★ โขนชุดใหญ่ เรื่องรามเกียรติ์ และ Sita Sing the Blue, 2008 (1)




ไม่เคยไป ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

เคยแค่ใช้บริการของรถไฟฟ้าใต้ดินไปขึ้นสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ เพื่อไปดูเทศกาลหนังเวิลด์ฟิล์มที่เอสพลานาดปลายปีที่แล้วนั่นคือเฉียดสุด แต่วันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ มีความจำเป็นตามความต้องการที่จะไปเยือน เพื่อไปดู การแสดงโขนชุดใหญ่ เรื่องรามเกียรติ์ ชุดท้าวมาลีวราชว่าความ พักยกจากการตะลอนและตะลุยดูหนังในเวิลด์ฟิล์มไป ๑ วัน การไปในครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้เห็นและรู้จักศูนย์วัฒนธรรมฯ

ก็หาลู่ทางทางไปกันอยู่พักใหญ่ ลงรถป้ายศูนย์วัฒนธรรมฯแล้วก็ยังงงงงอยู่ว่าอาคารตั้งอยู่ที่ไหน เดินย้อนซ้ายทีขวาทีจนต้องไปถามเจ้าหน้าที่ที่ตรวจกระเป๋าตรงทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินจึงได้ความ เมื่อเดินไปถึงแยกก็ไม่มีพี่วินจอดอยู่เลยสักคัน พี่เจ้าหน้าที่คนนั้นยิ่งให้ข้อมูลอยู่ว่าถ้าเดินเข้าไปก็ใช้เวลาราว ๒๐ นาที...ไม่ได้การหรอกพี่ เพราะตอนนี้เที่ยงวัน ดวงอาทิตย์ทำมุม ๙๐ องศากับศรีษะ ซึ่งแปลว่าอากาศร้อนมากถึงมากที่สุด

โชคเข้าข้างให้บังเอิญได้เจอพี่วินคนหนึ่งที่พึ่งเดินออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวและกำลังเข็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจอยู่บนฟุตบาทเพื่อจะไปทำงานต่อ ก็เลยเรียกให้แกพาไป มันเป็นการให้บริการที่แกสมัครใจทำ เราก็เลยสบายใจอย่างที่สุดที่ไม่ต้องเดินกลางแดด

อนึ่ง การตัดสินใจไปดูในครั้งนี้เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการที่เคยใฝ่ฝันไว้ในสมัยเด็กๆตามประสาเด็กต่างจังหวัด เคยคิดตั้ง ๓ สิ่งมหัศจรรย์ประจำตัวเอาไว้และตั้งใจว่าจะต้องไปเยือนไปพบไปสบให้เห็นด้วยตาตัวเองให้ได้ สิ่งที่หนึ่งคือ ท้องฟ้าจำลอง ก็จะไม่ให้คิดว่ามันจะไม่มหัศจรรย์ได้อย่างไร ในเมื่อเขาอ้างว่านี่คือ "ท้องฟ้า" อันกว้างสุดลูกหูลูกตาที่จำลองลงมาให้อยู่ในโดมกลมๆ แต่จะย่อลงมาได้แค่ไหนกันนะ? จะยิ่งใหญ่หรือน่าตื่นเต้นอย่างไรนะ?นั้น ที่นี่จึงเป็นที่ที่เด็กอย่างเราจะต้องไปดูให้ได้ ก็ได้พิสูจน์ไปแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งหนึ่งนานมาและครั้งที่สองที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยแล้ว

สิ่งที่สองคือ สนามกีฬาศุภชลาศัย สมัยนั้นยังไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีสนามราชมังคลากีฬาสถาน ตามประสาที่ชอบดูฟุตบอลแม้จะยังไม่มีทีมชาติหรือทีมสโมสรใดในดวงใจ แต่การที่จะได้อยู่ท่ามกลางคนที่มาดูเกมกีฬานี้เหมือนกัน ส่งเสียงเชียร์ร้องตะโกนเหมือนๆกันนั้นมันต้องเป็นบรรยากาศที่สุขใจเกินบรรยายแน่ สนามหญ้าสีเขียวสดชื่นนั้นเห็นทีไรแล้วก็อย่างกับโดนต้องมนต์ ใจก็อยากจะวิ่งลงไปเล่นเองอ่ะนะ..แต่เราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อเล่น เอาแค่เพื่อดูก็มีความสุขแล้ว สิ่งมหัศจรรย์สิ่งนี้ก็ได้พิสูจน์ไปแล้ว ไม่ใช่ที่สนามกีฬาศุภชลาศัยแต่เป็นสนามราชมังคลากีฬาสถาน นัดที่ทีมชาติไทยลงหวดนวดแข้งกับทีมสโมสรลิเวอร์พูลเมื่อปี ๒๐๐๑ และปี ๒๐๐๓

และสามคือ โขน ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงเหมือนกันว่าทำไมต้องโขน คาดว่าคงเป็นเพราะชอบฟังการอ่านแบบทำนองเสนาะ ชอบแต่งกลอน (สมัยนั้น) และเรื่อง "รามเกียรติ์" หรือ "รามยณะ" ก็เป็นวรรณคดีที่สนใจและท้าทายความสามารถของตัวเองอยู่จนทุกวันนี้ว่าอยากจะจำให้ได้ทั้งหมด เล่าให้ได้เป็นฉากๆราวกับมันซึมอยู่ในกระแสเลือดที่จะไม่สูญหายไปไหน...โอเวอร์ไว้ประมาณนั้น ^_^"



(ภาพ :: น้องๆหนูๆที่มาเรียนการแสดงที่ศูนย์ฯ)



เรื่องรามเกียรติ์ ชุดท้าวมาลีวราชว่าความ ในการแสดงโขนชุดใหญ่ครั้งนี้มีเรื่องย่อที่ขอคัดมาจากสูจิบัตร ความว่า

ท้าวมาลีวราชเป็นพรหมสี่หน้า เดิมชื่อว่าท้าวมาลีวัคคพรหม เป็นพี่ชายของท้าวจัตุพักตร์และเป็นปู่ของทศกัณฐ์ ทั้งยังเป็นเจ้าแก่หมู่เทพคนธรรพ์ในเขายอดฟ้า ครั้งเมื่อพระอิศวรทรงประทานคฑาเพชรและพรที่ไม่แพ้ฤทธิแก่อสุรพรหมก็หวั่นใจ เพราะอสุรพรหมเป็นอันธพาลจะทำให้โลกเดือดร้อน จึงทูลความหวั่นใจของตนต่อพระอิศวร พระอิศวรทรงประทานพระขรรค์กับพรเพื่อมอบให้แก่ท้าวอัชบาลซึ่งเป็นปู่ของพระราม ท้าวมาลีวัคคพรหมกับท้าวอัชบาลจึงเป็นมิตรต่อกัน ทั้งสองพระองค์จึงเป็นปู่แห่งองค์พระราม สำหรับท้าวมาลีวัคคพรหมนั้นเป็นผู้ตั้งอยู่ในความยุติธรรม จึงได้รับพรจากพระอิศวรให้มีวาจาสิทธิ์และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "ท้าวมาลีวราช"

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทศกัณฐ์ทำสงครามกับฝ่ายพระรามแล้วต้องพ่ายแพ้ ทศกัณฐ์ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครให้ช่วย จึงนึกถึงท้าวมาลีวราชผู้มีวาจาสิทธ์ สาบแช่งให้ผู้นั้นวินาศไปตามคำสาปได้ จึงสั่งให้นนยวิกและวายุเวกไปเชิญท้าวมาลีวราชมายังกรุงลงกา ด้วยหมายจะกล่าวโทษพระรามเพื่อให้ท้าวมาลีวราชสาบพระรามให้มีอันเป็นไป

ในการแสดงโขนชุดนี้ จัดเป็น ๓ องค์

องค์ที่ ๑ อัญเชิญท้าวมาลีวราช
องค์ที่ ๒ ท้าวมาลีวราชว่าความ
องค์ที่ ๓ จัดเป็น ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ ชุบหอกกบิลพัท
ตอนที่ ๒ พุ่งหอกกบิลพัท


เวลาที่ใช้ในเฉพาะการแสดงจริงๆนั้นร่วม ๒ ชั่วโมงครึ่ง เริ่มเปิดพิธีเวลา ๑๔.๐๐ น. และสิ้นสุดการแสดงเวลา ๑๗.๐๐ น. แต่ก่อนการแสดงจะเริ่มก็จะมีการกล่าวพิธีเปิด ถึงความเป็นมาและความประสงค์ของผู้จัด ต่อด้วยการร้องเพลง ๓ เพลง โดยคุณธรณี อ่า...คนเดียวกันกับที่ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. แหละค่ะ ตอนกล่าวว่าจะมีการร้องเพลงเสียก่อน คุณป้าที่นั่งข้างๆเรา ๒ คนที่มาด้วยกันบ่นอุบว่า เราจะมาดูโขน ไม่ใช่มาฟังเพลง!

ในหอประชุมใหญ่ที่ใช้สำหรับการแสดงในครั้งนี้ มีการประกาศว่าห้ามถ่ายภาพขณะมีการแสดง เราก็เป็นพวกไม่ชอบแหกกฏ (ถ้าไม่จำเป็น) เขาขออย่างไรก็ทำตามนั้น แต่อยากได้ภาพอ่ะ ๕๕ จังหวะที่รอก่อนเปิดพิธี หน้าฉากเป็นภาพเขียนของหมู่เหล่าเทวดา สวยงามจริงๆ สวยงามจริงๆ อยากให้คนอื่นได้เห็นด้วยบ้าง ไอ้ครั้นจะเอากล้องที่พกมาด้วยออกมากดถ่ายแชะ แชะ แชะ นี่...อายสายตาประชาชีค่ะ ไม่อยากทำตัวให้โดนประณาม เลยได้แต่นั่งน้ำลายยืด จ้องมอง จดจำให้มันติดตา

เดชะบุญ ที่นั่งเยื้องไปข้างหน้าฝั่งขวามือเราหนึ่งแถว มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งล้วงกล้องดิจิตอลตัวเล็กออกจากกระเป๋า แล้วเล็งไปที่ฉาก กดแชะ โยกซ้าย กดแชะ โยกขวา กดแชะ เสร็จแล้วนั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพัก เราก็เห็นแสงแฟลชวาบมาจากด้านหลัง สองแว่บ แล้วก็หายไป

แล้วอย่างนี้เราจะนิ่งเฉยทำไม ใจก็เต้นตึกๆ คือรู้ว่าตัวเองจะทำสิ่งที่ขัดอยู่ในใจ...แต่ก็ตัดสินใจล้วงเอากล้องตัวเล็กๆออกมาบ้าง แล้วยกขึ้นเล็ง ชอบถ่ายแบบไม่ใช้แฟลชอ่ะแต่จะชัดได้ต้องด้วยขาตั้งกล้องไม่ก็วางอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ถ้ากดชัตเตอร์แล้วกล้องไม่ไหวน่ะ ซึ่งในสถานการณ์สถานที่แบบนี้นั้น ทำได้ดีที่สุดคือต้องทำมือให้นิ่งเข้าไว้ ถ่ายภาพที่หนึ่ง กดแชะ มีศรีษะของป้าที่เกล้าผมมาอย่างสวยติดมาด้วย ภาพที่สองเลยต้องยกแขนขึ้นเพื่อให้พ้นสิ่งขีดขวาง เท่านั้นล่ะ...

เสียงของคุณป้าหน้าไทยจากเบาะนั่งทางด้านหลังที่แกคุยกันกับป้าอีกคนกับผู้ชายหนุ่มใหญ่วัยทำงานที่พาลูกชายมาด้วย ทั้งหมดคุยกันตั้งแต่เข้ามานั่งหรือน่าจะคุยตั้งแต่ออกจากบ้านมานู่นเลย (ท่าทางจะเป็นอย่างหลัง) เป็นการคุยภาษาไทยสองคำ ภาษาอังกฤษยี่สิบเจ็ดคำปนปนกันไป แล้วอยู่ๆประโยคบอกเล่าของแกก็กลายเป็นประโยคคำถามที่ดังฟังชัด ดังขึ้นขณะที่เรากำลังยกกล้องขึ้นเพื่อจะเก็บภาพฉากเวที

Why still take a picture ? ... นึกในใจ ถามตูรึเปล่าวะ ไม่หรอก แกคงถามเพื่อนป้าที่มาด้วยกันไม่ก็..พูดเหน็บคนที่กำลังถ่ายภาพ (ร้อนตัวนะเนี่ยร้อนตัว) Why still take a picture ? bla bla bla ประมาณว่าทั้งที่เค๊าก็ประกาศไม่ให้ถ่ายภาพทำไมยังถ่ายกันฟะ Why still take a picture? พูดซ้ำอย่างกะแผ่นเสียงตกร่อง คือความจริงถ้าแกพูดไทยอาจจะกลัวโดนอะไรบางอย่างมั๊งเลยต้องพูดภาษาอังกฤษ หรือไม่งั้นก็คงคิดว่าพูดภาษาอังกฤษเนี่ยแหละไอ้คนที่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพมันจะได้ฟังไม่ออก

เพราะเจ้าป้าไม่ได้เอ่ยชื่อดิชั้น ดิชั้นจึงไม่หันไปรบฆ่าราวีให้เข้าตำรา "กินปูนแล้วร้อนท้อง" แต่เมื่อโดน(รับเอา)คำผู้ใหญ่ติ ตำหนิ ซึ่งก็รู้แหละป้าบ่นลอยๆให้ใคร ดิชั้นก็เลย...ถ่ายอีกสองแชะเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้หวั่นมากนักกับคำครหา ๕๕ แล้วจึงเก็บกล้องเข้ากระเป๋า...แล้วเสียงสนทนาภาษาอังกฤษจากคนเบาะหลังก็กลับเข้าสู่ประโยคบอกเล่าเก้าสิบกันอย่างเดิม




(ภาพ :: ฉากหน้าเวทีที่ถ่ายไม่ชัด)





(ภาพ :: ฉากหน้าเวทีและวงดนตรีไทยที่ถ่ายไม่ชัด)





(ภาพ :: ระหว่างการแสดงที่ถ่ายไม่ชัด)
(ขออภัยในความไม่สะดวกในการปรับสายตาจริงๆ)



พูดถึงครอบครัวหรือชุมชนเบาะหลังที่สนทนาเป็นภาษาอังกฤษ เดาว่าพี่ผู้ชายคนที่พาลูกชายตัวเล็กๆมาด้วยนั้น ทั้งสองคงเห็นป้ายตัวเลขตัวอักษรที่เขียนว่า จากที่ไหนสักแห่งก่อนเข้าชม เพราะคุณผู้ปกครองท่านแนะนำลูก อธิบายให้ลูกฟังตลอดเลยว่าตัวละครอะไรเป็นอะไร..ขณะที่มีการแสดง!

เอาไว้เล่าต่อบล็อกหน้าละกันค่ะ...นี่ยังไม่ได้พูดถึงหนังอนิเมชั่นเรื่อง Sita Sing the Blue (2008) ที่ฉายในเวิลด์ฟิล์มเลยเพราะทั้งโขนและซิต้าเขามีความเกี่ยวข้องกันอยู่


ตบท้ายด้วยภาพภายในบริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยที่มากไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณ








:: Please welcome ::

ขอเชิญ ทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็นต่อหนังหลากเรื่องหลายแนว ทั้งชนโรง ทั้งหนังแผ่น ได้ที่ //vreview.yarisme.com ค่ะ และเรายังมีกิจกรรมให้ทุกท่านมีสิทธิลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท ฟรี!!!! จำนวน 8 ใบ ทุกเดือนอีกด้วย









 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551
11 comments
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 17:49:26 น.
Counter : 3760 Pageviews.

 

อืม พอดีกับหนังเลย
รออ่านครับ เรื่องนี้ไม่ได้ดู

ปล.น่าจะหันไปถามบ้างว่า "ทำไมถึงพูดอยู่ได้"


 

โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ 4 พฤศจิกายน 2551 0:17:46 น.  

 

สวัสดีครับ ผมได้เห็นมุมมองเพิ่มขึ้นหลังจากอ่านจบ แต่เป็นมุมมองส่วนตัวจริง ๆ

บางสิ่งที่แสวงหา บางทีอยู่ใกล้ตา (สำหรับผมเองนะครับ)

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 4 พฤศจิกายน 2551 11:55:26 น.  

 

แล้วได้อ่านยังครับป้า

ผมอ่านไปแล้วเผลอเกือบหยิบขี้กบมากินเลยอ่ะ (กบไสไม้)

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 5 พฤศจิกายน 2551 10:31:11 น.  

 

น้าเอ้
รอเขียนเหมือนกันค่ะเอ้ย..เดี๋ยวเขียนต่อเลย ปล่อยไว้นานก็จะลืม หุหุ

พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง
คนโซ ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ
ชักอยากรู้แล้วสิว่ามีอะไรไปเกี่ยวกับขี้กบ (กบไสไม้) ยังไง ^_^

 

โดย: renton_renton 5 พฤศจิกายน 2551 18:13:56 น.  

 

เด๋วมาอ่านน่ะ พรุ่งนี้เช้าาา (แปะบ้าง หุหุ)

 

โดย: BloodyMonday 5 พฤศจิกายน 2551 18:44:49 น.  

 

มาอ่านล่ะ ^^

คงได้ยินบ่อยน่ะว่า เวลาคนที่เกิดและโตอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ก็จะไม่ค่อยให้ความสนใจในสถานที่ที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆซะเท่าไร อย่างที่นี้ และ ท้องฟ้าจำลอง เราขอตอบแบบอายๆว่าไม่เคย (หรือเคยแต่จำไม่ได้) ว่าไปเยี่ยมชมมาเลย จะว่าไป...เราเองก็ไม่ค่อยออกไปไหนนอยู่แล้วนิหน่า -,.-'

เรื่องป้าและโคสปีคอิงลิช 55+ เรื่องการคุยไม่ถูกกาลเทศะก็หนึ่งล่ะ (เหมือนในโรงหนังเลย) และก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดอังกฤษกัน หรือว่าการไปดูอะไรแบบนี้ แสดงว่าต้องรู้ภาษาอังกฤษมาเท่านั้น (แต่ถ้าพูดแล้วยังผิดอย่างนี้ก็อาจจะไม่ใช่ล่ะ 55+) เป็นเราเจอแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน ยิ่งเป็นคนขี้รำคาญด้วยแล้ว อาจมีการสวนด้วยถ้อยคำที่รุนแรงได้ (ไม่ดีๆ)

จะรออ่าน Sita น่ะ ^^

 

โดย: BloodyMonday 7 พฤศจิกายน 2551 13:54:57 น.  

 

+ ตามคุณ Bd Md มาอ่านบ้างครับ อุๆ
+ อืม ... ถ้าถ่ายโดย (ไม่ใช้แฟลช) ไม่รบกวนใคร ผมก็ถ่ายนะครับ ตอนไปดูหุ่นกระบอกน้ำที่ฮานอย ก็ไปแชะเวทีเค้ามาซะรูปนึง (เค้าติดป้ายไว้ว่า จะถ่ายรูปต้องจ่ายเพิ่ม เลยขี้เกียจมีปัญหาอ่ะครับ)

+ เป็นผม ถ้ารำคาญ ก็อาจหันไปพ่น "Why're you talkative all the time?!!!" เหมือนกันนะครับ ... แบบว่าตอนนั้นผมเคยโดนคนเบาะหน้าในโรงหนัง หันมาว่าอย่าถีบเก้าอี้เค้า (ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้แตะโดนเลย สงสัยเก้าอี้เค้าคงพนักไม่ค่อยดี เวลาขยับตัวเอง ก็เลยเหมือนโดนถีบ!!! ) ผมก็ย้ายที่นั่งหนีโดยพลันเลยอ่ะครับ เซ็งพวกคิดแต่จะว่าร้ายคนอื่น โดยไม่เคยมองตัวเองอ่ะครับผม

+ รออ่าน Sita ต่อเช่นกันจ้า (เป็นอีกเรื่องที่พลาดดู เพราะสุดสัปดาห์ที่แล้วต้องไปต่างจังหวัดพอดี )

 

โดย: บลูยอชท์ 7 พฤศจิกายน 2551 19:23:43 น.  

 

BdMd
สงสัยป้าไม่ได้เป็นเด็กแกรมมี่เอ้ย ไม่กะเอาดีทางด้านแกรมม่า
เอาแค่สนทนาแล้วให้เข้าใจว่าอะไรก็พอ หุหุ...ช่างแกเถอะนะ
อารมณ์ตอนนั้นเรามันก็คิดยังงั้นแหละ แต่ตอนนี้ลืมไปและ

ตอน (2) ก็รออีกแป๊บจ่ะ ^^

ขอบใจหลายเด้อที่ตามมาเม้นท์จนได้...ยอดเยี่ยม
แต่ตอนนี้เอากลับมาไว้หน้าแรกละ
เดี๋ยวจะได้ต่อตอนสองเลย

บลูยอชท์
ขอบคุณค่ะที่แวะตามมา เอามาไว้หน้าแรกละ ตามเหตุผลข้างบนค่า

เรื่องถีบเก้าอี้เนี่ยก็โดนบ่อย โดยเฉพาะในเทศกาลหนัง อาจเป็นเพราะพี่ๆต่างชาติขายาวกระมัง
ขยับทีเปลี่ยนท่าไขว้ทีก็กระเทือนถึงคนเบาะหน้า
แต่ตัวเราเองจะระวังมากๆ เพราะไม่อยากให้คนอืนเสียลมเหมือนเวลาเราโดน
(เดี๋ยวเค๊าหันมาดุเอา...กลัว ^^)

หมายเหตุ
เผื่อท่านใดอยากแวะชมงานเขียนสีน้ำ ดอกพวงคราม ชมได้ ที่นี่ ค่ะ
และ ดอกปัตตาเวีย ชมได้ ที่นี่ ค่ะ

 

โดย: renton_renton 8 พฤศจิกายน 2551 7:33:18 น.  

 

หวัดดีครับท่านป้า

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 8 พฤศจิกายน 2551 12:50:39 น.  

 

บางทีก็ไม่เข้าใจนะครับ
ว่าพ่อแม่จะพาลูกไปดูอะไร
ทำไมไม่ดูวัยของลูกตัวเองซะหน่อย

ผมเคยไปดู Batman ในโรงหนัง
แล้วเด็กผู้ชายก็ถามพ่อตลอดเรื่องว่า

"แบกแมงอยู่หนาย"

 

โดย: ก๋าคุง (กะว่าก๋า ) 8 พฤศจิกายน 2551 16:41:32 น.  

 

เรียกป๋มว่าลุงเฉยเลยอ่ะ

หวัดดีวันจันทร์ก๊าบป๋ม (แอ๊บแบ๊วสุด ๆ ผมยังเด็กอยู่เยย เพิ่งทำบัตรประชาชน)

 

โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง 10 พฤศจิกายน 2551 11:05:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


renton-renton
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photobucket.Just wait until night then switch the light off
DeUsynlige (2008) Erik Poppe : : หนึ่งเป็นผู้ทำลาย หนึ่งเป็นฝ่ายสูญเสีย เวลาผ่านต่างฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากัน ~ ถึงพล็อตจะสามัญแบบนี้แต่หนังวางสถานการณ์ที่แสดงและเหตุการณ์ที่ซ่อนอยู่ได้หมาะกันดีมาก การถ่ายโอนตัวละครจุดศูนย์กลางของเรื่องจากคนหนึ่งไปคนหนึ่งก็ไหลลื่น เรื่องราวที่บรรจุความกดดันต่อสู้กับตัวเองของตัวละครก็เข้มข้น และ "โอกาส" เป็นสิ่งที่หนังขอให้เราเห็นเป็นสำคัญเพราะที่สุดแล้วเราจะเห็นว่าฝ่ายที่เคยสูญเสียกลับด้านมาเป็นผู้ทำลายบ้าง ทั้งหมดเป็นความละเอียดในอารมณ์ของผกก.ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมจริงๆ
Adventureland (2009) Greg Mottola : : เด็กหนุ่มพรหมจรรย์และเด็กสาวเมียเก็บนายช่างของสวนสนุกเกิดลังเลในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ครั้นจะจูนกันติดกลับมีเรื่องให้เข้าใจผิดกันซะงั้น ~ ปั๊ปปี้เลิฟสนุกๆ ประสาวัยรุ่นวัยเรียน ฉากหลังเป็นยุค 80 ที่มีกัญชาเป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ เพลงดิสโก้ ฟังก์ พั้งค์ จากยุคนั้นก็อัดกันขนกันมาเพียบ เพลิน และมองว่า คริสเตน สจ๊วต นั้นดูทื่อมะลื่อไงไม่รู้
Mutum (2007) Sandra Kogut : : เด็กชายคนหนึ่งแถบบ้านนาของบราซิล ต้องเผชิญกับความดุดันของพ่อ สนิทกับอาแต่เหมือนเขาจะมาจีบแม่ ถูกเพื่อนวัยเดียวกันเหน็บแนมและที่สำคัญคือสูญเสียเพื่อนรักที่สุดในชีวิต ~ อะไรจะแกร่งเกินนี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าหนูไม่ได้อยู่ในร่างของคนมองโลกในแง่ดี หากแต่ให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความเข้าใจและมองถึงสิ่งที่ตนต้องทำ ... ชอบเรื่องที่แทรกอยู่เล็กๆ อย่างความผิดปกติทางสายตา (สายตาสั้น) เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในชนบทซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะเห็นความแตกต่างก็ต่อเมื่อได้ลองสวมแว่นตาเท่านั้น
Dalkomhan insaeng (2005) Ji-woon Kim : : มือขวาของเจ้าพ่อฝีมือสุดเนี้ยบทำการใดไม่เคยล้มเหลว ตีรันฟันแทงเตะต่อยขอให้บอก แต่จะมาตายเอาก็เพราะริอาจมีใจให้ “เด็ก” ของเจ้าพ่อ ~ หนังแก็งส์เตอร์ของพี่ๆ เกาหลีเขาต้องบอกว่าออกแบบท่าทางกันมาดี ดูแล้วเพลิน นึกถึง Transpotter ที่ เจสัน สเตแธม ในชุดสูทหรูระยับแต่ยกแข้งขาถีบยันได้ดีเอาเรื่อง ทรยศหักหลังยังเป็นชนวนหลักที่สร้างสีสันให้กับหนังแนวนี้ สนุกดีแม้จะชวนสับสนนิดหน่อยว่าใครอยู่ฝ่ายไหนลูกน้องใคร (ก็หน้าตาเขาคล้ายกันน่ะ)
Noise (2007) Matthew Saville : : หนังมีส่วนผสมของความเป็นหนังเขย่าขวัญอยู่เพียงส่วนหนึ่งทั้งๆ ที่มีเหตุสะเทือนขวัญรุนแรง แต่... อ่านต่อ ที่นี่
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
3 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add renton-renton's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.