Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
9 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
หนี้รัก บทที่ 2

หล่อนมองป้องภพที่ช่วยงานอย่างแข็งขยันเขาเดินทางมาร่วมงานพร้อมกับวิไลและอุษาตั้งแต่เมื่อวานนี้  เขาบอกว่าลางานมาได้สามวันและจะเดินทางกลับทันทีที่พิธีฌาปนกิจศพเสร็จสิ้น ส่วนวิไลและอุษาหล่อนเพิ่งขับรถไปส่งที่บ้านเพื่ออาบน้ำและจะกลับมาร่วมพิธีอีกครั้งพร้อมกับช่อแก้ว

หล่อนเดินเข้าไปหาป้องภพที่กำลังง่วนอยู่กับการช่วยตามาจัดน้ำดื่มแบบแก้วลงถังแช่ขนาดใหญ่เพื่อเตรียมเอาไว้สำหรับบริการชาวบ้านที่มาร่วมงาน

“พักบ้างเถอะภพ”

“เหลืออีกแค่สองลังเอง”

เขาบอกพร้อมยกน้ำส่งให้ตามาซึ่งทำหน้าที่จัดเรียงและกลบน้ำแข็งป่นทีละชั้น

“ตามใจนะ อย่ามาว่ากันที่หลังว่าโดนใช้แรงงานล่ะ”

“ไม่พูดหรอก เดี๋ยวเขาไม่ยกลูกสาวให้”

“พูดไปโน้น ภพนี่ชอบตู่อยู่เรื่อย”

หล่อนว่าแล้วก็เดินหนีสะเทิ้นอายเมื่อโดนเย้า ปล่อยให้เขาช่วยตามาต่อ

เมื่อตามาเห็นว่าหล่อนเดินไปไกลแล้วจึงเอ่ยถามชายหนุ่มรุ่นลูกว่า

“คุณเป็นแฟนหนูวุ้นเหรอตอนแรกลุงคิดว่าเป็นเพื่อนเสียอีก” พออีกฝ่ายรับคำ ตามารีบรุกต่อ “แล้วอยู่กันยังไงที่กรุงเทพฯอยู่ด้วยกันหรือเปล่า”

พอเห็นหนุ่มรุ่นลูกอึกอักก็เลยว่า

“สมัยนี้เวลาใครเป็นแฟนกันก็มักอยู่ด้วยกันแบบอยู่กินก่อนแต่งไงคุณ”

“ลุงคิดไปไกลแล้ววุ้นเขาไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายอย่างนั้น” ป้องภพปฏิเสธพัลวัน “เขาเพิ่งอนุญาตให้ผมเป็นแฟนได้ยังไม่ถึงสองเดือนเลยครับ”

“ค่อยโล่งใจหน่อย” ตามาตบอกแล้วปิดฝาถังแช่น้ำแข็งหลังจากวางแก้วน้ำดื่มใบสุดท้ายลงไป

“โล่งใจทำไมเหรอครับ”

“ก็คิดว่าหนูวุ้นจะชิงสุกก่อนห่ามเหมือนหนุ่มสาวสมัยนี้น่ะสิได้ยินคุณพูดอย่างนี้แล้วลุงก็โล่งใจ”

                “วุ้นเขาเป็นผู้หญิงหัวโบราณกว่าผมจะเอาชนะใจได้ต้องตามตื้ออยู่หลายปี” เขาพูดเรื่อย แล้วขยายความว่า“ผมกับเขาเจอกันแค่วันเสาร์หรือไม่ก็วันอาทิตย์ เพราะทำงานกันคนละที่แต่ก็โทรศัพท์คุยกันทุกวัน”

“แม่สายหยุดเขาคงสอนมาดี” ตามาบอกนางสายหยุดเจอกับเหตุการณ์อันเลวร้ายมาแล้วเมื่อครายังเป็นสาวรุ่นหลายคนคาดเดาเอาต่าง ๆ นานา ว่ารัตมาเป็นลูกแท้ ๆของนายสนองหรือว่าเป็นลูกของชายอีกคนกันแน่

“แล้วเราจะทำอะไรต่อครับ”

                “พักก่อนเถอะคุณเดี๋ยวประมาณบ่ายสองกว่า ๆ ชาวบ้านก็ทยอยมา ถึงเวลานั้นก็วุ่นกันอีกรอบ” ตามาบอกแล้วเดินไปทางโรงครัวของวัด ปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่เพียงลำพัง

ป้องภพเดินเข้าไปภายในศาลาธรรมสังเวชเขาทรุดนั่งลงข้างรัตมาที่ช่วยแม่และป้าสุคนธ์จัดดอกไม้จันทน์ใส่ถาดเพื่อเตรียมไว้ให้กับชาวบ้านที่มาร่วมงาน

“ให้ผมช่วยนะครับ”

นางสายหยุดเงยหน้ามองชายหนุ่ม แล้วขยับตัวเพื่อให้เขามีที่นั่ง

“พักบ้างก็ได้นะพ่อคุณ ตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่ได้หยุด”

“มีอะไรก็ช่วย ๆ กันครับเหนื่อยกายพักแป๊บเดียวก็หาย”

“ใช่...เหนื่อยกายพักแป๊บเดียวก็หายแต่ถ้าเหนื่อยใจก็ต้องทำใจและยอมรับมันให้ได้”

รัตมาพูดคล้ายคนละเมอ หล่อนตั้งใจว่าเมื่อสิ้นงานศพของพ่อในวันนี้แล้วจะต้องเดินทางไปจัดการติดต่อธนาคารเพื่อขอประนอมหนี้หากเป็นไปได้หล่อนจะลองขอวงเงินสินเชื่อเสียเอง เงินตั้งสี่ล้านไม่ใช่น้อย ๆแต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำไม่ได้

“หนูวุ้น อย่าคิดมากสิลูก” ป้าสุคนธ์จับมือหล่อน แล้วพูดปลอบโยน “พ่อของหนูเขาเป็นคนดีเขาไปสบายแล้ว เราต่างหากที่ต้องอยู่ต่อและทำทุกวันให้ดีที่สุด”

“นั่นสิคะเราต้องทำให้มันดีที่สุด”

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้คุณรู้ไว้ว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”

ป้องภพพูดเสียงมั่นคงเขาไม่ได้จับมือของหล่อนมากุ่มไว้ เพราะมีผู้ใหญ่อยู่จึงไม่กล้าลุ่มล่าม

ส่วนนางสายหยุดได้แต่ก้มหน้าจัดดอกไม้จันทน์ต่อเพราะรู้ถึงความหมายอีกนัยหนึ่งของบุตรสาว เมื่อวานก่อนตอนกลับไปอาบน้ำที่บ้าน นางได้เปิดตู้เก็บเอกสารของสามีทั้งที่ไม่ได้ใส่ใจมาแต่ต้นเพราะเชื่อใจว่าสามีไม่มีวันโกหกเนื่องจากอยู่กันมานานร่วมสามสิบปี แต่เพราะคำพูดที่บุตรสาวแย้งขึ้นมาทำให้นางตัดสินใจเปิดดู

ลมแทบจับเมื่อเจอจดหมายทวงหนี้จากธนาคารยอดเงินสี่ล้านไม่ใช่น้อย ๆ แต่นางจำได้ว่าแต่เดิมที่ทำเรื่องขอวงเงินสินเชื่อและได้รับการอนุมัติยอดหนี้อยู่ที่สองล้านต้นๆ แต่พออ่านรายการแจกแจงรายละเอียดจึงพบว่ามีวงเงินเบิกเกินบัญชีธนาคารเพิ่มเข้ามานางไม่เคยรู้มาก่อนว่าสามีได้ดำเนินการขอวงเงินเพิ่มตั้งแต่เมื่อไร

พิธีกรรมเสร็จสิ้นแล้วชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างแยกย้ายกลับสามแม่ลูกยังยืนอยู่หน้าเมรุเผาศพ รัตมายืนโอบกอดแม่ไว้ทางด้านขวาส่วนช่อแก้วก็อยู่ด้านซ้าย พยายามประคองแม่ที่ยืนร้องไห้เขาว่าตอนรู้ว่าเสียชีวิตยังไม่ใจหายเท่าวันที่ต้องเผาร่างที่ไร้วิญญาณ

ภาพสามแม่ลูกยืนกอดกันสะอื้นตัวโยนเป็นที่เวทนาแก่ชาวบ้านที่พบเห็นและหนึ่งในชาวบ้านก็คือเขา จตุภูมิ บุตรชายคนเดียวของนางสุคนธ์

เขาเคยเจอเหตุการณ์สูญเสียแบบนี้เมื่อสิบปีก่อนพ่ออันเป็นเสาหลักของครอบครัวจากไปแบบกะทันหันเนื่องจากหัวใจวายเฉียบพลันทั้งที่เดิมท่านเป็นคนแข็งแรง เขาตัดสินใจลาออกจากงานมาอยู่ดูแลแม่และใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะที่หมู่บ้านชานเมืองแห่งนี้ผลของการตัดสินใจลาออกจากงานทำให้หัวใจของเขาต้องแตกสลาย เมื่ออยู่ ๆวิกานต์โทรศัพท์มาบอกเลิกกับเขา ทั้งที่คบกันมาถึงสี่ปี

เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้รับโทรศัพท์จากวิกานต์เหตุผลที่หล่อนอ้างเพื่อบอกเลิกเขาเป็นเรื่องที่ทำให้เขาตัดใจจากหล่อนได้เช่นกัน

...วิ...เบื่อค่ะพี่ภูมิ...

...เบื่องานหรือครับถ้าเบื่องานก็ลาออกมาสิ พี่บอกแล้วว่าเลี้ยงได้...

...เบื่อพี่ภูมิค่ะติดแม่เป็นลูกแหง่ แม่พี่โตแล้วท่านดูแลตัวเองได้...

...เราคุยกันแล้วนะวิเรื่องแม่...

...แต่วิอยากให้พี่มีอนาคตที่ดีกว่านี้ไม่ใช่กลับไปทำนาทำไร่ มันไม่มีเกียรติ ทุกวันนี้วิก็ยังไม่กล้าบอกที่บ้านว่าพี่ลาออกจากงาน...

คนทำการเกษตรไม่มีเกียรติรึ เขาเค้นยิ้มคล้ายเยาะมันคือเหตุผลของคนที่หมดรักกันต่างหาก เวลารักกันมันมีร้อยข้ออ้างและมองไม่เห็นจุดไม่ดีของอีกฝ่าย แต่พอจะเลิกกันต่อให้ทำดีแทบตายสุดท้ายก็ไม่ดีไม่ถูกใจทำอะไรก็ผิดหมด

“สงสารสายหยุดกับลูก ๆ จังเลยภูมิ”

จตุภูมิก้มมองแม่เมื่อเห็นยืนเช็ดน้ำตาจึงควักผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีดำออกมาซับน้ำตาให้เขายกมือโอบไหล่แม่มาแนบอก เหมือนที่แม่เคยทำอยู่บ่อยครั้งเวลาที่เขาหมดกำลังใจ

“เวลาจะทำให้คนเราเข้มแข็งขึ้นครับดูอย่างเราสิ...เรายังผ่านมันมาได้เลย”

“จริงสิ...แม่เกือบลืมไปเสียสนิท” นางสุคนธ์บอก พลางถอนหายใจ “ความตายเป็นฉากสุดท้ายที่เราต้องเจอไม่มีใครหนีมันพ้น ไม่ช้าก็เร็ว อยู่ที่ว่าใครจะเจอก่อนกัน”

“ใช่แล้วครับ” เขาบอก แล้วเอ่ยชวน “เรากลับบ้านกันเถอะครับทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว”

“ดีเหมือนกันแม่มีเรื่องอยากจะพูดกับภูมิพอดี”

“เรื่องอะไรครับเสียงแม่จริงจังเสียจนผมขนลุก”

นางเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของบุตรชายเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เพราะตั้งใจว่าจะคุยกับเขาอีกครั้งเมื่อถึงบ้านพัก

บ้านกับวัดห่างกันเพียงหนึ่งกิโลเมตรเศษจึงใช้เวลาขับรถเพียงห้านาทีก็มาถึงจุดหมายเขาจอดรถยนต์ให้แม่ลงที่หน้าบ้านก่อนขับไปเก็บยังโรงจอดรถ

นางสุคนธ์เดินเข้าไปนั่งพักอยู่บนเตียงไม้ประดู่ที่ตั้งไว้ใต้ถุนบ้านเขาเดินไปเปิดกระติกน้ำสีเขียวอ่อนแล้วตักน้ำเย็นขึ้นดื่มดับกระหาย

นางไม่ได้เอ่ยปากชวนบุตรชายคุยในตอนแรกแต่รอจนกระทั้งเขาดื่มน้ำเสร็จแล้วเดินไปนั่งบนเปลที่ทำจากไม้ไผ่สาน

“งานนี้หนูวุ้นดูเหนื่อยกว่าใครเลยว่าไหมภูมิ”

คิ้วหนาเลิกสูงพยายามค้นหาคำตอบในคำถามของมารดา อยู่ ๆแม่ก็พูดเรื่องลูกสาวของน้าสายหยุดขึ้นมาเฉย ปกติแม่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องของคนอื่น

“ก็เขาเป็นลูกสาวคนที่ตายก็เป็นพ่อของเขา”

“อันนั้นก็ถูกแต่ที่แม่หมายถึงคือเป็นธุระทุกอย่าง แม่หยุดแทบไม่ต้องทำอะไรเลย”

เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่มารดาพูด หล่อนทำตัวเป็นแม่งานที่ดี คล่องไปเสียทุกเรื่องผู้หญิงผมสีดำยาวปะบ่า ใบหน้ารูปไข่จมูกโด่งรั้น บอกให้รู้ว่าเป็นคนไม่ยอมใคร หล่อนชอบเม้มปากและทำหน้านิ่วนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น บ่อยครั้งที่หล่อนเพ่งมองโลงศพราวกับส่งพลังจิตให้คนตายฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

“ต่อไปเขาจะอยู่กันอย่างไรแม่หยุดจะทำคนเดียวไหวหรือ เลี้ยงหมูตั้งสองสามร้อยตัว”

“เขาพักฟาร์มอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

“นั่นแหละที่แม่เป็นห่วงภูมิจำได้ไหมที่เขาลือกันว่าตาหนองเอาที่ดินไปเข้าธนาคาร แล้วเอาเงินมาทำฟาร์มรับจ้างเลี้ยงหมูแต่สุดท้ายนี่เขาว่าตาหนองติดการพนัน เอาเงินไปเล่นจนหมดตัว”

“ช่างเขาเถอะครับ ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น”

“แต่แม่เป็นห่วงหนูวุ้นแกเป็นเด็กดี”

“ไม่เด็กแล้วครับแม่ สามสิบแล้ว” เขาแย้ง แล้วว่าติดตลก “เขาเรียกว่าสาวแก่”

นางสุคนธ์ค้อนควักแล้วว่า “ทำอย่างกับแม่หยกไม่เป็นสาวแก่อย่างนั้น”

“เกี่ยวอะไรกับหยก”

“เห็นเราสนิทด้วย”

“ก็เรามันคนหล่อใครอยู่ใกล้ก็หลง”

“ทำพูดเป็นเล่นไปแม่บอกเสียก่อนว่าไม่อยากได้แม่หยกมาเป็นสะใภ้ วัน ๆไม่รู้จักทำงานการเอาแต่แต่งตัว” นางสุคนธ์บอกแล้วขยายความต่อ “คนเราถ้าจะมีครอบครัวก็ต้องดูที่เขาเป็นแม่บ้านแม่เรือน”

จตุภูมิหัวเราะหึ ๆ แม่ของเขาจะคิดเลยเถิดและช่างสังเกต นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่แม่เขาเอ่ยถึงผู้หญิงที่มาพัวพันกับเขา

“บอกแล้วยังจะมาหัวเราะอีก”

                พอถูกแม่เอ็ด เขาลุกจากเปลเดินมากอดแม่พร้อมหอมแก้มซ้ายขวา แล้วว่า “ผมไม่คิดจะมีเมียตอนนี้หรอก อยู่คนเดียวสบายใจไม่อยากหาเหามาใส่หัว”

“แต่แม่อยากอุ้มหลาน” นางสุคนธ์บอกแล้วรีบแย้ง “อย่าบอกว่าหลานเยอะล่ะลูกหลานคนอื่นมันก็ไม่เหมือนลูกหลานตัวเองหรอก”

“แต่ผมไม่อยากมีเมีย แม่เคยได้ยินไหมมีลูกกวนตัวมีเมียกวนใจ”

“เอ๊ะ...ลูกคนนี้เขามีแต่มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ”

“มันก็เหมือนกันครับ ว่าแต่แม่ชักแม่น้ำทั้งห้านี่อย่าบอกนะครับว่าเรื่องที่แม่อยากพูดคือเรื่องนี้”เขาหอมแก้มแม่อีกสองฟอด แล้วเดินอ้าวออกจากใต้ถุนบ้านก่อนหันมาบอกอีกว่า “ผมไปดูหมูดีกว่า”

เขาเดินลัดเลาะมาดูโรงเรือนเลี้ยงหมูที่ปลูกสร้างขึ้นโดยใช้วัสดุจากธรรมชาตินั่นคือไม้ไผ่และหญ้าคา เขาเลี้ยงหมูหลุมแบบเกษตรประณีต เลี้ยงอยู่จำนวนยี่สิบตัวโดยแบ่งออกเป็นสองเล้าและมีตาข่ายสีน้ำเงินตาละเอียดทำเป็นมุ้งครอบเวลากลางคืน เพื่อป้องกันยุงและแมลง


เขาไม่ได้เลี้ยงมากเหมือนบ้านน้าสายหยุดเพราะเขาทำคนเดียว และทำตามวิถีของการทำเกษตรประณีตซึ่งใช้เงินลงทุนต่ำกว่าถัดจากเล้าหมูก็เล้าเป็ดเขาเลี้ยงเป็ดไข่ไว้สิบตัวมันอยู่ริมสระน้ำบางส่วนของเล้าถูกยื่นลงไปในน้ำ ในบ่อน้ำก็เลี้ยงปลาไว้หลายชนิด แถมมีบัวสายและผักบุ้งเอาไว้ทำกับข้าวโดยไม่ต้องซื้อหาให้สิ้นเปลือง

ความเขียวชอุ่มของพืชผักและพรรณไม้หลากชนิดที่เขาปลูกบนเนื้อที่กว่าห้าไร่จากที่ดินทั้งหมดยี่สิบไร่ ที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวสร้างความภูมิใจให้เขาอย่างที่สุด

“พี่ภูมิ...พี่ภูมิ”

เขามองตามต้นเสียงเห็นช่อแก้ววิ่งหน้าตื่นมาหา จึงรับปิดประตูเล้าเป็ดหลังจากเทอาหารให้มันเรียบร้อย

“มีอะไรเหรอวิ่งหน้าตื่นมาเชียว”

“เมื่อตะกี้หนูได้ยินแม่กับพี่วุ้นคุยกันบ้านหนูกำลังจะโดนยึด”

ช่อแก้วบอกแล้วโผเข้ากอดเขาร้องไห้โฮออกมา พร้อมรำพรรณ

“พ่อกับแม่เอาที่ดินเข้าธนาคารไม่ได้ส่งมาเป็นปีแล้ว” หล่อนสะอื้นแล้วเล่าต่อ “พวกเขาปิดเราสองคนมาตลอดหนูยังว่า เอาเงินที่ไหนมาสร้างฟาร์มเพื่อรับจ้างเลี้ยงหมูแถมช่วงหลังพ่อเอาเงินไปเล่นการพนันอีก”

เขาถอนใจยกมือลูบศีรษะของเด็กสาวแนบอก

“ใจเย็นนะ การร้องไห้ไม่ใช่การแก้ปัญหา”เขาปลอบโยน แกะมือของเด็กสาวที่โอบตัวไว้ออก แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าผืนเดียวกับที่เช็ดน้ำตาให้แม่เมื่อตอนอยู่วัดเช็ดให้หล่อน“แล้วพี่สาวของเราเขาว่ายังไง พี่เชื่อว่าเขาต้องหาทางออกได้อยู่แล้ว”

“พรุ่งนี้พี่วุ้นจะไปติดต่อธนาคารเสร็จแล้วก็รีบกลับไปทำงานเพราะลาเขามาหลายวัน”

“เห็นไหมพี่สาวของแก้วเขาต้องจัดการกับปัญหานี้ได้”

“เงินตั้งสี่ล้านพี่วุ้นจะหามาจากไหน” ช่อแก้วแย้ง น้ำตาหายไปแล้วเหลือเพียงเสียงสะอื้น“ใจคอพ่อทำด้วยอะไร ไม่นึกถึงลูกเมียบ้าง”

เขาถอนใจมองดวงอาทิตย์สีแสดที่กำลังลับขอบฟ้าจนใจกับคำถามของช่อแก้ว เพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าพ่อของหล่อนคิดอะไรทำไมถึงต้องเล่นการพนัน และที่แม่ของเขาพูดถึงข่าวลือของน้าหนองเป็นความจริงทุกอย่างเขานึกถึงพี่สาวของช่อแก้ว ป่านนี้จะเป็นอย่างไรจะเม้มปากแล้วมองเหม่อมองพระอาทิตย์ดวงเดียวกับเขาไหม

รัตมานั่งนิ่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้ามันเริ่มอ่อนแสงเหมือนหล่อนที่กำลังเหนื่อยล้าใจ หลังจากเก็บของที่วัดเสร็จหล่อนขับรถเก๋งที่ซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงพาแม่กลับมาบ้าน คืนนี้ไม่ต้องนอนวัดอีก

แต่พอกลับมาบ้านแม่ก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องนอนนานนับชั่วโมงส่วนช่อแก้วก็เอาแต่นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ใต้ถุนบ้าน หล่อนจัดการปัดกวาดเช็ดถูบ้านเพราะเวลาเดินรู้สึกระคายเท้า

อยู่ ๆแม่ก็เปิดประตูออกมาแล้วเดินไปเปิดตู้เอกสาร หยิบเอาเอกสารทั้งหมดออกมาแม่เปิดอ่านมันที่ละแผ่น ใบหน้าที่เคยเรียบเฉย เริ่มมีน้ำตาไหลอาบแก้มหล่อนทิ้งไม้ถูพื้นไว้กลางบ้านแล้วรีบเดินมาหา

หล่อนพูดคุยถึงเรื่องหนี้สินซึ่งติดค้างกับธนาคารและบอกถึงจำนวนเงินที่ได้จากการเสียชีวิตของพ่อ เงินที่ได้รวมกันแล้วได้เพียงหกแสนยังเหลือเงินอีกตั้งสามล้านกว่าจึงจะพอสำหรับการชำระหนี้

ไม่รู้ว่าช่อแก้วขึ้นมายืนฟังตั้งแต่เมื่อไรจนได้ยินเสียงร้องไห้เลยได้รู้ว่าเรื่องที่หล่อนอยากเก็บไว้เป็นความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไปน้องสาวของหล่อนปล่อยโฮออกมาแล้ววิ่งลงบ้านคว้ารถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

…ช่างเถอะ แก้วมันไปไม่ไกลหรอกมันคงไปหาตาภูมิ...

...ไปหาเขาทำไม...

แม่ไม่ตอบในตอนแรกแต่มาขยายความตอนหลังว่า

...เขาชอบตาภูมิ เพราะใจดีไม่เคยดุหรือบ่นขานั้นก็เหลือเกินไปไหนมาไหนมีของฝากมาให้กันตลอดจนชาวบ้านเขาเอาไปลือกันยกใหญ่ว่ายายแก้วจะเรียนไม่จบจะได้ผัวเสียก่อน...

นอกจากเรื่องหนี้สินแล้วหล่อนยังต้องจัดการเรื่องน้องอีกหรือรัตมาถอนใจ ร้องบอกแม่ซึ่งทำกับข้าวอยู่ในครัว

“แม่...เดี๋ยวหนูไปตามยายแก้วก่อนนะ”

“อยู่บ้านป้ารสนั่นแหละไปตามที่นั่นก่อน”

เสียงแม่ตะโกนบอกมาจากในครัวไล่หลังมาหล่อนเลือกขับรถมอเตอร์ไซค์ที่เหลืออีกคันออกไป บรรยากาศรอบตัวเริ่มโพล้เพล้ หล่อนใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจริงอย่างแม่บอกช่อแก้วมาที่บ้านของเขาจริง ๆ เพราะมอเตอร์ไซค์ของช่อแก้วจอดอยู่หน้าบ้าน

“อ้าว หนูวุ้นนี่เอง”นางสุคนธ์ร้องทักมาจากระเบียงบ้าน “หนูแก้วยังอยู่ในสวนหลังบ้านกับตาภูมิขึ้นบ้านก่อนไหม อีกประเดี๋ยวตาภูมิก็มา”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูเข้าไปหาดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นหนูวุ้นเดินไปตรงโอ่งน้ำโน่นนะมันเป็นทางไปหลังบ้าน”

หล่อนเอ่ยขอบคุณและเดินตรงไปทางโอ่งน้ำข้างบ้านตามที่ป้าสุคนธ์ชี้บอกสองข้างทางเดินเป็นต้นชะอมที่ปลูกไว้เป็นแถว มีต้นมะเขือปลูกแซมเสียงคนคุยกันอยู่ไม่ไกล หล่อนเดินอ้าวเข้าไปหาต้นเสียง เมื่อถึงจึงเอ่ยทัก

“แก้ว...แม่ให้มาตามไปกินข้าว”

หล่อนทึกทักเอาแม่มาอ้างทั้งสองหันมองเป็นตาเดียว แต่ต่างกันตรงสีหน้าที่ไม่เหมือนกัน ช่อแก้วหน้าตื่นแต่เขากลับหน้าตายคล้ายคนไม่มีความรู้สึก

“พี่วุ้นกลับไปก่อนเถอะเดี๋ยวหนูจะอยู่กินข้าวบ้านพี่ภูมิแล้วค่อยกลับ”

“ใช่ครับ คุณกลับไปเถอะ”

“คุณไม่มีสิทธิมาออกคำสั่งกับฉันค่ะ”หล่อนบอกเขา แล้วเดินไปคว้าแขนของน้องสาว “กลับบ้านกับพี่ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“เรื่องหนี้เหรอคะ”

หล่อนชะงักมองหน้าน้องสาวและเขาสลับกัน หล่อนถอนใจตอนแรกไม่อยากให้ช่อแก้วรู้และไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องหนี้สินแต่ตอนนี้เขาคงรู้หมดแล้ว

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงพี่คิดว่าทุกอย่างมันต้องเรียบร้อย”

“เงินตั้งสี่ล้านพี่จะหาจากไหนมาใช้” ช่อแก้วเถียงเกาะแขนเขาแน่น พอเห็นพี่สาวนิ่งเลยว่า“ลำพังเงินเดือนพี่แค่หมื่นเจ็ดหมื่นแปด อยู่กรุงเทพฯแทบจะไม่พอกิน”

“พี่มีเงินเก็บอยู่บ้าง”

“ถึงสี่ล้านไหมล่ะ”

“เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าครับ”เขาแทรก “ตรงนี้ยุงเริ่มมาแล้ว”

“พี่จะไปรอที่บ้าน”หล่อนบอกน้องสาว แล้วสะบัดหน้าพรืด เดินอ้าวกลับบ้านเคืองใจที่ช่อแก้วไม่ยอมไว้หน้า แถมยังมาพูดเหน็บเรื่องเงินเดือน

แต่น้องสาวของหล่อนพูดไม่ถูกไปเสียทั้งหมดจริงอยู่เงินเดือนแค่หนึ่งหมื่นเจ็ดพันกว่าบาทจะไม่พอกินหากใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเมื่ออยู่กรุงเทพฯแต่สำหรับหล่อนแล้วมันมากพอที่จะใช้จ่ายและเหลือเก็บอีกเดือนละหนึ่งหมื่นบาท เพราะหล่อนถูกสอนมาให้รู้จักประหยัดและไม่ตามใจตัวเองประเภทเจออะไรถูกใจแล้วซื้อเลยไม่ใช่นิสัยของหล่อน




Create Date : 09 กรกฎาคม 2556
Last Update : 9 กรกฎาคม 2556 9:36:14 น. 0 comments
Counter : 812 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ริปอง
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ผู้หมั่นเสมอย่อมสำเร็จ

งานเขียนทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีขึ้นในเวบนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของริปองแต่เพียงผู้เดียว ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

Friends' blogs
[Add ริปอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.