หลักเกณฑ์การลงทุนหุ้นปันผล
การลงทุนหุ้นปันผลเป็นแนวทางการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันโดยเฉพาะในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับที่ต่ำ(มาก) อย่างไรก็ตามยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากในกลุ่มนักลงทุนที่เลือกซื้อหุ้นปันผลโดยดูจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend yield) แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อการลงทุนในระยะยาว เราจะมีหลักเกณฑ์อย่างไรที่จะเลือกหุ้นปันผลที่ดีอย่างไร? ผมขอเสนอแนวทางง่ายๆ 3 แนวทางดังนี้
ประการแรก เงินปันผลที่ได้รับนั้นเกิดจากการปันผลจากการดำเนินงานปกติ หรือเกิดจากเงินปันผลพิเศษ บ่อยครั้งที่โบรกเกอร์หรือนักลงทุนที่มองหาหุ้นปันผลมักดูผลตอบแทนจากการปันผลปีล่าสุด การทำแบบนี้มีความเสี่ยงอย่างมาก หากการปันผลดังกล่าวเกิดจากการที่บริษัทได้กำไรสูงเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งทำให้ในปีถัดไปนั้นบริษัทจะไม่สามารถจ่ายปันผลได้ดีเท่าเดิม ส่งผลให้ผลตอบแทนที่ได้รับในปีถัดๆไปน้อยลงไปกว่าที่นักลงทุนตั้งเป้าไว้
ประการที่สอง เงินปันผลที่ได้รับนั้นแบ่งมาจากกำไรบางส่วนหรือทั้งหมดที่บริษัททำได้ หุ้นปันผลที่ดีจะต้องเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลในอัตราสูงโดยเงินปันผลดังกล่าวคิดเป็นแค่เศษเสี้ยวของกำไรที่เกิดขึ้น เพื่อที่บริษัทจะนำกำไรส่วนที่เหลือที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลไปลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต ตัวอย่างเช่น บริษัท A ซื้อขายที่ราคา 100 บาท ทำกำไรได้ปีละ 10 บาทต่อหุ้น และจ่ายปันผลปีละ 5 บาทต่อหุ้น หมายความว่าหลังจากที่บริษัทจ่ายปันผลไปแล้ว บริษัทยังเก็บผลกำไรอีก 5 บาทต่อหุ้นเพื่อการลงทุนในอนาคต ในขณะที่บริษัท B ซื้อขายที่ราคา 100 บาทเช่นกัน แต่ทำกำไรได้ปีละ 5 บาทต่อหุ้น และเลือกจ่ายปันผลปีละ 5 บาทต่อหุ้น แม้ว่าบริษัท B จะให้เงินปันผลปีละ 5% เท่ากับบริษัท A แต่ในระยะยาวแล้วบริษัท B จะมีการเติบโตที่ต่ำกว่า และนำไปสู่แนวทางประการที่สาม
ประการที่สาม เงินปันผลที่ได้รับนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่ บริษัทที่ดีจะต้องมีการทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้สามารถจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ในขณะที่บริษัทที่มีไม่มีการเติบโตจะไม่สามารถจ่ายเงินปันผลเพิ่มเพราะผลกำไรไม่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัท A ซึ่งเคยจ่ายปันผล 5 บาทในปีนี้ซึ่งคิดเป็นเงินปันผล 5% แต่ในอีก 3 ปีข้างหน้าบริษัทสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเป็น 14 บาทต่อหุ้น และจ่ายปันผล 7 บาทต่อหุ้น จะทำให้อัตราผลตอบแทนของเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 7% ในขณะที่บริษัท B ซึ่งเคยทำกำไรได้ 5 บาทต่อหุ้น และไม่สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนเงินปันผลก็จะยังคงอยู่ที่ 5% เท่าเดิม
นั่นหมายความว่า การเลือกหุ้นปันผลนั้นนอกจากจะดูที่อัตราเงินปันผลในปัจจุบันแล้ว เราควรต้องมองไปถึงการเติบโตของเงินปันผลในอนาคตด้วยนั่นเอง
Create Date : 18 มิถุนายน 2558 |
Last Update : 20 มิถุนายน 2558 13:02:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1063 Pageviews. |
|
|