Group Blog
 
 
มีนาคม 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
13 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
สารคดีเพื่อบ้านเกิด "บ้านส้อง...บ้านฉัน"

bansong 1

.............“บ้านส้อง” คือ “ตำบลเก่าแก่” ตำบลหนึ่งของอำเภอ “เวียงสระ” ในเขตการปกครองจังหวัด “สุราษฎร์ธานี” โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันได้ว่า เมืองนี้แต่เดิม เคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน สืบทอดถึงอาณาจักร “ศรีวิชัย” เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาได้เป็นพันปี
.............โดยมีหลักฐานที่สำคัญคือ โบราณสถาน “วัดเวียงสระ” อันเป็นที่ตั้งของ “เมืองโบราณเวียงสระ” อันมีลักษณะสำคัญคือ เป็นเมืองที่มีคูน้ำล้อมรอบ พร้อมกับซากเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ในป่าโบราณอันรกชัฏ ซึ่งปรากฏเหลืออยู่เพียงซากเจดีย์โบราณ ที่มองเห็นเพียงแค่ซาก “กองอิฐ” ที่เก่าแก่จนไม่อาจสันนิฐานรูปร่างดั้งเดิมได้ ทั้งยังมีร่องรอยของ “สระน้ำโบราณ” อันเป็นที่มาของชื่ออำเภอ “เวียงสระ” กับซากพระพุทธรูปหินทรายแดงปรักหักพังอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่เป็นหลักฐานอันหลงเหลืออยู่ใน “เมืองโบราณเวียงสระ” จนมาถึงทุกวันนี้
.............“เมืองโบราณวัดเวียงสระ” หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกกันสั้น ๆ ว่า “วัดเวียง” จึงเป็นสถานที่สำคัญแห่งแรก ที่ผมอยากจะแนะนำทุกท่านให้ไปเยี่ยมเยือนกันก่อนครับ....

bansong 2

.............จากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี หากเดินทางมาโดยทางรถยนต์ จะใช้ระยะทางประมาณ ๖๙ กิโลเมตร ก็ถึงตัวอำเภอเวียงสระ หรือจะเดินทางมาโดยทางรถไฟไปลงที่สถานีรถไฟ “บ้านส้อง” แล้วต่อด้วยรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ไปยังหมู่ที่ ๗ ของ ต. เวียงสระ แล้วเลี้ยวเข้าไปยังถนนเส้นที่ติดป้ายบอกทางไปยัง “วัดเวียงสระ” ตรงไปจนสุดทาง ก็จะพบกับวัดเวียงสระ ตั้งอยู่สุดถนนเส้นที่ว่านั่นเอง.....
.............ด้วยความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองที่เปลี่ยนทำเลไป ทำให้ปัจจุบัน “วัดเวียงสระ” ค่อนข้างที่จะตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ห่างไกลความวุ่นวายของตัวเมืองอยู่พอสมควรทีเดียว จึงทำให้โบสถ์เก่า ศาลาต่าง ๆ ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ๆ เหมือนสมัยเมื่อเกือบร้อยปีก่อน พร้อม ๆ กับซากเมืองโบราณอายุกว่าพันปี ก็ได้ซุกซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ ด้านหลังของ “วัดเวียงสระ” นี้เอง

bansong 3

bansong 4

..............เชื่อกันว่าเมืองเวียงสระ มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๗ โดยมีหลักฐานยืนยันจากจดหมายเหตุจากเมืองจีน ที่กล่าวถึงการติดต่อกันทางราชทูตราวช่วง พ.ศ. ๙๖๗ คาดกันว่า เมืองเวียงสระ น่าจะตั้งขึ้นก่อนสมัยอาณาจักรศรีวิชัย อันเป็นอาณาจักรโบราณที่สำคัญในแถบภาคใต้นี้ด้วยซ้ำ
.............นั่นก็เพราะว่าบริเวณนี้ ได้มีการค้นพบหลักฐานสำคัญทางด้านโบราณคดีมากมาย ซึ่งมีตั้งแต่เครื่องมือศิลาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เทวรูปและพระพุทธรูปเก่าแก่ หลายยุคสมัยต่อเนื่องเรื่อยมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อันนี้เองทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ชุมชนโบราณเมืองเวียงสระนั้น ได้มีการพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง มีสภาพเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูง ดังจะเห็นจากการรู้จักสร้างกำแพงและคูเมือง โดยอาศัยลำน้ำธรรมชาติและขุดคลองเชื่อมต่อกัน นั่นทำให้แหล่งโบราณคดีเมืองเวียงสระนี้ จึงมีความสำคัญทางการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ ของแหล่งอารยะธรรมโบราณในดินแดนแถบภาคใต้อีกด้วย...

bansong 5

bansong 6

bansong 7

.............ปัจจุบัน ด้วยปัจจัยทางด้านการประชาสัมพันธ์ที่มีไม่มากนัก ประกอบกับสภาพของตัวเมืองโบราณเวียงสระเอง ที่คงซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ อันเกี่ยวเนื่องมาจากความเชื่อของชาวบ้านในแถบนั้นเองด้วย ที่จะไม่เข้าไปยุ่งย่ามภายในเขตเมืองโบราณโดยไม่จำเป็น จึงทำให้ตัวเมืองโบราณเวียงสระ ยังคงได้รับการอนุรักษ์ในสภาพที่เดิม ๆ เหมือนอย่างเช่นที่นักสำรวจเมืองโบราณรุ่นแรก ๆ ได้ผ่านมาพบเจอ
............. และถึงแม้ว่าปัจจุบันของตัวเมืองโบราณเวียงสระ จะไม่มีสภาพของความใหญ่โต สมบูรณ์ กว้างขวาง หรือมีวัตถุโบราณอันสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ แต่จุดเด่นของที่นี่ คือการที่ตัวเมืองโบราณนั้นได้รับการอนุรักษ์ไว้ใน “ป่าทึบ” อย่างต้องการให้คงสภาพแบบดิบ ๆ เดิม ๆ นี่เองจึงทำให้ก้าวแรก ของผู้ที่มีโอกาสเหยียบย่างลงบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ จะได้สัมผัสกับบรรยากาศแห่งความเก่าแก่ ขรึมขลัง จนรู้สึกได้ เหมือนอย่างที่ผมเคยที่รู้สึกในการเดินทางมาเยี่ยมเยือนดินแดนเก่าแก่แห่งบรรพบุรุษแห่งนี้ พร้อม ๆ กับความรู้สึกทึ่งในประวัติศาสตร์ และความเป็นมาอันยาวนานของตัวเมืองโบราณเวียงสระ ที่โบราณคดีหลายคนได้เคยศึกษาเรื่องราว และประวัติศาสตร์ ความเป็นมาอันยาวนานของเมืองโบราณแห่งนี้เอาไว้ เพื่อให้เป็นมรดกตกทอดแก่คนรุ่นหลังได้ทำการศึกษากันต่อไปนั่นเอง…

*** อ้างอิงจาก ***

//www.wiangsra.go.th/index.php?tpid=0019

//www.suratculture.com/data/boransathan/buranvangsa.html


bansong 8

bansong 9

bansong 10

.............การเดินทางเข้าสู่ตำบล “บ้านส้อง” นั้นทำได้ไม่ยากเลย จากเส้นทางหลักด้วยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 ในเส้นทางช่วงระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี – นครศรีธรรมราช ก็จะเจอกับแยกที่มีป้ายชี้ทางให้ท่านเดินทางมาสู่ “บ้านส้อง” ได้อย่างชัดเจน (ด้วยเส้นทางย่อยที่ 4009) หรือหากว่าท่านชอบที่จะเดินทางมาด้วยรถไฟ “สถานีรถไฟบ้านส้อง” ก็เปิดบริการรับใช้ประชาชนที่นี่มาเนิ่นนานมากแล้ว...
.............อันนามว่า “บ้านส้อง” นั้นมีความเป็นมาอย่างไร หลายคนที่ได้ยินชื่อนี้ครั้งแรกคงต้องอดสงสัย ถึงที่มาที่ไปของชื่อนี้ไม่ได้แน่ ๆ (รวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย)
.............จากการพยายามค้นคว้า จึงได้คำตอบจากเรื่องเล่าอันลางเลือนว่า หากย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณสองร้อยกว่าปีก่อน พื้นที่แถบนี้แต่เดิมนั้น คือพื้นที่ห่างไกลความเจริญ อันแสนทุระกันดาร เต็มไปด้วยขุมกำลังโจรป่าที่อาศัยซุกซ่อนตัวเองอยู่ตามป่าเขาอยู่เป็นจำนวนมากมาย คอยดักปล้นผู้คนที่เดินทางสัญจรผ่านมาอยู่เป็นประจำ จนเป็นที่กล่าวขานและเรียกพื้นที่แถวนี้ติดปากกันมาว่า “บ้านซ่อง” แล้วจึงกลายมาเป็น “บ้านส้อง” ในทุกวันนี้นี่เอง

*หมายเหตุ : ซ่องโจรที่ว่านั้น ปัจจุบันก็คือพื้นที่ชุมชนบริเวณหน้าสถานีรถไฟ ยาวไปจนถึงเขตเทือกเขาบรรทัดคุ้มปลายแพง ที่มองเห็นได้จากบริเวณหน้าสถานีรถไฟนั่นเอง

bansong 11

bansong 12

bansong 13

..........ตัวผู้เขียนเอง ในฐานะที่เป็นพลเมืองผู้หนึ่ง ที่เติบโตมาอย่างสงบสุขในเมือง ๆ นี้ ก็กล้ายืนยัน และนอนยันเลยว่า เรื่องตำนานอันน่ากลัวของโจรป่าในอดีตได้ผ่านพ้นไปนานมากแล้ว ทุกวันนี้ “บ้านส้อง” คือเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง ที่เจริญเติบโตอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง จากปัจจัยเศรษฐกิจทางด้าน “การเกษตร” “ การค้า”และ “เหมืองแร่” ที่เป็นลมหายใจหลักหล่อเลี้ยงเมืองนี้ไว้ ให้อยู่ได้ในทุกวันนี้
..........พร้อมทั้งความได้เปรียบทางด้านการ “คมนาคม” ที่ตำบล “บ้านส้อง” นั้นบังเอิญได้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางรถยนต์ “สายหลัก” (ทางหลวงแผ่นดินสาย 41) ที่ตัดผ่านไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ตอนล่าง รวมถึงเส้นคมนาคมทาง “รถไฟ” ที่รถไฟแทบจะทุกขบวนที่ต้องแล่นผ่านจังหวัด “สุราษฎร์ธานี” ลงไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ ก็จะต้องจอดแวะที่ “สถานีรถไฟบ้านส้อง” ตามไปด้วย จึงทำให้เมือง “บ้านส้อง” กลายเป็น “เมืองผ่าน” ที่สำคัญเมืองหนึ่งในเขตภาคใต้ตอนบนไปโดยปริยาย...

bansong 16

bansong 15

bansong 14

.............เมื่อผมตั้งใจพิจารณาเมือง “บ้านส้อง” ในมุมมองแบบนักท่องเที่ยว เพื่อค้นหา “เอกลักษณ์” ของเมืองที่ตนเองมีโอกาสได้ไปเยือน ก็ทำให้ผมได้เห็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองบ้านส้องนั่นก็คือ “ความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย” ที่ดำรงอยู่ร่วมกับ “สังคมกสิกรรม” ที่ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
.............และก็เนื่องจาก “บ้านส้อง” มีลักษณะเป็น “เมืองผ่าน” เรื่องราวและความเจริญต่าง ๆ จึงอาจจะผ่านเข้ามา และพร้อมที่จะจากไป แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ก็ทิ้งร่องรอยแห่งความทรงจำบางอย่างไว้ให้กับวิถีชีวิตแห่งชาวบ้านส้อง อย่างกลมกลืนและน่าสนใจ พร้อม ๆ กับสังคมกสิกรรมแบบดั้งเดิมที่ยังคงดำรงอยู่ อย่างเป็นกระดูกสันหลังให้กับเมืองบ้านส้องแห่งนี้มาโดยตลอดอีกด้วย
.............ผมจึงอยากจะนำพาทุกท่านไปสัมผัส ถึงตัวตนแห่งเมือง “บ้านส้อง” ที่แท้จริง ผ่าน “ภาพ” และ “เรื่องราว” ในมุมมองส่วนตัวของผม กันนับจากนี้ครับ...

bansong 17

bansong 18

bansong 19

............หากจะกล่าวถึงวิถีชีวิตแบบ “กสิกรรม” ที่ “ใครสักคน” สามารถดำรงชีวิตตนเอง และครอบครัวให้อยู่ได้อย่างสงบสุข ด้วยการทำการเกษตรแต่เพียงอย่างเดียว นั่นอาจเป็นวิถีชีวิตในแบบที่ “คนเมือง” หลายคนถวิลหา แม้กระทั่งตัวของผมเองก็ตาม ที่แอบอิจฉาอยู่อย่างลึก ๆ ในใจ ในยามที่มีโอกาสได้ขี่มอเตอร์ไซด์ไปเยี่ยมเยือนในเขต “บ้านสวน” ที่อยู่ห่างจากตัวตลาดบ้านส้อง ออกไปแค่เพียงนิดเดียว
............เป็นความจริงที่ว่าเกษตรกรที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น “ชาวสวนยาง” หรือ “ชาวสวนผลไม้” หลายครอบครัวต่างก็ดูแลและดำรงชีวิตตนเองอยู่ได้ ท่ามกลางเรือกสวนอันร่มรื่นเหล่านี้มานานแสนนานเต็มทีแล้ว โดยมิจำเป็นต้องแยแสต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคม และเศรษฐกิจของโลกภายนอกสักเท่าไรนัก ก็เพราะว่าทุก ๆ ครั้งที่ผมได้มีโอกาสขี่รถมาเยี่ยมเยือนในเขตบ้านสวน ผมก็พบว่าวิถีชีวิตของเหล่าเกษตรกรที่นี่ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตน้อยมากนั่นเอง...

bansong 20

bansong 21

..............ใครบางคนอาจจะเคยเปรียบ “ทุเรียน” ไว้ว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” แต่สำหรับที่ตำบล “บ้านส้อง” แห่งนี้แล้ว หลายคนคงอยากจะยกให้ “เงาะโรงเรียน” ผลไม้มีขน ให้เป็นราชาแห่งผลไม้มากกว่า นั่นก็เพราะว่าที่ตำบล “บ้านส้อง” มีการเพาะปลูกเงาะโรงเรียนกันอย่างแพร่หลายที่สุดนั่นเอง จะเป็นรองก็คงเพียงแค่อำเภอ “บ้านนาสาร” เท่านั้น อันเป็นอำเภอต้นกำเนิดของ “เงาะโรงเรียน” ที่โด่งดังของจังหวัด “สุราษฎร์ธานี” นั่นเอง
..............นั่นก็เนื่องจากว่า โดยสภาพทางภูมิศาสตร์แล้วอำเภอ “บ้านนาสาร” และอำเภอ “เวียงสระ” นั้น เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกัน และความจริงแล้วในอดีตตำบล “บ้านส้อง” นั้นเคยอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอ “บ้านนาสาร” มาก่อนด้วยซ้ำไป จึงการันตีได้เลยว่า เงาะโรงเรียนที่มีปลูกกันอยู่อย่างแพร่หลายที่ตำบล “บ้านส้อง” นั้น เป็นเงาะโรงเรียน “พันธุ์แท้” ที่มีรสชาติหวาน กรอบ อร่อยเช่นเดียวกับเงาะโรงเรียนแห่งอำเภอ “บ้านนาสาร” แน่นอน รับประกันได้เลย...

bansong 22

..............เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจแทนผลไม้อื่น ๆ ที่ปลูกในบ้านส้อง ที่อาจจะถูกความโด่งดังของ “เงาะโรงเรียน” บดบังรัศมีไปบ้าง แต่ทว่าความเป็นจริงแล้ว ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้นั้น ก็เป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อในเรื่องการปลูกผลไม้มาช้านานแล้ว โดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อนอื่น ๆ แทบจะทุกชนิดเช่น มะม่วง มังคุด มะละกอ ลองกอง ลางสาด ทุเรียน ฯลฯ ล้วนมีปลูกอยู่อย่างมากมายที่นี่ พร้อม ๆ กับเรื่องรสชาติที่ต้องขอรับประกันเลยว่า ผลไม้หลาย ๆ ชนิดที่เจริญงอกงามอยู่ทางภาคใต้นั้น ล้วนขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความอร่อยมาช้านานแล้ว....
..............ก็อยากจะขอเชิญชวนผู้ที่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างเดือน “กรกฎาคม – ตุลาคม” อันเป็นฤดูกาลแห่งการ “เก็บเกี่ยว” ผลไม้ที่กำลังออกผลงอกงามเต็มที่ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่นิยมในรสชาติของผลไม้เหล่านี้ ที่นี่ก็คงไม่ผิดไปจากแดนสวรรค์เป็นแน่แท้
..............และนี่อาจจะเป็นโอกาสพิเศษที่ท่านจะได้เยี่ยมชมสวนผลไม้ที่กำลังออก “ลูกดก” มากมายเต็มต้น รอให้ท่านได้ลองลิ้มชิมรส และซื้อหากันในราคาพิเศษ หรือหากว่าท่านโชคดี ก็อาจมีโอกาสได้ลองลิ้มชิมรสในเเบบที่เรียกว่า “เด็ด” ทานกันสด ๆ จากต้นได้เลยทีเดียว...

bansong 23

bansong 24

bansong 26

..............ถึงแม้ว่าการปลูกผลไม้นั้นอาจเป็นสิ่งที่สร้างชีวิตชีวา และสร้างสีสันให้กับตำบลบ้านส้องแห่งนี้ แต่ว่าพืชเศรษฐกิจที่แท้จริงสำหรับที่นี่นั้น หาใช่เงาะ ทุเรียน หรือผลไม้ใด ๆ ไม่ หากแต่เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่ไม่มีส่วนใด ๆ ที่สามารถนำมารับประทานได้เลย เพียงแต่ว่าเปลือกและลำต้น สามารถหลั่งน้ำยางสีขาวออกมาให้เกษตรกรนำไปขายได้ นั่นก็คือพืชเศรษฐกิจที่ชื่อว่า “ยางพารา” ซึ่งเป็นพืชสวนที่มีการปลูกกันมากที่สุดในเขต 14 จังหวัดทางภาคใต้นั่นเอง
..............ก็เพราะโดยธรรมชาติของต้นยางพารา ที่สามารถผลิตน้ำยางออกมาได้ตลอดทั้งปี ทำให้ “ยางพารา” กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของตำบลบ้านส้องไปโดยปริยาย ก็เพราะการปลูก และขายยางพารานี่เอง ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของ “บ้านส้อง” มีเงินหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี จากเงินรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางที่นำเงินมาใช้จ่ายอยู่ในตลาด จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ใครก็ตามหากได้มาเยือนภาคใต้แล้ว จะได้พบกับภาพที่คุ้นตาของ “สวนยางพารา” ที่มีปลูกอยู่อย่างมากมายตลอดสองข้างทาง รวมถึงตำบล “บ้านส้อง” แห่งนี้ ที่ต้องถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งยางพาราด้วยเช่นกัน...

bansong 27

bansong 28

bansong 29

..............นับย้อนไปในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ขยายเส้นทางรถไฟไปจนสุดพรหมแดนทั่วประเทศ ทิศเหนือให้ขยายไปจนถึงเชียงใหม่ และทิศใต้ให้ขยายต่อไปจนถึง ปาดังเบซาร์ (มาเลเซีย) เพื่อสร้างความเจริญพัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างทัดเทียมกันทั่วประเทศ ดังนั้นต้นกำเนิดของสถานีรถไฟบ้านส้อง จึงน่ามีที่มาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 6 นั่นแล้ว...
..............และว่ากันว่าเมื่อเกือบ ๗0 – ๘0 ปีก่อน (นับย้อนจากปี 2552) พื้นที่หลาย ๆ จังหวัดทางภาคใต้ ก็ได้มีการสำรวจค้นพบ “แร่ธาตุ” ที่สำคัญใต้ผืนดินอย่างมากมาย เช่นแร่ “ยิปซั่ม” “ ดีบุก” และ “วุลแฟรม” จึงก่อให้เกิดความตื่นตัวในการทำ “เหมืองแร่” ในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ใน และในยุคนั้นทางรถไฟ “สายใต้” จึงถูกใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากการคมนาคมของชาวบ้าน นั่นก็คือถูกใช้ในการ “ขนส่งแร่” ที่ขุดได้เป็นจำนวนมากในพื้นที่นั่นเอง…

bansong 30

bansong 31

bansong 32

..............ยกตัวอย่างเช่นที่ “สถานีรถไฟบ้านส้อง” มีการใช้พื้นที่บางส่วน เป็นจุดพักแร่ “ยิปซั่ม” แล้วใช้รถไฟ “บรรทุก” เข้าสู่โรงงานอีกทอดหนึ่ง และกองแร่ยิปซั่มอันมากมายที่สถานีรถไฟบ้านส้องนี่เอง ที่เป็นภาพที่ชาวบ้านส้องเห็นมานานจนชินตา จนทำให้ใครหลายคนเคยแอบขนานนามกองแร่สีขาวมหึมาเหล่านี้ว่า เป็นกอง “หิมะ” แห่งบ้านส้องกันมาแล้ว
..............พร้อม ๆ กับเรื่องราวในยุค “ตื่นแร่” (พ.ศ. 2516-2518) ที่สถานีรถไฟบ้านส้อง เคยถูกใช้เป็นชุมทางของนักแสวงโชค ในการเดินทางไปขุดแร่ “วุลแฟรม” บนภูเขา “สูญ” ที่ห่างไกล ว่ากันว่าในยุคตื่นแร่นี้เอง ที่เป็นยุคสมัยที่คึกคักที่สุดของตลาดบ้านส้อง อันเนื่องจากนักแสวงโชคมากหน้าหลายตา ที่หลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อใช้ตลาดบ้านส้องเป็นจุดต่อรถ ในการเดินทางต่อไปยังแหล่งขุดแร่
..............จนมาถึงการสิ้นสุดของยุค “ตื่นแร่” ที่ต้องจบลงอย่างรวดเร็วก่อนเวลาอันควร เนื่องมาจากการทะเลาะเบาะแว้งกันเองของนักแสวงโชคเหล่านั้น จนทำให้ “รัฐบาล” ต้องสั่งห้ามไม่ให้มีการขุดแร่ในบริเวณที่ว่านั้นอีกต่อไป...

bansong 33

................หลังจากหมดสิ้นยุคสมัยแห่งการแสวงโชค พร้อม ๆ กับเศรษฐกิจของตลาดบ้านส้องที่ต้องซบเซาลงไปด้วย หลายปีผ่านไป “ตลาดบ้านส้อง” กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง จากโอกาสทาง “การค้า” ที่หลั่งไหลเข้ามาพร้อม ๆ กับการกำเนิดของ “ทางหลวงแผ่นดินสายที่ 41” หรือ “ถนนเอเชีย” ที่ตัดผ่านพื้นที่บางส่วนของตำบลบ้านส้อง ทำให้การเดินทางคมนาคมระหว่างพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศกับตำบลบ้านส้องนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายดายขึ้นกว่าในอดีตมากมาย
................ก็เพราะว่าโอกาสที่เปิดกว้างขึ้นมาจากเส้นทางคมนาคมใหม่ ๆ นี่เอง ที่ทำให้ทุกวันนี้ “บ้านส้อง” ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะ “สินค้าทางการเกษตร” ให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างถิ่น ที่หลั่งไหลมาสู่ตลาดบ้านส้อง เพื่ออาศัยที่นี่เป็นจุดพักแลกเปลี่ยนสินค้า ทำให้มีเงินตรากลับมาหมุนเวียนอยู่ในตลาดบ้านส้องอีกครั้งหนึ่ง นี่จึงเป็นการเติบโตในมิติใหม่ของตลาดบ้านส้องจนมาถึงปัจจุบัน

bamsong 34

bansong 35

.............ได้ทำความรู้จักกับ “ภาพรวม” ของตำบล “บ้านส้อง” กันไปพอประมาณแล้ว ต่อไปก็อยากจะขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของตำบล “บ้านส้อง” นั่นก็คืออุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” อันเป็นอุทยานแห่งชาติที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของภาคใต้ หรือที่ชาวบ้านส้องรู้จักกันในนามของหมู่บ้าน “เหนือคลอง” อันมีจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวอยู่ที่น้ำตก “สามห้าเจ็ด” โดยที่มาจากการที่ขบวนการ “คอมมิวนิสต์” ที่เคยใช้หุบเขาแห่งนี้ เป็นฐานที่มั่นทางการทหารเมื่อครั้งอดีต ชาวบ้านจึงนำเอาชื่อฐานที่มั่นนั้นมาเรียกเป็นชื่อน้ำตก กันมาอย่างติดปากว่าน้ำตก “สามห้าเจ็ด” นั่นเอง...
.............อุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 265,625 ไร่ ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อ.กาญจนดิษฐ์ อ.บ้านนาสาร และ อ.เวียงสระ พื้นที่ของอุทยานเป็นเขตเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ทอดตัวในแนวยาวเหนือใต้ประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารที่สำคัญส่วนหนึ่งของแม่น้ำ “ตาปี” อันเป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัด “สุราษฎร์ธานี” สำหรับชาว “บ้านส้อง” จะเรียกอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ในชื่อสั้น ๆ ว่า “เหนือคลอง” เพราะว่าอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ “หมู่บ้านเหนือคลอง” อันเป็นชื่อหมู่บ้านหนึ่ง ในเขตตำบลบ้านส้อง

bansong 36

.............การเดินทางมาเยือนอุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” แห่งนี้ทำได้ไม่ยากเลย ให้ใช้เส้นทางสายสุราษฏร์- นครศรีธรรมราช (ถนนหมายเลข 4009) ให้สังเกตป้ายบอกทางไปยัง “บ้านเหนือคลอง” ซึ่งจะอยู่ช่วงระหว่างรอยต่อของ “ตำบลบ้านส้องกับตำบลห้วยปริก” อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเห็นป้าย “บ.เหนือคลอง” แล้ว ก็ให้เลี้ยวเข้าไปตามป้ายได้เลย ก็จะเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นทันที
.............ฉับพลันที่ใครก็ตามได้เข้ามาเยี่ยมเยือนอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ท่านก็จะได้พบกับบรรยากาศอันสงบสุขของหมู่บ้าน “ชาวสวน” ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาลำเนาไพร อันมีสายน้ำใสไหลเย็นที่สะอาดบริสุทธิ์ไหลผ่านตลอดทาง ที่เป็นเส้นทางนำไปสู่น้ำตก “สามห้าเจ็ด” ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของป่าลึกอันงดงาม ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้มาเยือน
.............ปัจจุบันการเข้ามาท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติ “ใต้ร่มเย็น” แห่งหมู่บ้านเหนือคลองนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นเลย เนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว จึงมีการสร้างถนนหนทางอย่างสะดวกสบายทั่วถึง ทำให้การมาท่องเที่ยวในอุทยานโดยเฉพาะการใช้ “รถส่วนตัว” สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสะดวกสบายเป็นอย่างมาก

bansong 37

bansong 38

bansong 39

.............ที่นี่มีสถานที่ ๆ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแนว “ครอบครัว” ที่ไม่อยากเดินทางลึกเข้าไปในอุทยานจนเกินไปให้สามารถเล่นน้ำเป็นระยะ ๆ หรือถ้าอยากมาท่องเที่ยวแนวสงบ ๆ ส่วนตัวขึ้นไปอีกนิด ที่นี่ก็มี “บ้านพักอุทยาน” ไว้ให้บริการในเขตอุทยานที่อยู่ลึกเข้าไปจากทางเข้าอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่ง “บ้านพักอุทยาน” ที่ว่านี้ก็ตั้งอยู่ในบริเวณของเส้นทางเดินเท้าไปสู่น้ำตกน้ำตก “สามห้าเจ็ด” ซึ่งมีระยะทางห่างจากที่ทำการอุทยานไปถึงตัวน้ำตกอีกประมาณ 3 กิโลเมตร เท่านั้น
.............ระหว่างทางเดินไปสู่ตัวน้ำตกนี้เอง ที่จะทำให้ท่านได้รับประสบการณ์การเดินป่าแบบที่ไม่ยากลำบากจนเกินไป แต่ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางร่มเงาของป่าดิบเขาเขต “ร้อนชื้น” ที่ยังสมบูรณ์สวยงามมาก ในระหว่างเส้นทางเดินไปสู่น้ำตกตัวน้ำตกนั่นเอง
.............แต่จุดเด่นที่สำคัญของน้ำตก “สามห้าเจ็ด” หาได้อยู่ที่รูปลักษณ์ที่สวยงามเหนือน้ำตกชื่อดังอื่น ๆ ไม่ หากแต่ “เสน่ห์” ที่แท้จริงของน้ำตกแห่งนี้นั้น น่าจะอยู่ที่สภาพความงดงามอันบริสุทธิ์ทางธรรมชาติ ที่ยังไม่ได้ผ่านการเหยียบย่ำจากนักท่องเที่ยวภายมากมายนัก จึงทำให้ยังคงสภาพความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และความสะอาดบริสุทธิ์อยู่ได้ จนมาถึงทุกวันนี้

* ติดต่อที่ทำการอุทยาน (ที่พัก) 0-7734-4633 หรือ 081-829-4469 (สุกฤติ์)

* อ้างอิงจาก

//www.tour.co.th/tour.php?p_id=39&t_id=1823

//www.thaisurat.com/bannasan-357.htm

bansong 40

bansong 41

bansong 42


.............ต่อไปก็อยากจะขอแนะนำอาหาร “ร้านอร่อย” ประจำเมืองบ้านส้องกันสักนิด ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ามาเยือนเมืองใต้แล้วคงต้องแนะนำ “ข้าวแกงปักษ์ใต้” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่
.............ก็คงต้องขอเคลียร์กับท่านผู้อ่านกันก่อนว่า จริง ๆ แล้ว “ข้าวแกงบ้านส้อง” นั้น ก็ถือว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่เหมือนกัน แต่เนื่องจากว่าที่นี่คือ “เมืองใต้” ดังนั้น “ข้าวแกงปักษ์ใต้” จึงเป็นสิ่งที่ชาวบ้านทำรับประทานกันเองอยู่แล้ว ไอ้ครั้นจะออกมาหาซื้อ “ข้าวแกง” ทานกันนอกบ้านอีกนั้น จึงเป็นสิ่งที่ขัดกับวิถีชีวิตทั่วไปอยู่สักหน่อย ดังนั้นของกินที่ “ขึ้นชื่อ” หรือ “ขายดี” ในสายตาของชาวตลาดบ้านส้องก็คงไม่ใช่ “ข้าวแกง” ที่เป็นอาหารธรรมดา ๆ เป็นแน่
.............กลับกัน สำหรับ “อาหาร” ที่ผมจะขอทำการแนะนำต่อไปจากนี้ ก็อาจจะดูว่าเป็นอาหารที่แสนจะธรรมดา ในสายตาชาวบ้านชาวเมืองอื่น ๆ อยู่สักนิด แต่ที่ผมกล้าการันตีของกินนี้ให้เป็น “ร้านอร่อย” ประจำตลาดบ้านส้องนั้น ก็เนื่องจากความ “ขายดีมาก” ของอาหารร้านนี้ ที่ผมคงต้องขออนุญาติใช้ “ภาพ” มายืนยันให้กับท่านผู้อ่านดูกันเอาเองว่า “โจ๊กหมูใส่ไข่” อาหารเช้าที่สุดแสนจะธรรมดา มันมีความน่าสนใจยังไงที่ผมจึงอยากขอ “ท้า” ให้ทุกท่านมาลองชิม (ถ้าคุณรอคิวได้) นั่นก็คือ “โจ๊กหมู” สูตรโบราณร้าน“เจ๊จิ๋ม” โจ๊กร้านดังหลังสถานีรถไฟบ้านส้องนั่นเอง.....

bansong 43

...............เกือบ 40 ปีแล้ว ที่โจ๊กหมูร้าน “เจ๊จิ๋ม” ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้ง ๆ ที่ร้านโจ๊กในตลาดบ้านส้องก็ไม่ได้มีอยู่เพียงร้านเดียว กับสูตรลับการทำ “โจ๊กหมู” ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษแห่งเมืองจีน ที่ “การันตี” ความอร่อยได้จากคิวอันยาวเหยียดของลูกค้าที่มารุมซื้อกันได้ทุกวัน จนเจ๊จิ๋มแกทำขายแทบไม่ทัน ต้องอาศัย “ลูกค้าประจำ” ช่วยเป็น “ลูกมือ” ให้อยู่เนือง ๆ โดย “เจ๊จิ๋ม” แกเริ่มตั้งร้านกันตั้งแต่ประมาณตี 5 ก็ขายหมดเก็บร้านกันตั้งแต่ยังไม่ทันจะสาย
...............จุดเด่นของ “โจ๊กเจ๊จิ๋ม” นั้น น่าจะอยู่ที่วิธีการปรุงโจ๊กที่ค่อนข้างพิถีพิถันหลายขั้นตอน โดยเจ๊จิ๋มแกจะตัก “โจ๊ก” และ “น้ำซุปสูตรลับ” มาคนให้เข้ากันในหม้อใบเล็กก่อน จากนั้นจึงทำการลวก “หมูสับ” ไปในขั้นตอนนี้พร้อม ๆ กัน แล้วจึงตักโจ๊กหมูที่คนเสร็จแล้วมาใส่ชามที่ผสมเครื่องปรุงรอไว้ จากนั้นจึงเสริฟพร้อมขิงซอยและต้นหอมที่หั่นไว้อย่างบาง พร้อมไข่ไก่ หรือ ไข่นกกระทา แล้วแต่ความชอบใจ จึงกลายมาเป็น “โจ๊กหมูใส่ไข่” สูตรดั้งเดิมที่เนื้อโจ๊กที่ไม่ข้นและไม่เหลวจนเกินไป และอร่อยจนกลายเป็น “ร้านโจ๊ก” เจ้าประจำของชาวตลาดบ้านส้องมาช้านาน ก็อยากให้ผู้ที่มีโอกาสผ่านมาแถวนี้ได้มาลองแวะชิมดู ว่าโจ๊กร้านนี้เค้ามีดียังไง ถึงได้ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าขนาดนี้...

* หมายเหตุ : ชาวบ้านส้องจะเรียก “โจ๊ก” ว่า “ข้าวต้ม”

bansong 44

bansong 45

bansong 46

...............แนะนำร้านอาหารเช้าอย่าง “โจ๊กเจ๊จิ๋ม” กันไปแล้วก็คงจะอดขอแนะนำ “ของคู่กัน” กับโจ๊กร้านเจ๊จิ๋มไปด้วยไม่ได้ นั่นก็คือ “ร้านโกโหน่งกาแฟ” ที่อยู่เยื้องร้านเจ๊จิ๋มไปอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง
...............“ร้านโกโหน่งกาแฟ” เป็นร้านกาแฟเจ้าเก่าดั้งเดิมของตลาดบ้านส้องอีกเจ้าหนึ่ง ร้านตั้งอยู่ที่ข้างป้อมตำรวจ หลังสถานีรถไฟบ้านส้อง ซึ่งก็อยู่เยื้อง ๆ กันกับร้านโจ๊กเจ๊จิ๋มเพียงแค่ข้ามฟากถนน ซึ่งทั้งสองร้านนี้จริง ๆ แล้วเป็นร้านพี่ร้านน้องกัน เพราะ “โกโหน่ง” เจ้าของร้านกาแฟนั้นเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ “เจ๊จิ๋ม” ร้านโจ๊กนั่นเอง
...............จุดเด่นของร้านแกแฟโกโหน่ง นอกจากจะเป็นร้านกาแฟ “เจ้าเก่า” ดั้งเดิมร้านหนึ่งของตลาดบ้านส้องแล้ว ด้วยรสชาติดี ๆ ของกาแฟโบราณที่การันตีได้ แถมยังมี “ปาท่องโก๋” สูตรเฉพาะที่ไม่ใส่ “แอมโมเนีย” จนกลายเป็นเอกลักษณ์ ทำให้อยากเชื้อเชิญให้คอกาแฟขนานแท้ได้มาลิ้มลอง สัมผัสกับบรรยากาศการดื่มกาแฟแบบชาวบ้านส้อง พร้อม ๆ กับร่วมสนทนาไปกับบรรดาคอกาแฟคนเก่าคนแก่ของตลาดบ้านส้อง ที่มักจะมารวมตัวกันสนทนาปัญหาบ้านเมืองกันอยู่เป็นประจำ แถมด้วยอัธยาศัยใจคออันกว้างขวางของ “โกโหน่ง” ที่ต้องถือว่าเป็น “คนดัง” คนหนึ่งของตลาดบ้านส้อง นั่นเพราะความเป็นคนอัธยาศัยดีของ “โกโหน่ง” ที่แกพร้อมจะปล่อยมุขตลก มุกฮาออกมา คลายเครียดให้กับทุก ๆ คนรอบตัวแกได้ตลอดเวลา ( ถ้าคุณฟังภาษาปักษ์ใต้ออกนะ )

*หมายเหตุ : ชาวบ้านส้องนิยมเรียก “ปาท่องโก๋” ว่า “จั๊กโก้ย”

bansong 47

bansong 48

bansong 49


...............มี “ของอร่อย” อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะนำเสนอจริง ๆ สำหรับ “ไก่ทอดสูตรเฉพาะ” ที่คิดว่าจะหารับประทานไก่ทอดรสชาติแบบนี้ไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว นอกจากที่ตลาดบ้านส้องแห่งนี้ กับไก่ทอดร้านเล็ก ๆ แถวย่านชุมชนเก่าหน้าสถานีรถไฟบ้านส้อง ที่ชื่อว่า “ร้านป้ายอม” กับ “ไก่ทอดรถไฟ” สูตรดั้งเดิม 40 ปี ที่ขายกันมาตั้งแต่รุ่นคุณป้า สืบทอดกันมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน อันเป็นที่กล่าวขานของลูกค้าประจำว่า ถ้าหากใครเคยได้กินไก่ทอดร้านนี้แล้ว ก็แทบจะลืมรสชาติของไก่ทอดร้านอื่น ๆ ไปนาน
...............ที่มาของไก่ทอดร้านนี้มีอยู่ว่า เดิมที “ป้ายอม” แกเป็นแม่ค้าทอดไก่ธรรมดา ๆ ที่เดินเร่ขายไก่ทอดของแกอยู่ตามโบกี้รถไฟที่มาจอดในสถานีรถไฟบ้านส้องนั่นแหละ แต่ไป ๆ มา ๆ รสชาติความอร่อยไก่ทอดของ “ป้ายอม” ชักจะเริ่มโด่งดังจนเป็นที่โจษขานของชาวบ้านแถวนั้นจนกลายเป็นลูกค้าประจำของไก่ทอดป้ายอม ทีนี้พอเริ่มมีลูกค้าประจำมากเข้า ๆ “ป้ายอม” แกก็เลยเลิกเดินเร่ขายไก่ทอดตามโบกี้รถไฟ หันมาเปิดแผงทอดไก่ของตัวเองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนมาถึงทุกวันนี้
...............จุดเด่นของไก่ทอดร้านนี้ ก็คงอยู่ที่ “แป้งไก่ทอด” ที่ทอดได้กรอบอร่อย และหอมกลิ่น “เครื่องเทศ” สูตรเฉพาะของป้ายอมที่หอมหวนเย้ายวนใจ ก็ขอแนะนำให้รับประทาน “ไก่ทอดป้ายอม” กันตอนร้อน ๆ รับรองว่าได้ลืมไก่ทอด KFC กันไปอีกนานเลยทีเดียว..... ใครมีโอกาสมาเยือนเมืองบ้านส้อง แล้วอยากจะลองชิมไก่ทอด 40 ปีสูตร “ป้ายอม” ดูสักครั้งล่ะก็ แผงไก่ทอดป้ายอมนั้นเริ่มทอดขายกันตั้งแต่ประช่วงบ่าย ๆ และขายหมดทุกวันไม่เกินหกโมงเย็น เชิญไปชิมดูได้ ไม่ผิดหวัง

bansong 50

bansong 51

bansong 52

...............ก็อยากจะขอแนะนำ “ที่พัก” สำหรับผู้ที่มีโอกาสเข้ามานอนพักค้างคืนที่เมือง “บ้านส้อง” แห่งนี้ ก็มีที่พักที่คิดว่าน่าจะสะอาด และสะดวกสบาย เหมาะสมกับราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนัก แล้วก็ตั้งอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างสงบ แต่ก็ห่างจาก “ตลาดบ้านส้อง” เพียงไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้นเอง...
...............นั่นก็คือ “โรงแรมเวียงสระธานี” ที่เป็นที่พักชั้นดีเพียงไม่กี่แห่งของตำบลบ้าน ผมเลยอยากจะขอแนะนำที่พักที่นี่ ไว้สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้เข้ามาพักผ่อน และเยี่ยมเยือนเมืองบ้านส้องแห่งนี้
...............โดยเริ่มต้นจากถนนหน้าสถานีรถไฟบ้านส้อง เส้นที่ตรงไปยังเทือกเขาบรรทัด (มีเส้นเดียว) ผ่านร้านไก่ทอดป้ายอม ตรงไปอีกไม่เกินสามร้อยเมตร ก็จะเห็น “โรงแรมเวียงสระธานี” ตั้งอยู่ทางซ้ายมือนั่นเอง เป็นโรงแรมสองชั้น ขนาด 20 ห้องพัก ที่มีห้องสัมมนาและจัดเลี้ยงด้วย...




bansong 53

bansong 54

bansong 56

..............ถึงแม้หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ผมค้นพบและนำมาบอกเล่า อาจไม่ได้เป็นตำนาน หรือเรื่องราวที่สวยหรูอย่างที่ใครบางคนพยายามจะจินตนาการเอาไว้ ว่าอดีตของผืนแผ่นดินของเรานั้นควรจะมีแต่สิ่งที่สวยงาม หากแต่เป้าหมายที่แท้จริงของผมก็คือการ “แนะนำ” ให้ผู้อ่านได้เกิดความ “เข้าใจ” ในแง่มุมที่แท้จริงของเมืองเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ที่ไม่เคยมีใครให้ความสนใจมาก่อน แต่ก็เป็นเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยผู้คน ที่ยังคงมีชีวิตชีวาและลมหายใจ โดยที่ผมไม่ได้พยายามปรุงแต่งภาพลักษณ์ต่าง ๆ ให้สวยงาม จนเกินความเป็นจริงมากไปนัก

bansong 57

...............สุดท้ายแล้วในสายตาของผมตำบล “บ้านส้อง” ก็คงดำรงอยู่ในจุดยืนของการเป็น “เมืองผ่าน” อยู่ต่อไป เนื่องจากอุปสรรค์หลายอย่าง ที่ทำให้ใคร ๆ ไม่อาจ “คิด” ผลักดันให้ “บ้านส้อง” กลายเป็นเมืองที่น่าสนใจในด้านของการท่องเที่ยวขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิสัยความเป็นคนโผงผางของคนใต้เอง หรือจะเป็นเรื่องของประเพณี และวัฒนธรรม ที่ตำบลบ้านส้องยังไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจน หรือแม้แต่ทำเลที่ตั้งที่ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอื่น ๆ อยู่พอสมควร และที่สำคัญมาก ๆ ก็คือสภาพอากาศแบบ “ร้อนชื้น” ของภาคใต้นี่เอง ที่เป็นอุปสรรค์สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย และความสมบูรณ์แบบจากการท่องเที่ยว
...............หากแต่ว่าเหรียญย่อมมีสองด้าน หากใครสักคนจะลองมองข้ามอุปสรรค์ที่ว่าออกไป แล้วลองพิจารณาดูเมือง “บ้านส้อง” ในอีกแง่มุมมองหนึ่ง ก็พอจะมองเห็นเสน่ห์แห่งการมาเยือนยังเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้ขึ้นมาได้บ้างเหมือนกัน

bansong 58

...............อย่างแรกก็ต้องถือว่าเมือง “บ้านส้อง” นั้นไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในสาระบบของ “การท่องเที่ยวของไทย” มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ตัวเมืองบ้านส้องเอง ก็มีสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่พอจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ ไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหารการกิน เส้นทางคมนาคมที่สะดวก หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่พอจะมีความสวยงามอยู่บ้าง จึงถือได้ว่าเมือง “บ้านส้อง” ในขณะนี้ ก็ยังคงเป็นเมืองที่บริสุทธิ์ต่อแง่มุมของการท่องเที่ยวอยู่อีกมาก
...............ที่นี่ยังอาจเป็นเมืองที่เหมาะสมสำหรับ ผู้ที่ต้องการมาเยือนเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หรือผู้ที่พอจะมีเวลาว่างเหลือเฟือจากการเดินทาง แล้วอาจจะลองแวะเข้ามาเยี่ยมเยือน เพื่อชื่นชมกับบรรยากาศเก่า ๆ ของเมือง “บ้านส้อง” หรือลองแวะเข้ามาทานของกินอร่อย ๆ หรือแม้แต่กระทั่งสำหรับนักท่องเที่ยวมืออาชีพ ที่อาจจะเบื่อแล้วสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองที่ใหญ่โตเกินไป และต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่แปลกและแตกต่าง ในการบุกเบิกสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ซึ่งผมคิดว่าเมือง “บ้านส้อง” ก็น่าจะมีศักยภาพเพียงพอ ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวในแง่มุมแบบนี้ได้เช่นกัน

bansong 59







Create Date : 13 มีนาคม 2552
Last Update : 9 สิงหาคม 2555 10:07:52 น. 13 comments
Counter : 4916 Pageviews.

 
...น่าสนใจมาก น่าลองไปเที่ยวคับ...


โดย: เอนไซม์ IP: 58.10.158.55 วันที่: 16 มีนาคม 2552 เวลา:17:22:03 น.  

 
สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายค่ะ
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon //www.yenta4.com


โดย: meku วันที่: 19 มีนาคม 2552 เวลา:20:01:08 น.  

 
...เชิญติดตามสารคดีเพื่อบ้านเกิดเรื่อง "บ้านส้อง...บ้านฉัน" เวอร์ชั่น "Behind The Scenes"
แบบต่อเนื่องได้ทาง Web Link ข้างล่างนี้นะครับ...

//webboard.travel.sanook.com/forum/index.php?topic=2712691.msg13382158


โดย: Robert_N IP: 58.10.158.175 วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:11:16:19 น.  

 
สุดยอดครับพี่

นับถือ ๆ


โดย: เด็กหลัง'ถานี IP: 118.173.17.228 วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:20:32:35 น.  

 
เขียนได้ดีมากเลย น่าจะมีการแนะนำเกี่ยวกับขนม ร้านเก่าแก่ นะครับ


โดย: เด็กบ้านส้อง IP: 124.120.3.226 วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:00:09 น.  

 
ตอนนี้ ไม่รู้ว่า โกโหน่ง ยังขายกาแฟอยู่อีกหรือเปล่า
แกคงแก่มากแล้วล่ะ แกเคยมีบุญคุณกับผมมาครั้งนึง นานแล้วล่ะ แกคงจำไม่ได้


โดย: เด็กสี่แยกเอเชีย IP: 117.47.247.115 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:49:21 น.  

 
โกโหน่งแกยังขายกาแฟอยู่นะคับ เปิดร้านทุกเช้าที่หลังสถานีรถไฟบ้านส้อง มีโอกาสก็ลองไปเยี่ยมเยือนแกได้ แกยังแข็งแรงดีอยู่ แล้วยังตลกอยู่เหมือนเดิมคับ


โดย: Robert IP: 58.10.158.124 วันที่: 17 มิถุนายน 2552 เวลา:12:02:53 น.  

 
นี่ก็คนสุราษฎร์ธานี ไปเที่ยวบ้านส้องบ่อย ๆ


โดย: aaw IP: 118.173.11.208 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:35:41 น.  

 
...และแล้วก็ถึงเวลาที่ "บ้านส้อง" จะได้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซะทีแล้ว...

ติดตามความเคลื่อนไหวของ "คุณเอ็ม" และ "คุณนัน" ณ.ชมไทย ในกระทู้แนวท่องเที่ยว
ตอน "แกะรอย...บ้านส้อง" ที่กล่าวถึงประสบการณ์ในการมาเที่ยว "บ้านส้อง" ไว้อย่างละเอียดละออ
ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา พร้อม ๆ กับ "ภาพประกอบ" สวย ๆ จากฝีมือของทั้งสองคนที่นำมาฝากไว้
เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ในการมาเยือน "บ้านส้อง" ไว้อย่างไร เราลองมาติดตามชมกันที่ Link ข้างล่างนี่นะครับ

//www.chomthai.com/forum/view.php?qID=2268&page=0&page_limit=50


โดย: Robert IP: 58.10.158.84 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:23:17 น.  

 
แนะนำเว็บท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม


โดย: attractions (loveyoupantip ) วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:10:01:20 น.  

 
ผมเรียนจบเวียงสระปีสามเจ๊ดมาจากทุ่งใหญ่


โดย: คนthungyai IP: 118.173.59.39 วันที่: 21 กันยายน 2554 เวลา:11:13:39 น.  

 
บ้านพ่อแฟนอยู่ที่บ้านส้องไปไม่บ่อย แต่เคยไปยืนรอโจ้กมาแล้ว ขอบอกว่านานมาก บางวันก็ไปไม่ทัน หมดก่อน ส่วนไก่ขอบอกว่าอร่อยมาก
ขอชื่นชมที่รักบ้านเกิดตัวเองค่ะ


โดย: น้องใหม่ IP: 118.173.72.161 วันที่: 3 สิงหาคม 2555 เวลา:18:54:32 น.  

 
เป็นบทความเชิงสารคดีท่องเที่ยวเขียนได้ดีครับ

ชอบอ่านมากๆครับ อยากไปเที่ยวจังเลยครับ

หากไปเที่ยวผมติดต่อยตามเบอร์ที่ให้ได้เลยหรือเปล่าครับ


โดย: paipaiphuart วันที่: 4 สิงหาคม 2555 เวลา:3:52:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Robert_N
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Robert_N's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.