ละครร้องเรื่องตุ๊กตายอดรัก
ละครร้องเรื่อง ตุ๊กตายอดรัก ในพระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ขึ้นเมื่อเทศกาลละครกรุงเทพ ประจำปี 2547 ณ พุทธสมาคม ถนนพระอาทิตย์ โดยปรับจากบทดั้งเดิมเพื่อความกระชับสำหรับเล่นใน 1 ชั่วโมง จากเนื้อเรื่องที่ดูเผินๆ เหมือนเป็นเพียงแค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ปลอมตัวเป็นตุ๊กตานั้นชวนให้คิดไปถึงประเด็นอื่นที่ใหญ่กว่า คือมายาการของศิลปะ อำนาจของศิลปะไม่เพียงลวงผู้เสพเท่านั้น หากแต่ยังสามารถล่อผู้สร้างให้หลงใหลในผลงานของตนได้ หลวงกะละมัย ช่างปั้นฝีมือเอก สร้างตุ๊กตาไว้มากมายเก็บไว้ในบ้านของตนเอง หนึ่งในนั้นเป็นตุ๊กตาฝรั่งที่หลวงกะละมัยเฝ้าชื่นชม ด้วยว่างามเหมือน แฉล้ม บุตรสาว จนถึงกับเอ่ยปากเทียบเคียงกับบุตรสาวว่า "ไหนๆ แม่หนู มายืนเทียบให้พ่อดูหน่อย เออ ตรงนั้นน่ะ แม่อิ่มเห็นมั้ยว่าคล้ายแม่หนูยังกะแกะ งามจริงๆ งามทั้งคู่" โดยที่ผู้เสพคือแม่อิ่ม ผู้เป็นภรรยาก็ตอบรับว่า "อุ๊ย ฝีมือถึงลือคราวนี้แหละค่า หาที่ไหนไม่ได้แล้ว" แฉล้มเองก็เฝ้าวนเวียนอยู่กับตุ๊กตาตัวนั้น (ฉากนี้ราวกับเป็นการทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่เธอจะต้องปลอมตัวเป็น ตุ๊กตา) "…แต่ตัวไหน แม่ก็ไม่ ชอบใจเหมือน ตัวแม่ตุ๊ก ตาเพื่อน ที่พ่อปั้น จ้องชม สมจิต ติดใจครัน ยิ้มละไม ใฝ่ฝัน เป็นตุ๊กตา" การให้คุณค่างานศิลปะ (ตุ๊กตา - ประติมากรรม) จึงเกิดจากการเทียบเคียงเข้ากับของจริง แต่ฉากที่เผยให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของงานศิลปะนั้นกลับเกิดขึ้นเมื่อตัวผลงานได้แตกสลายไปแล้ว แฉล้มทำตุ๊กตาแตก จึงร่วมมือกับแม่อิ่มทำอุบายหลอกบิดาไปยืนเป็นตุ๊กตาแทน หลวงกะละมัยจับไม่ได้ว่าเป็นตุ๊กตาปลอมจึงขายให้แก่หลวงวิเชียร ข้าราชการหนุ่มซึ่งแวะมาเยี่ยมที่บ้าน จริงอยู่ว่าหลังจากตุ๊กตาแตก สิ่งที่ได้รับความชื่นชมว่า "เหมือนราวกับคนจริง" นั้นก็คือคนจริงๆ นั่นเอง แต่นั่นย่อมหมายความว่า ตุ๊กตาตัวดังกล่าวเหมือนคนมากจนแยกไม่ออก ลวงแม้กระทั่งตัวผู้สร้างคือหลวงกะละมัยเอง คำเยินยอของหลวงวิเชียร พระเอกผู้หลงรักตุ๊กตา จึงยังไม่เท่าอาการของหลวงกะละมัยที่จับกลอุบายไม่ได้ "โอ้แม่ชื่น ชีวา ตุ๊กตาเอ๋ย พี่ใคร่เชย ชมเจ้า เฝ้าไหลหลง ไฉนหนอ เทพเจ้า จะเข้าทรง จะชุบชีพ ให้เจ้าคง เป็นคนจริง..." (หลวงวิเชียร)
หลวงวิเชียรคลั่งใคล้ไหลหลงในตัวตุ๊กตา เพ้อพร่ำรำพันขอให้ "เทพ" มาเนรมิตนางให้กลายร่างเป็นคน ฉากนี้ชวนให้คิดถึงตำนานกรีกเรื่อง Pygmalion and Galatea ที่กล่าวถึงประติมากร Pygmalion ผู้หลงรักรูปปั้นงาช้างฝีมือของตน จนถึงกับตั้งชื่อให้ว่า Galatea และวอนขอต่อ Venus เทพีแห่งความรักให้ช่วยเนรมิตนางให้กลายเป็นคน Venus ช่วยให้ Pygmalion สมปรารถนา ครองคู่กับ Galatea สืบไป หากความรักของหลวงวิเชียรต่างออกไปตรงที่ตุ๊กตาตัวนั้นเป็นคนจริงๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องรอให้เทวดามาเนรมิตให้ หลังจากที่จับได้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นเป็นคนจริงๆ ปลอมตัวมา จึงได้พาญาติผู้ใหญ่ คือ พระชนะ และแม่เทศ มาสู่ขอตามประเพณี Pygmalion หลวงกะละมัย และหลวงวิเชียรล้วนแต่สรรเสริญค่าของงานศิลปะไว้สูง และบทละครร้องเรื่องนี้ยังตอกย้ำอีกว่าศิลปะมีคุณค่าและบทบาทอย่างไรต่อ ชีวิตมนุษย์ "แม่งามจริง เจียวหนา ตุ๊กตาปั้น ศิลปะ รังสรรค์ ล้ำค่า ยามได้ยล เย็นใจ สบายอุรา เสริมสัมฤทธิ์ จิตวิญญา พาสราญ เจ็บไข้ ก็คงหาย เป็นปลดปลิด เหมือนยาชู ชีวิต ฤทธิ์มหันต์" (หลวงวิเชียร) และสำหรับหลวงกะละมัยผู้เป็นศิลปินแล้ว ศิลปะก็มีค่าเสียยิ่งกว่าปัจจัยสี่ "ช่วยดูแลตุ๊กตาให้ฉันดีกว่า ดีกว่ามาชวนกินข้าวเสียอีก"
Create Date : 10 กันยายน 2554 |
|
45 comments |
Last Update : 17 กันยายน 2554 21:15:04 น. |
Counter : 16163 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาดูละครร้องจ้า..