อนาคตยานยนต์โลก ( ฉบับนั่งเทียน )
*****อรัมภบท สำหรับคนที่อ่านบล๊อคนี้ : อาจจะมีใครคนนึงที่ดูเหมือน เต่า ไปไหนมาไหนลำบาก เนื่องจากติดในกระดองของภาระหน้าที่ วันๆ อาจจะโผล่หัวออกมาดู blog ตัวเอง แต่ต้องมีสักวันที่หดหัวเข้าไปบ้าง เพราะไม่ว่างเลย ฉะนั้นหากถึง บ่ายวันศุกร์ จรด บ่ายวันจันทร์ เมื่อไร จงจำไว้เถิด นั่นหละถึงเวลาที่ต้องเร้นกายแล้ว .....คงเข้าใจวัฎจักรชีวิตผมนะครับ
งั้นอ่านต่อเลยแล้วกัน >>>>>
----------------------------------------------------------------------------------
โลกในอนาคตกาลจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครอาจทราบได้นอกจากนั่งยาง..เอ้ย!นั่งเทียน โลกอนาคตของยานยนต์จะเป็นเช่นไร คงได้แต่ฝันเฟื่องเอาตามประสาคนรักรถ
เรามีสมมุติฐานเดิมว่า 1. รถยนต์พลังงานน้ำมัน ไม่ไช่สิ่งยั่งยืน มันจะต้องมีวันหมด 2. ขณะนี้เราอยู่ในยุคของน้ำมัน เมื่อน้ำมันร่อยหรอ จำเป็นต้องมีสิ่งมาขับเคลื่อนทดแทน 3. โลกจะต้องแสวงหาพลังงานยั่งยืนมาทดแทนให้ได้
ประถมบทของการเดินทาง เชื่อว่าคงเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่นคือเท้า 2ข้างของเรา แต่นั่นไม่อาจเร็วอย่างที่พอใจ มนุษย์จึงต้องพึ่งสัตว์ 4 เท้า ที่กินหญ้ากินฟางมารับใช้ ก่อนจะพัฒนาให้มาเป็นรถลาก และสุดท้ายล้อของมันก็สามารถวิ่งได้ด้วยตัวมันเอง
ไช่แล้ว !! มันคือ ข้าทาสผู้ซื่อสัตย์ ที่เรียกว่า...รถยนต์ นั่นแหละ ถึงแม้มันจะไม่มีชีวิต แต่เราก็ต้องหาอะไรให้มันกิน โดยต้องจ่ายเงินเป็นค่า น้ำมัน หรือแกส ปัจจุบันจึงเห็นสัตว์เลี้ยงพันธุ์ใหม่ วิ่งขวักไขว่ดาษดื่นบนท้องถนน แทนเกวียน รถม้า และรถเจ็ก
เป็นอันว่ารถยนต์นั้น ต่างก็พากันแย่งน้ำมันที่มีอยู่อย่างจำกัดใต้พื้นโลกมากิน เหมือนอาหารบุฟเฟ่ที่อยู่ในภัตราคาร หากกินไม่บันยะบันยังก็หมดเร็ว หากกินละเมียดละมัยก็หมดช้า ........แต่สุดท้ายก็ต้องหมด!!!! น้ำมันในโลกคงไม่หมดเกลี้ยงเหมือนเลียจาน แต่มันไม่คุ้มทุนที่จะขุดขึ้นมา ก็ถือว่าหมดแล้ว
ตอนนี้น้ำมันแพง แต่ไม่ได้หมายถึงน้ำมันหมดโลก ก็เพียงแค่สูบขึ้นมา ไม่ทันการใช้ หลังหยุดพัฒนาการขุดเจาะมานานหลายปี supply จึงไม่สมดุลกับ demand ด้วยประการฉะนี้ การที่ราคาขายแพง จึงเป็นการปรับเซ็ทความสมดุลครั้งใหม่ของโลก
เอาน่า!! ไม่ต้องตกใจ ...ยังมีใต้ดิน+ใต้ทะเลลึก อีกไม่น้อยกว่า 30 ปีขึ้นไปให้ถลุงเล่น ผมเลยมาปั้นแต่งนิยายในโลกอนาคตให้อ่านกัน.....อย่าเชื่อ! เพราะไม่มีวิทยาศาสตร์อะไรเลย นอกจากความเฟ้อฝันเรื่อยเปื่อย แค่นั้นจริงๆ
ปี พ.ศ.2550-2553 : ราคาน้ำมันดิบจากที่เคยทะยาน 60กว่าเหรียญ ก็ค่อยๆหล่นลงมา 45เหรียญ/บาเรล จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอเมริกา และน้ำมันถูกขุดเจาะขึ้นมามากโดยกลุ่มนอกโอเปค
ปี พ.ศ.2554-2556 : อิหร่านสามารถพัฒนาเทคโนโลยี่นิวเคลียร์สำเร็จ สหรัฐโจมตีโรงงานนิวเคลียร์โดยจรวด smart bomb มีผู้เสียชีวิตหมื่นกว่าราย ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจอเมริกา ในตะวันออกกลางและทั่วโลก : เกิดสงครามย่อยโจมตีประเทศอิสราเอล ราคาน้ำมันดีดกลับเป็น 75 เหรียญ/บาเรล แต่เป็นเพียงชั่วขณะ สุดท้ายสถานการณ์ก็คลี่คลาย
ปี พ.ศ.2557-2566 : ทั่วโลกเร่งสร้างโรงงานไฟฟ้าปฎิกรณ์นิวเคลียร์เพิ่มขึ้น : ประเทศจีนก้าวมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเต็มตัว แต่ยังมีปัญหากับการกระจายรายได้ : กระแสรถยนต์ไฮบริดเริ่มกลับมาบูมอีกครั้งหลังสามารถพัฒนาอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวถึง 5ปี : ส่วนรถ fuel cell ยังไม่แพร่หลายเนื่องจากติดปัญหาในแง่สถานีบริการ
ปี พ.ศ.2567-2580 : ราคาเริ่มน้ำมันค่อยๆเริ่มปรับตัวสูงขึ้น จาก 60เหรียญ/บาเรล ไปเป็น 130เหรียญ/บาเรล ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงวาระสุดท้ายของยุคน้ำมันราคาถูก : เกิดกระแสพลังงานทดแทนยั่งยืนทั่วโลก นั่นคือ พลังงานนิวเคลียร์ โดยสัดส่วนพลังงานจากเตาปฎิกรณ์เป็นหนึ่งในสามของพลังงานทั่วทั้งโลก : ประเทศจีนก้าวเป็นอันดับหนึ่งของการผลิตยานยนต์และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี่ แต่มีปัญหาการปกครองภายในจนต้องแยกเป็นมลรัฐคล้ายอเมริกา : ส่วนประเทศไทยหลังจากการวางรากฐานเศรษฐกิจแบบพอเพียงมา 30ปี พบว่าความนิยมการใช้รถขนส่งมวลชนมากขึ้น
หลังปี 2581 เป็นต้นไป รถยนต์ Fuel cell คือยานยนต์หลักของการใช้รถแบบปัจเจกบุคคลในระยะไกล ขณะที่ในเมืองนิยมใช้ยานยนต์ชนิด segway หรือรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก และเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์คือพลังงานหลักของโลกที่ค่อยๆแทนที่พลังงานอื่นจนหมด
หลังจากนี้ทุกคนจะอายุเท่าไหร่นะ ................เหอๆ คราวนี้ คงเป็นคนแก่กันทุกคน แล้วจะยังมีแรงกดแป้นพิมพ์บ้างมั้ยนะ หุหุหุ
รออ่าน segway , ไฮบริด , fuel cell ปีหน้า....กะจะให้เป็นไตรภาคจบ แบบหนัง the matrix หรือมหากาพ แบบ lord of กางเกงลิง
ตอน 1 พลังงานน้ำมันในอนาคตฯ ตอน 2 อนาคตยานยนต์โลก ตอน 3 เป็นตอนจบ
แต่เมื่อไหร่ไม่รู้นะ เหอๆๆ
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549 |
|
33 comments |
Last Update : 31 มกราคม 2550 2:50:13 น. |
Counter : 1319 Pageviews. |
|
|
|
รถผม จะขับเคลื่อนด้วย แรงของนักการเมืองครับ (ช่วง
เอาคืน)