|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เทคนิคการลงทุนหุ้นเติบโตสูง
วันนี้ขอพักหัวข้อเดิมไว้ชั่วคราว เราจะมาพูดถึงหัวข้อใหม่กัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว
วันนี้เราจะมาศึกษาวิธีการลงทุนของนักลงทุนชื่อดังท่านหนึ่งคือ นายปีเตอร์ ลินช์ ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนที่มีผลการลงทุนที่ีดีที่สุด แม้กระทั่งในปัจจุบันเองยังไม่สามารถหาผู้จัดการกองทุนอื่นมาเปรียบเทียบได้ ที่ว่าเยี่ยมที่สุดนั้นก็เพราะว่าในระยะเวลาการลงทุนสิบกว่าปีนั้นมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงถึง 30% หนำซ้ำกองทุนยังมีขนาดใหญ่มาก (ใหญ่สุดในสมั้ยนั้น) โดยขนาดของกองทุนมีมูลค่ามากกว่า GDP ของประเทศในอเมริกาใต้บางประเทศด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากองทุนยิ่งมีขนาดใหญ่มากก็จะยิ่งยากในการทำผลตอบแทนสูงกว่าตลาด
สำหรับหลักการลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์ นั้นมีหลายวิธีแต่มีอยู่วิธีหนึ่งที่เราจะประยุกต์มาใช้นั่นคือ การลงทุนในหุ้นเติบโตสูง(Growth stock) หุ้นเติบโตสูงคือหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งก็แน่นอนว่าจะทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลายเท่าได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากผลกำไรเติบโตอย่างที่คาดไว้ แต่ในทางกลับกันถ้ากำไรไม่เป็นไปตามคาด ราคาก็จะปรับตัวลงอย่างรุนแรง เพราะโดยมากราคามักจะซื้อขายกันค่อนข้างสูงตามความคาดหวัง อย่างไรก็ตามหุ้นเติบโตสูงมีคุณสมบัติที่พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือมีคุณสมบัติคล้ายกับ Call option หรือ Warrant นั่นคือถ้ากำไรไม่ดี เลวร้ายสุดคือราคาลงไปเหลือศูนย์(ล้มละลาย) ในทางกลับกันถ้ากำไรดีมาก ราคาอาจขึ้นหลายเท่า หลายสิบเท่า หรืออาจเป็นร้อยเท่าก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นหุ้นพลังงานหรือปิโตรเคมีในช่วงหลายปีก่อนที่ปรับขึ้นโดยเฉลี่ยห้าเท่าเป็นต้น รวมถึงหุ้นชั้นนำในต่างประเทศอย่าง Microsoft, Ebay, Google เป็นต้น ผู้ที่ลงทุนในช่วงแรกๆจะมีผลกำไรเป็นร้อยๆเท่าเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามการลงทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังด้วย อย่างแรกก็คือราคาหุ้นมักซื้อขายกันแพงกว่าหุ้นปกติมากเช่น ถ้าหุ้นปกติทั่วไปเทรดกันที่ PE 8 เท่า หุ้นเติบโตสูงมักจะซื้อขายกันที่ PE 20-30 เท่า ทำให้ต้นทุนในการเข้าซื้อของเราค่อนข้างสูง และมันจะลดทอนกำไรที่ควรจะได้นั่นเอง นอกจากนั้นหุ้นเติบโตสูงที่กำไรสูงอย่างต่อเนื่องตามที่เราคาดไว้ มีสัดส่วนค่อนข้างน้อย เช่นถ้าเราเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเป็นหุ้นเติบโตสูงมา 10 ตัว อาจจะมีแค่ 1-2 ตัวที่กำไรเติบโตอย่างที่เราคิด นอกจากนั้นอาจเป็นหุ้นที่กำไรไม่ได้โตมาก หรืออาจล้มละลายได้ด้วย ดังนั้นโอกาสที่เราจะเลือกหุ้นดังกล่าวได้ถูกต้องจึงมีค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงข้อเสียดังกล่าว ปีเตอร์ลินซ์จึงได้กระจายการซื้อหุ้นในลักษณะดังกล่าวออกไปมากๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเลือกหุ้นผิดตัว และในการลงทุนแต่ละครั้งทำการบ้านในหุ้นแต่ละตัวค่อนข้างละเอียดมากๆเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จนั่นเอง การที่เราเลือกหุ้นมาสัก 10 ตัว และประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นจาก 2 ตัวเป็น 4 ตัว จะมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ซื้อหุ้น 10 ตัว 2 ตัวปรับขึ้น 5 เท่า อีกแปดตัวขาดทุน 80%
ผลตอบแทน = 0.2 x 500% - 0.8 x 80% = 36%
แต่ถ้าหุ้น 10 ตัวนี้ 4 ตัวปรับขึ้น 5 เท่า อีกหกตัวล้มละลาย
ผลตอบแทน = 0.4 x 500% - 0.6 x 100% = 140% !!!
จะเห็นได้ว่าอัตราผลตอบแทนขึ้นอยู่กับความแม่นยำในการเลือกเฟ้นหุ้น แม้ว่าหุ้นที่เราเลือกมานั้นส่วนใหญ่อาจผิดพลาดและขาดทุนถึงขั้นเหลือศูนย์ แต่พอร์ตโดยรวมยังคงกำไรได้มาก ถ้าหากหุ้นส่วนน้อยนั้นกำไรดีตามที่คาดหวัง นี่คือรูปแบบการลงทุนหนึ่งดีมากรูปแบบหนึ่ง ถ้าหากคุณเป็นผู้ที่ทำการบ้านดีและรับความเสี่ยงได้สูง
Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552 |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 17:47:14 น. |
|
0 comments
|
Counter : 760 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|