Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 

จ้าวจตุรทิศ ภาคสุริยคราส: ว่ากันด้วยตอนต่อ...จากบทที่หนึ่ง

คุยกันก่อนนะคะ...

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณอมิธีสต์ที่อุตส่าห์ไปโพสโฆษณาเสียดิบดีในบล็อคของท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกซึ้งในน้ำใจสหายเก่าจริงๆ

เดือนสิงหากลับมาเมืองไทยเมื่อใด ไว้คุยกันแบบตัวเป็นๆ เนอะ

ส่วนเรื่องราวของบล็อคหน้านี้ยังเป็นเรื่องเดิมที่ลงค้างไว้ครึ่งตัว เย่ย...ครึ่งบทตั้งแต่ครั้งที่แล้ว เราคิดว่าไม่ควรนำมาลงครึ่งๆ กลางๆ เหมือนคนสติไม่เต็มเต็งคล้ายคนเขียน (เฮ้ย!) ก็เลยนำส่วนท้ายที่เหลือมาลงให้เต็มบทค่ะ

ซึ่งแต่ละบทอาจจะยาวเล็กน้อย ต้องขออภัยเป็นการล่วงหน้าค่ะ

ส่วนเรื่องหนังสือ...หากใครเข้าไปในบล็อคคุณอมิธีสต์คงจะเป็นร่างแรกแล้ว..ส่วนปกในเวอร์ชั่นสุดท้าย เจ้าของบล็อคจะเอามาลงในภายหลังค่ะ








1. รามิต (ต่อจากตอนที่แล้ว)


พญาแร้งขนาดใหญ่ตัวเดิมบินมุ่งตรงมายังยอดหอคอยที่ถูกปรับเป็นลานหินเรียบในจุดที่อยู่ระดับสูงสุดของตัวปราสาท เสารับคบเพลิงถูกจุดขึ้นรายล้อมลานแห่งนั้นส่องแสงรองเรืองไปทั่วบริเวณ เพื่อให้บรรดาผู้ที่กำลังนั่งบนหลังพญาแร้งแห่งทุ่งกาลีเห็นลานบินได้อย่างชัดเจน

เนื่องจากสายตาของเหล่าพญาแร้งนั้นจัดว่าไม่ค่อยจะดีนัก พวกมันจำต้องบินโดยอาศัยคลื่นสะท้อนแบบเดียวกับค้างคาว ดังนั้น สภาพอากาศที่มีแสงน้อยอย่างแดนตะวันตกจึงไม่เป็นปัญหากับพวกมัน แต่ผู้ที่อยู่บนหลังของมันไม่มีความสามารถเช่นนั้น สัญญาณไฟจึงถูกใช้นำทางสำหรับผู้บังคับนก

แม้จะดูน่าเกลียดและไร้ซึ่งความสง่าแต่พญาแร้งแห่งทุ่งกาลีก็เป็นนกขนาดใหญ่ที่อดทน พวกมันสามารถบินอย่างต่อเนื่องได้หลายวันโดยไม่หยุดพัก ฉะนั้นมันจึงเป็นพาหนะที่เหมาะสมสำหรับปราสาทจันทรคราสในการตรวจตราพื้นที่อันกว้างใหญ่ของทุ่งกาลี ถึงแม้รูปร่างอันอัปลักษณ์ของมันทำให้ไม่เป็นที่นิยมนักในนครแห่งเทพ แต่ความเลื่องชื่อของ ‘หน่วยวิหค’ ของปราสาทจันทรคราสก็เป็นที่กระเดื่องไปทั่วแดน

พญาแร้งชะลอความเร็วขณะที่มันเตรียมร่อนลงบนยอดหอคอย มีคนยืนให้สัญญาณอยู่แล้วประมาณสามสี่คน หนึ่งในนั้นแต่งกายในชุดสีดำพรางตัวเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่นั่งอยู่บนอานนก คนเบื้องล่างหาที่มั่นยึดเป็นพัลวันขณะที่นกตัวใหญ่กำลังถลาร่อนลงมา มีเพียงชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ยังคงยืนปักหลักไม่เปลี่ยนแปลงราวกับเคยชินกับสถานการณ์เช่นนี้ เขารอจนนกยืนหุบปีกจนนิ่ง และคอยจนคนบนหลังนกไต่ลงมาจากบันใดเชือกพร้อมถุงกระสอบที่พาดไหล่ลงมาถึงพื้นลานเรียบ จึงค่อยกระแอมขึ้นเบาๆ

“เจ้าบังคับนกได้ดี”

ร่างใหญ่โตที่ยืนอยู่ก่อนทักขึ้น ไม่สะทกสะท้านต่อแรงลม

“ไม่เหมือนเจ้าอังคีของข้า พอมาถึงมันจะกินแต่อาหารอย่างเดียว” แม้จะฟังดูเป็นคำชื่มชมหากคนที่ใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะสัมผัสถึงความริษยาในประโยคนั้นได้ คนพูดไม่ได้สวมหมวกปีกกว้างแบบเดียวกับผู้ที่เพิ่งลงจากหลังนกจึงเผยให้เห็นศีรษะไร้เส้นผม เค้าหน้าอันร้ายกาจแกมน่าสมเพชที่แม้ดูแข็งแกร่งแต่กลับดูซีดเซียวราวกับผีตายซาก ซ้ำยังมีรอยแผลรูปกากบาทพาดผ่ากลางใบหน้า ดวงตาสีเหลืองทั้งสองนั้นลุกวาวในความมืด ริมผีปากบางและแห้งจนเห็นฟันเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ข้างใบหูขนาดใหญ่ถูกร้อยด้วยห่วงทองเหลืองเล็กๆ นับสิบๆอัน ไม่บอกก็รู้ว่าเขาเป็นพวกลูกผสมของพวกเผ่าผีกับสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งในแถบนี้

ผู้มาใหม่หันไปทำสัญญาณกับนก ครู่หนึ่งมันก็กางปีกมหึมาออกแล้วโผบินกลับไปยังโรงเลี้ยงพญาแร้งเพื่อเอาอาหารและพักผ่อน

“เวหาเป็นนกที่ดีและฉลาด”

เมื่อใบหน้าเสี้ยวหนึ่งที่ไม่ได้ถูกหมวกปีกกว้างบดบังกระทบกับแสงไฟ จึงได้เห็นว่าผู้พูดนั้นเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์


.....



เขารอจนปีกของเวหาหายลับไปทางโรงเลี้ยง จึงเริ่มเดินลงบันไดเวียนไปยังโถงเบื้องล่าง

“แต่มันก็เป็นพี่น้องมาจากรังเดียวกันกับเจ้าอังคีมิใช่รึ?” เจ้าผู้มีใบหน้าราวซากศพเดินได้กล่าว

ใช่…แถมตอนนั้นมันเป็นนกตัวสุดท้ายที่ไม่มีใครเลือกเพราะขามันหัก เด็กหนุ่มนึกในใจ ขณะที่มองดูชายลูกครึ่งเผ่าผีซึ่งกำลังแบกถุงขนาดใหญ่สองถุงบนบ่าทั้งสองข้าง ถุงหนึ่งนั้นมีของเหลวสีเข้มซึมหยดลงมาเป็นระยะ เขาละสายตาจากถุงใบนั้น เพราะรู้ดีว่าภายในบรรจุสิ่งของชนิดใด

ทั้งสองเดินวนลงบันไดเวียนอยู่ครู่หนึ่ง ชายครึ่งผีดิบจึงเสถามขึ้นอย่างใคร่รู้
“เจ้าไปนาน พบอะไรบ้างล่ะ?”

“ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าพบผู้บุกรุกตรงรอยเขตรอบนอก”

ถึงตรงนี้ชายผู้มีแผลเป็นที่ใบหน้า ใช้มือหยุดอีกฝ่ายแล้วรีบพูดขึ้น

“ข้าหวังว่าเจ้าคงจัดการมันอย่างสมควร คงจะไม่ใช่อย่างครั้งที่แล้วหรอกนะ” พูดจบก็ยิ้มเยาะ

เด็กหนุ่มผลักมือของอีกฝ่ายออกห่าง พลางตอบ “ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”

“โอ้แน่ละ!” มันกางแขนออกทั้งๆที่มือยังจับปลายถุงอยู่ทั้งสองข้าง “รามิตผู้แสนใจบุญ ชาติหน้าเจ้าคงได้เกิดเป็นเทพชั้นฟ้าแน่ หากในครั้งนั้นข้ามิได้ขอร้องต่อนายท่าน ป่านนี้เจ้าคงยังถูกจับโยงในคุกใต้ดินแน่”

เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า รามิต หันมาประจันหน้ากับอีกฝ่าย ใบหน้าส่วนใหญ่ของเขายังอยู่ในเงามืด หากประกายตาของเขาวาววับ

“ยังไงเสีย ข้าต้องขอขอบใจเจ้ามากนะอสุภะ ที่ตามไปช่วยเก็บกวาดงานที่ไม่เรียบร้อยของข้า”

อสุภะยิ้มเห็นฟันที่ยื่นโย้เย้ออกมา

“เรื่องเล็กน้อย ไหนๆ เราก็เป็นศิษย์นายท่านด้วยกันทั้งคู่”

ทั้งสองทุ่มเถียงกันได้ไม่เท่าไหร่ ก็เดินลงมาถึงโถงชั้นล่างของหอคอย อสุภะสะพายสัมภาระของตนขึ้นบ่าก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปภายในโดยแรง ร่างของเขาสูงและหนากว่ารามิตอย่างเห็นได้ชัด


.....



ห้องโถงภายในกว้างและสว่างด้วยคบเพลิงที่จุดอยู่ทั่วทั้งห้อง พื้นไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อลูกศิษย์ทั้งสองก้าวเข้ามา โต๊ะไม้ยาวตั้งขวางระหว่างพวกเขากับหญิงร่างใหญ่คนหนึ่ง เธอดูสูงและหนากว่าเจ้าครึ่งผีเสียอีก เส้นผมของหญิงผู้นั้นหนา หยิกและขมวดเป็นเกลียว คาดว่าเธอคงจะมีเชื้อสายยักษีหรือไม่ก็เป็นสายพันธุ์ห่างๆจากบรรพบุรุษที่แสนดุร้าย เพราะใบหน้าอูมอมชมพูนั้นแสดงถึงความใจดี ผิวกายก็ค่อนข้างขาวคล้ายกับชาวเทพ

“อ้าว! ดูสิ ใครเป็นผู้ลาดตระเวนคนสุดท้ายในวันนี้กันละเนี่ย”

เธอทักขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด เบื้องหลังของเธอคือผนังที่เป็นลิ้นชักไม้นับร้อยๆ อัน รามิตเคยสงสัยว่าอีกฝ่ายสามารถจดจำตำแหน่งช่องไม้เหล่านั้นได้อย่างไร เพราะทันทีที่เห็นทั้งสอง เธอก็เอี้ยวตัวหันไปดึงช่องที่ดูจะไม่มีอะไรพิเศษกว่าช่องอื่นออกมาด้วยความแม่นยำ แล้วนำกระดาษมากางบนโต๊ะไม้ยาวตรงหน้า

“เจ้าสองคน ลงชื่อและเวลาตรงนี้ ข้าจะได้บันทึกไว้” เธอชี้บอกตำแหน่งบนกระดาษ

อสุภะกับรามิตทำตามคำบอกนั้น

“แล้วเอาอะไรมาบ้างล่ะ” เธอถามพลางหันหลังแล้วเก็บกระดาษคืนไว้ในลิ้นชักตามเดิม

โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อสุภะรีบเทถุงที่มีของเหลวสีเข้มหยดย้อยเป็นทางนั้นลงพื้นทันที สิ่งของ ในถุงนั้นน่าสยดสยองจนอาจทำให้คนขวัญอ่อนบางคนเป็นลมสิ้นสติได้เลยทีเดียว มันเป็น ชิ้นส่วน ของผู้บุกรุก มือของหัวขโมย ปีกของค้างคาว หัวของจระเข้ ลูกตาของสิ่งมีชีวิตบางพันธุ์ที่ดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร

“ข้าว่านายท่านให้พวกเจ้าไปลาดตะเวนมิใช่หรือ? ไม่ได้ให้พวกเจ้าไปฆ่าอะไรแก้เซ็งเสียหน่อย” เธอกล่าวพลางส่ายศีรษะ “ฆ่ามาตั้งมากมาย ไม่ได้ศิลาอัคคีมาเลยหรือ?” เธอมองรอบโต๊ะ

“แหมท่านเนียม ที่ข้าเจอมีแต่เจ้าพวกกระจอก ไม่รู้จักศิลาอัคคีหรอกน่า” เจ้าครึ่งผีร้อง

เนียมมองตรงไปยังอสุภะ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด

“อย่าให้ข้ารู้ว่า เจ้าลักขโมยไปเองก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าเจอดีแน่ ไม่ต้องให้นายท่านออกแรงหรอก” เธอคาดโทษ หันไปทางรามิต

“แล้วเจ้าล่ะ?”

แทนคำตอบ รามิตหยิบเอาสิ่งของที่อยู่ในถุงออกมา เมื่อเห็นว่าสิ่งของที่อยู่ในถุงคืออะไร ตาอสุภะแทบถลน แลบลิ้นเลียปากด้วยความละโมบ สิ่งที่อยู่ภายในถุงเต็มไปด้วยศิลาอัคคี คลื่นพลังงานที่อยู่ภายในหินหลอมเต้นระยับสะท้อนแสงไฟ

เป็นเวลานานกว่าเนียมจะพูดออกมาได้

“ได้มามากขนาดนี้ นายท่านต้องอารมณ์ดีเป็นแน่”

อสุภะยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันดัง

“เจ้าขี้โกง!” มันว่า “เจ้าได้ศิลาอัคคีมากแบบนี้ แสดงว่าต้องเจอรังโจรแน่ แล้วพวกมันละอยู่ไหนกัน! เจ้าปลิดชีวิตพวกมันหรือเปล่า! เจ้า…เจ้า! ก็รู้กฎดี มันผู้ใดบังอาจมาเก็บศิลาอัคคีในดินแดนของเราต้องกำจัดมันให้สิ้นซาก แล้วไหนล่ะหลักฐานที่แสดงว่าเจ้าฆ่าพวกมันหมดแล้ว”

“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้า” รามิตกล่าวอย่างไม่แยแส

ใบหน้ามันบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ อสุภะระเบิดหัวเราะเสียงดัง “ดีล่ะ! ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปฟ้องนายท่าน ดูสิว่าท่านจะตัดสินอย่างไร”

“ข้าว่าเจ้าอย่าลำบากเลย” เนียมว่าขึ้น

“ทำไม? ข้าว่านายท่านต้องยินดีรับฟังข้าเรื่องคนทรยศเป็นแน่”

นางกอดอก “นั่นเป็นเพราะรามิตได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ถือคทาเหมือนเจ้าเฒ่าสิงหราน่ะสิ เขาจึงสามารถเก็บศิลาอัคคีได้เยอะกว่าเพราะสามารถบินเข้าไปในเขตหวงห้ามได้ นี่เจ้าไม่รู้เรื่องเลยรึ?”

“ว่าไงนะ?” อสุภะอ้าปากหวอ “เจ้าเด็กนี่นะ? ได้เป็นผู้ถือ…เฮ้ย! มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว” มันตะโกนแว้ดๆ

เนียมไม่สนใจท่าทีราวกับคนสติแตกของนายครึ่งผีนั่น กลับหันไปกล่าวกับรามิต

“เจ้ากลับไปพักผ่อนได้แล้ว ศิลาอัคคีพวกนี้ข้าจะจัดการเอง” นางพูดอย่างอารมณ์ดี พลางมองไปที่ศิลาอัคคีหรือผลึกลูกไฟที่กำลังเปล่งประกายจัด ในขณะที่รามิตกำลังจะก้าวออกไป อสุภะกลับกระโดดเข้ามาขวางทางพลางชี้หน้า

“อย่านึกนะว่า เมื่อเจ้าได้เป็นผู้ครอบครองกาลคทาแล้วจะทำให้เจ้าสั่งข้าได้ จงอย่าลำพอง! อย่างไรซะในสายตาข้า เจ้ายังเป็นเด็กน้อย ที่ข้าเคยช่วยชีวิตเอาไว้”

“นั่นก็เพราะนายท่านห้ามไม่ให้เจ้าฆ่าเขาเป็นอาหารว่างน่ะสิ” เนียมแทรกขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ หากรามิตกลับจ้องมองตอบไปยังผู้ที่เคยละชีวิตเขา ถึงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม

“ข้ารู้และจำได้ดีอสุภะ และสักวันข้าจะทดแทนให้เจ้า”

ใบหน้าของอสุภะกระตุกนิดหนึ่ง “ข้าจะจำไว้” มันกล่าวเสียงเครียดก่อนจะพาร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของมันออกจากห้องไปด้วยความริษยา

“เจ้าบ้าอสุภะ… นับวันจะฟุ้งซ่านมากขึ้นทุกที เจ้าอย่าคิดมากเลยนะรามิต” นางเนียมว่าไล่หลัง

รามิตพยักหน้าแล้วลากลับเข้าห้องพักอย่างมีมารยาท เนียมแค่เพียงยกมือขึ้นเป็นเชิงรับรู้ ครู่ต่อมาเธอจึงเริ่มแยกเก็บศิลาอัคคีตามสี

เอ...ทำไม...คราวนี้มีแต่ศิลาแดงกับศิลาเหลือง นางคิด


.....




รามิตวางไม้คทารูปร่างประหลาดลงบนแท่นวาง แม้รูปลักษณ์ของกาลคทาจะไม่ค่อยน่าชื่มชมแต่มันก็เป็นอาวุธที่มีพลานุภาพและที่สำคัญมันเป็นสิ่งที่จ้าวปราสาทจันทรคราสมอบให้เขาด้วยตนเอง

เด็กหนุ่มถอดเสื้อคลุมสีดำแล้วแขวนไว้กับตะขอเกี่ยว จึงเห็นว่าตัวเสื้อข้างในเป็นผ้าฝ้ายดิบสีขาว แขนสั้น ที่กลางหลังปักเป็นลวดลายคล้ายรูปดาราจักร อันเป็นสัญลักษณ์แห่งแดนทมิฬ มีเพียงจ้าวทิศตะวันตกและลูกศิษย์บางคนเท่านั้นที่สามารถแสดง ตราจันทรคราส นี้ได้

ถึงแม้รามิตจะขึ้นชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของจ้าวปราสาท แต่สถานะของเขากลับไม่ต่างไปจากเด็กรับใช้ ถึงจะน่ากลัวอย่างไรปราสาทจันทรคราสก็มีขนาดใหญ่โตไม่น้อย แต่ที่แห่งนี้กลับปราศจากนางอัปสรเฝ้าดูแลเช่นเดียวกับปราสาทใหญ่โตอื่นๆ เพราะที่ตั้งของมันเรียกว่าแทบจะประชิดกับแดนมาร ซึ่งมีชาวเทพไม่กี่ตระกูลเท่านั้นสามารถเข้ามาใกล้ได้โดยไม่วิกลจริตหรือสูญพลังเทพไปเสียก่อน ไม่ต้องพูดถึงนางอัปสร เพราะแค่ได้ยินชื่อทุกนางก็จะรีบหนีไปให้ไกลทันที

เจ้าจอมปราสาทจึงคิดหาทางออกโดยใช้ลูกศิษย์ตนทำงานในปราสาทแทน โดยท่านจะออกตรวจตรารับอุปการะพวกเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งหรือเด็กกำพร้าตามหมู่บ้านชายแดนซึ่งก็มักจะหาได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

รามิตเองก็มีที่มาไม่แตกต่างเช่นกัน

ไม่มีใครในปราสาทรู้แน่นอนว่าจ้าวแห่งมรณทิศพบเด็กน้อยรามิตเมื่อใดหรือที่ไหน เพราะไม่มีใครในปราสาทใส่ใจมากนัก ด้วยคิดว่าไม่นานเจ้าเด็กน้อยลูกมนุษย์ท่าทางอ่อนแอผู้นี้คงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากความทารุณโหดร้ายในปราสาทได้ แต่รามิตก็รอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ครั้งหนึ่งเขาเกือบจะเป็นอาหารมื้อดึกของเจ้าผีอสุภะไปแล้ว

ใบหน้าของรามิตยามไร้หมวกปีกกว้างดูคมสันเสมือนเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ทว่าเขากลับมีเส้นผมสีเงินอมทอง ขัดกับดวงตาสีเทาดำและคิ้วสีเข้ม เท่าที่รามิตจำความได้ผมของเขามีสีนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และไม่มีชนเผ่าใดในบุราทิศจะมีผมสีเงินตั้งแต่เกิด นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่จ้าวแห่งทิศตะวันตกตัดสินใจรับรามิตเข้ามาอยู่ในปราสาทแห่งนี้

เมื่อฟังดูเผินๆ คล้ายกับว่าจ้าวแดนตะวันตกผู้นี้ช่างใจบุญและเปี่ยมเมตตายิ่งนัก น่าจะลบล้างคำร่ำลือเกี่ยวกับความโหดร้ายและป่าเถื่อนของเทพตระกูลนี้ลงไปได้บ้าง แต่ทว่ากลับยิ่งได้ผลตรงข้าม...เพราะการที่ปราสาทเต็มไปด้วยข้าทาสบริวารที่มาจากเผ่าชั้นต่ำยิ่งทำให้ปราสาทตะวันตกได้กลายเป็นปราสาททมิฬสมชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ


.....




รามิตทรุดตัวลงบนม้านั่ง มองดูทิวทัศน์ขมุกขมัวภายนอก ทุ่งมรณะที่ไม่สามารถบอกเวลากลางวันหรือกลางคืนได้อย่างชัดเจน เมฆสีดำเคลื่อนที่สวนกันไปมาอย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้ตายซากยืนต้นตายอยู่เป็นระยะ ขี้ฝุ่นสีดำดุจผงถ่านกระจายฟุ้งขึ้นมาแล้วก็กลับร่วงหล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับปีศาจกำลังเริงระบำ บรรยากาศเย็นยะเยือกจนทำให้คนธรรมดาอยากกรีดร้องด้วยความกลัว

ฝุ่นกลุ่มหนึ่งก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายสัตว์ประหลาดมีเขาและมีปีกดุจค้างคาวอยู่ตรงกลางบานหน้าต่างที่รามิตนั่งพอดี แต่เมื่อไม่สามารถล่อหลอกผู้อยู่หลังบานกระจกให้กลัวได้ พวกมันก็แตกกระจายออกกลายเป็นเขม่าควันธรรมดา ขณะที่รามิตกำลังจะเอี้ยวตัวหยิบตำราที่วางอยู่ข้างโต๊ะ เขาก็พลันสะดุ้งวาบที่จู่ๆ ก็มีวัตถุบางอย่างคล้ายลำไม้ไผ่ยาวกำลังยืดตัวออกมาจากท่อส่งน้ำเก่าร้างบนเพดาน

“ให้ตายสิ! เวฬุ! เจ้าจะเข้ามาทางเข้าปกติเหมือนกับคนอื่นเขาไม่ได้หรือไง?” รามิตร้อง

แต่หัวทรงกระบอกกลับไปโผล่อีกด้านหนึ่งของท่อน้ำที่โยงใยไปทั่วห้อง

“อ้าว! ขอโทษทีรามิต ข้านึกว่าถึงห้องข้าแล้ว” นัยน์ตาปูดโปนของเขามองมาที่เจ้าของห้อง

“เจ้ากลับมาเมื่อไหร่? แล้วเวหาบินเป็นไงบ้าง?” เวฬุถามพลางยืดตัวออกมาจากท่อน้ำ

“เพิ่งกลับมาเมื่อตอนนี้แหละ แล้วเวหาก็บินได้ดี เจ้าเข้าไปทำอะไรในนั้น? หรือแอบหนีใครมา?”

ตอนนี้นายกระบอกไม้ไผ่ยืดลำตัวออกมาได้แล้ว เหลือเพียงช่วงขายาวๆเท่านั้น

“ก็นายท่านน่ะสิ สั่งให้พวกเด็กรับใช้ไปถอนเถากาลีในหอคอย โชคดีนะที่เจ้าไม่อยู่วันนี้…ไม่อย่างนั้นต้องโดนทำโทษเป็นทิวแถวเพราะมีเจ้าโง่คนหนึ่งดันลืมดูที่ห้องใต้ดิน”

“เจ้าก็เลยหนีออกมาก่อนใช่ไหม?” รามิตเดาได้ไม่ยากเลย

เวฬุขยับหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเดินไปที่ประตูทางออก

“เจ้าอย่าไปบอกใครล่ะรามิต แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

รามิตเพียงแต่พยักหน้ารับ เขารู้มานานแล้วว่าเวฬุสามารถหลบหนีการทำโทษโดยการมุดรูท่อน้ำหนีมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เวฬุผู้บอบบางสามารถอยู่รอดปลอดภัยภายในปราสาทแห่งนี้

เขาเดินตามไปปิดประตูพลางนึกถึงหัวขโมยสองพี่น้อง

ป่านนี้คงปลอดภัยดีแล้ว...

...มันคงจะดีไม่น้อยที่ได้อยู่กับคนในครอบครัว...

หากเขารีบสลัดความคิดนี้ออกอย่างรวดเร็ว จะอิจฉาไปทำไมกัน?

ในเมื่อปราสาทแห่งนี้ก็คือบ้านของเขาเช่นกัน แม้มันจะประหลาดและน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม


.....



ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ



ปล. ส่วนงานสัมมนาที่ผ่านมา...ไม่ขอเล่าดีกว่า ปล่อยไก่ไปบานตะเกียงเลยฉัน...เฮ้ออออ




 

Create Date : 11 มีนาคม 2552
2 comments
Last Update : 11 มีนาคม 2552 23:59:38 น.
Counter : 1521 Pageviews.

 

เเวะมาทักจ้า... เเละจะบอกว่าขออนุญาตเปลี่ยนบล๊อกน้า...

 

โดย: อมิธีสท์ 19 มีนาคม 2552 8:18:42 น.  

 

อื้ม...ตามสบายเลยค่ะ.

ขอบคุณมากกกกก เลยเพื่อน

 

โดย: run saya 21 มีนาคม 2552 22:46:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


run saya
Location :
Hong Kong Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




บอกเล่าเก้าสิบ:)

เราย้ายกลับมาทำงานที่ออฟฟิคในกรุงเทพฯ แล้วค่ะ ช่วงนี้งานการยังยุ่งตามระเบียบ แต่ถึงอย่างไรจะพยายามหาเวลามาเขียนหนังสือและจบต้นฉบับ (ร่าง) ของเล่มสามให้ได้ภายในปีนี้ค่ะ (หวังว่า)

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่กรุณาเข้ามาสอบถามความคืบหน้านะคะ
Friends' blogs
[Add run saya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.