.
The Matrix Really

บทที่ ๑๒

" พลังแห่งปัญญา " เป็น CPU

คือ ตัวควบคุม " พลังแห่งจิต และพลังสมอง " ของมนุษย์

.........

“ ปัญญา” คืออะไร ?

“ ปัญญา ”

คือ

“ แสงสว่าง ” เป็น “ ความรู้ ”

ที่คอยช่วยปัดเป่า แก้ไข เอาชนะความทุกข์เดือดร้อนต่าง ๆ

ของเหล่ามวลมนุษย์

ซึ่งมีอยู่มากมาย สารพัดรูปแบบบนโลกนี้

“ ปัญญา ” คือ “ ความรู้ ”

นั้นก็มีหลายแบบ หลายอย่าง มีความรู้ในด้านการประกอบอาชีพ

การทำมาหากิน ก็เรียกได้ว่า เป็นผู้ที่มีปัญญา ในด้านการประกอบอาชีพ

ในด้านการทำมาหากิน เป็นปัญญาที่ช่วยคอยดับความทุกข์เดือดร้อน

ในด้านนี้

มีความรู้ในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีปัญญา

ในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นปัญญาที่ช่วยคอยดับความทุกข์เดือด

ร้อน ในเรื่องเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแก่เหล่ามวลมนุษย์

และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

และอีกมากมาย ฯลฯ

เพราะฉนั้น

“ ปัญญา ” ในเรื่องของ “ ชีวิต ”

ก็คือ มีความรู้ เห็น และเข้าใจ อย่างลึกซึ้ง แท้จริง ในเรื่องของ

“ ชีวิต ” เป็นปัญญาที่ช่วยคอยดับความทุกข์เดือดร้อน ต่าง ๆ ที่มีอยู่มาก

มาย ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมาในชีวิต นั่นก็คือ “ จิตใจ ” เป็นหลัก

เป็นใหญ่

เพราะ ในเรื่องของ “ ชีวิต ” นั้น จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

จิตเป็นของสูง กายเป็นของต่ำ

“ ร่างกาย ” ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งที่มืดดำ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ส่วน “ จิตใจ ” เป็นสิ่งที่ขาวสะอาดสดใส ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใด ๆ

เป็นอิสระจากสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในที่บทผ่านมา

ว่า...

ก่อนที่จักรวาล และสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวงจะเกิดขึ้นมา

ดังเช่นในปัจจุบันนี้

มีพลังงานอยู่แค่เพียง ๒ สิ่ง นั่นก็คือ

“ พลังงานแห่งความมืด ”

และ “ พลังงานแสงสว่าง ” ( บริสุทธิ์ สะอาด สงบ ร่มเย็น )

ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน

ที่แท้จริง

ทั้งคู่

เมื่อเหล่าความมืด สิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหลาย ได้ค้นพบพลังงาน

ที่พวกมันต้องการ นั่นก็คือ “ พลังงานความร้อน ” พวกมันจึงได้แผ่ตัวเข้า

ปกคลุม คุกคาม “ พลังงานแสงสว่าง ” ซึ่งเป็น พลังงานทางจิต “ พลังแห่ง

จิต พลังสมอง พลังแห่งปัญญา ” พร้อม ๆ กับ สิ่งที่ลวงตา ในรูปแบบต่าง ๆ

เพื่อล่อให้พลังงานทางจิต เห็นเหยื่อ หลงเชื่อและติดกับดักต่าง ที่พวกมัน

ได้วางเอาไว้

ซึ่งพลังงานแสงสว่าง ที่เป็นพลังงานทางจิตนี้

ก็มีพลังงานที่กล้าแข็งและอ่อนแอปะปนกันอยู่ สัดส่วนมากน้อยแค่ไหน

ไม่แน่ใจ เมื่อถูกพลังงานความมืดเข้าคุกคาม โจมตีหลอกลวง ด้วยสิ่งที่ลวง

ตา ในรูปแบบต่าง ๆ พลังงานทางจิตในส่วนที่อ่อนแอ จึงได้เกิดการระเบิด

แตกกระจายกันออกมา กลายเป็น “ ดวงจิต ” ทั้งหลาย จำนวนมากมายนับ

ไม่ถ้วน ก่อเกิดดวงดาวต่าง ๆ ขึ้นมา นับพัน หมื่น แสน ล้านดวง เป็นดาว

ประจำตัว ของดวงจิตต่าง ๆ

และดวงจิตเหล่านี้นั้นก็ได้ก่อร่าง สร้างตัว ถือกำเนิด

เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งที่มีชีวิต หลากชนิดหลายเผ่าพันธุ์ สารพัดรูปแบบ อาศัยอยู่

ตามดวงดาวต่าง ๆ ในแกแลคซี่ทั้งหลาย ทั่วทั้งจักรวาล

...................

พลังที่สูงส่งและยิ่งใหญ่มากมายที่สุด

บนโลกนี้และทั่วทั้งจักรวาล

ซึ่งก็คือ

พลังงานแสงสว่าง

เป็น

“ พลังงานทางจิต ”

พลังแห่งจิต พลังสมอง พลังแห่งปัญญา

ส่วนที่สำคัญที่สุด

นั่นก็คือ

“ พลังแห่งปัญญา ”

สมมุติว่า ถ้า “ พลังงานทางจิต ” ซึ่งประกอบด้วย

พลังแห่งจิต พลังสมอง พลังแห่งปัญญา นี้ เป็น เครื่องคอมพิวเตอร์

“ พลังแห่งปัญญา ”

ก็เปรียบเสมือนกับ เป็น CPU คือ ตัวควบคุม ( หน่วยประมวลผลกลาง )

ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุด

ที่จะทำให้ สามารถใช้ “ พลังแห่งจิต และพลังสมอง ” ของมนุษย์

ซึ่งเป็นพลังที่สูงส่งยิ่งใหญ่ที่สุด บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล ได้อย่างมี

ประสิทธิภาพขั้นสูงสุด และถูกต้อง โดยไม่มีความผิดพลาด หรือผลเสียข้าง

เคียงใด ๆ เกิดขึ้นมา ถ้ามี “ พลังแห่งปัญญา ” คอยกำกับดูแลควบคุม พลัง

ทั้งสองอย่าง คือ “ พลังแห่งจิต และพลังสมอง ” ของเหล่ามวลมนุษย์

ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้ อยู่ด้วย

แต่...

เมื่อ “ พลังงานทางจิต ” เปลี่ยนเป็น “ ดวงจิต ”

ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา

กลายเป็น “ สิ่งที่มีชีวิต ”

เพราะถูกเหล่าความมืด ( ความไม่รู้ ) สิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหลาย ( ความรู้

ความเห็น ความเข้าใจที่ผิด ) เข้ามาปกคลุม คุกคาม โจมตี หลอกลวงด้วย

สิ่งที่ลวงตาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อล่อให้พลังงานทางจิต เห็นเหยื่อ หลงเชื่อ

และติดกับดัก ที่พวกมันได้วางเอาไว้

สิ่งที่มีชีวิต คือ เหล่ามวลมนุษย์และสรรพสัตว์

ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล จึงได้เกิดขึ้นมา

โดยมิได้มี “ พลังแห่งปัญญา ” ( ความรู้ = แสงสว่าง ) ติดตัวมากันด้วย

เพราะถูกเหล่าความมืด ( ความไม่รู้ ) ปกคลุมดวงจิต ครอบงำจิตใจของสิ่งที่

มีชีวิต ทำให้เกิดความเห็นผิด คือ สิ่งที่ชั่วร้ายทั้งหลาย ( ความรู้ ความเห็น

ความเข้าใจที่ผิด ) ขึ้นมา ทำให้ตกอยู่ใต้อำนาจของ “ สัญชาติญาณสัตว์ ”

คืออยากได้ความสุข เกลียดกลัวความทุกข์

มองเห็น และสนใจแต่ความสุข กับความทุกข์

ที่เกิดดับ เกิดขึ้นมาและก็ดับลงไป ในจิตใจของตน ตลอดทั้งชีวิตของตัวเอง

แต่มองไม่ค่อยจะเห็น สิ่งที่ดีงาม มีประโยชน์ คุณค่า

สูงส่งและยิ่งใหญ่มากมายที่สุด บนโลกนี้ และทั่วทั้งจักรวาล

ที่อยู่ภายในจิตใจของตนเอง

นั่นก็คือ

ความบริสุทธิ์ สะอาด สงบ ร่มเย็น

ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ

คือรากฐาน เป็นแก่นแท้ ของจิตใจ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย

คือ เหล่ามวลมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกนี้

และทั่วทั้งจักรวาล

.........