒนาขึ้นมา เอาไปแสวงหาความสุขใส่ตนเอง โดยไม่สนใจว่า จะไป ทำให้ สังคมโดยส่วนรวม ได้รับความเดือดร้อน กันหรือไม่ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันนี้ เป็นจำนวนมากมายนับครั้งไม่ถ้วน ทำตามสัญชาติญาณของ สัตว์ โดยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม หน้าที่ของมนุษย์ ได้ทำลายธรรมชาติ คือ ทำลายโลกของเรา ทั้งทางตรงและทางอ้อม กันมาแล้ว อย่างมากมายมหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ ที่ผมเห็น ๆ และพอจำได้เล็ก ๆ น้อย ก็คือ ๑. ประเทศใหญ่ ๆ ชอบทดสอบ ยิงอาวุธนิวเคลียร์ลงไปใต้ดินกัน ไม่รู้กี่หนต่อกี่หน กันแล้ว ๒. คนทั่วโลกได้ตัดไม้ทำลายป่า ทำลายธรรมชาติกันไป อย่างมากมายมหาศาล ไม่รู้เท่าไหร่กันแล้ว ๓. ผมเคยเห็นข่าวเรือบรรทุกน้ำมันล่มกลางทะเลอยู่มากมากย หลายหน ทำให้น้ำมันไหลปนเปื้อนลงสู่ทะเล ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านลิตร กัน มันทำให้ระบบนิเวศน์ใต้น้ำใต้ทะเล ได้ถูกทำลายลงไป เป็นจำนวนมาก ผมเห็นแล้วก็สงสาร และเสียดายความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ๔. คนเราได้ปล่อยควันพิษ สร้างขยะพิษขึ้นมา อย่างมากมาย มหาศาลทั่วโลก สารพัดรูปแบบ อยู่ตลอดเวลา น้ำเสียเอย โฟม ถุงพลาสติก ขยะอิเลคโทรนิค ต่าง ๆ เช่น ถ่านไฟฉาย แบตมือถือ โทรศัพท์มือถือเก่า ไม่รู้นับกี่ล้านเครื่อง เป็นต้น และอีกมากมาย บรรยายไม่หมด ฯลฯ ( วันนี้ ผมนั่งคิด นั่งพิมพ์นานแล้ว วันหลังค่อยมาต่อใหม่ ) แวะมาเยี่ยม...สวัสดีครับ
โดย: **mp5** วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:19:42 น.
|
Link |