|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
นิทาน - ตัวยุ่งกับถุงวิเศษ 4 (ชายพเนจร 2)
ชายผู้หนึ่งซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นคนแข็งกระด้างทางความรู้สึก มีจิตใจของนักบู๊อยู่เต็มหัวอก แม้จะไม่เคยใช้มันไปทำร้ายใครก็ตาม แต่มาบัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับจางหายไปจากจิตใจของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ท่าทางการนั่งบำเพ็ญพรตที่สงบสำรวมไม่วิตกสิ่งใด ไม่กังวลห่วงหาเรื่องราวอันใดในโลกเลยแม้แต่นิดเดียว เขามีความรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามอีกแล้ว เขาพบแล้ว ถ้าเป็นเส้นทางนี้เขาไม่จำเป็นต้องแบกรับศักดิ์ศรีใด ๆ เลย มีอิสระ พ้นพันธนาการของจิตใจที่เคยเดือดพล่านรุมเร้ากระตุ้นใจให้เคลื่อนไหวอยู่เสมอ
ด้วยเพราะเหมือนได้เจอสิ่งที่เขาแสวงหามาตลอดทั้งชีวิต เขาจึงบำเพ็ญพรตได้เหมือนไม่เคยมีอดีต ไม่เคยมีคนรู้จัก เหมือนเพิ่งได้เกิดใหม่ในวันนี้ ความทุ่มเทที่มีให้กับเส้นทางนี้จึงทำให้เขาบำเพ็ญพรตได้ผลดีอย่างเกินคาด
ผู้ที่เข้าร่วมบำเพ็ญพรตทั้งหมด ก็ล้วนแล้วแต่เคยเป็นนักสู้กันมาก่อนทั้งนั้น เมื่อแรกที่มาอยู่ร่วมกัน ต่างคนก็ต่างพูดคุยโอ้อวดทับถมกันต่าง ๆ นานา ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจไม่อยู่กับการบำเพ็ญพรต จนบางคนที่หักหาญสายเลือดนักบู๊เอาไว้ไม่ได้ ต้องเลิกไปกลางคันก็มี แต่กระนั้นเมื่อการบำเพ็ญพรตสิ้นสุดลง เขาเหล่านั้นทั้งหมดก็มีอาการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยอย่างเห็นได้ชัด
ในวันที่ทุกคนต้องตัดสินใจ เกือบทั้งหมดที่ยังคงรู้สึกว่าตนเองเป็นนักสู้อยู่แม้จะไม่อยากไปฟาดฟันกับใครแล้วก็ตาม คงมีอยู่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่คิดว่าตนเองไม่อยากกลับไปเป็นนักสู้อีกเด็ดขาด ซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้ ก็มีชายพเนจรผู้นั้นรวมอยู่ด้วย
คำถามยังคงมีแก่ชายพเนจรอย่างไม่สิ้นสุด เพราะความสับสนกับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิต
เราจะเหมาะกับชีวิตอย่างนี้ไหมนะ คนในสำนักเขาจะยินดีต้อนรับเราไหมนะ เพราะชั่วชีวิตเราก็เพิ่งได้บำเพ็ญพรตมาเพียงชั่วระยะเวลาแค่นี้เอง สถานที่นี้อาจจะดีเกินไปสำหรับเรา
แต่ความกังวลของชายพเนจรคงได้คิดอยู่แต่ในใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะคนในสำนักล้วนมีใจยินดีที่จะรับคนเข้าสำนักอย่างไม่จำกัด แม้ว่าเขาจะได้โอกาสอันดีที่มีคนหยิบยื่นให้ แต่ในใจเขาก็ยังต้องคอยหาเหตุผลที่เหมาะสมตลอดเวลา เพื่อมาอ้างกับผู้คนว่าทำไมนักสู้อย่างเขาจึงต้องเลือกเดินทางสายนี้
รวดเร็วและไม่คาดคิด ตลอดเวลาที่ชายพเนจรอยู่ในสำนักแห่งนี้ เขาไม่เคยกังวลเรื่องสิ่งใดเลย นอกจากตั้งใจศึกษาและทำประโยชน์ให้กับสำนักด้วยความรู้คุณอย่างเต็มที่ จนเขาได้รับเลือกให้เป็นถึงรองเจ้าสำนัก
แม้ว่าเขาจะไม่เคยต้องการ แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้รับ ที่จะทำให้เขาได้ทำประโยชน์แก่สำนักได้อย่างเต็มที่มากขึ้น นอกไปเสียจากการเสียความรู้สึกไปพอสมควรกับพฤติกรรมของคนในสำนัก ที่ยังคงมีการแก่งแย่งตำแหน่งกันด้วยกลวิธีมากมาย ไม่แตกต่างไปจากสำนักอื่น ๆ ในโลก ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้รับรู้ว่า เขาจะได้เป็นผู้ดูแลหอคัมภีร์แล้วมาถามความสมัครใจจากเขา เขารู้สึกตื่นเต้นและอยากทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดและรู้สึกว่าเป็นงานที่เขาพอทำได้ แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อได้รับทราบอีกว่า เขาจะต้องไปเป็นเลขาธิการเจ้าสำนัก โดยที่คราวนี้ไม่มีใครมาถามความสมัครใจจากเขา และยิ่งแปลกใจและเสียความรู้สึกเข้าไปอีก เมื่อได้ทราบว่า เขาถูกเลือกให้เป็นรองเจ้าสำนักโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่มีโอกาสทราบ เพียงแต่เขาแอบรู้มาจากผู้มีอำนาจในสำนักที่สนิทสนมกันเท่านั้นเอง แต่ตำแหน่งนี้มาพร้อมกับคำครหามากมาย เขาถูกคนในสำนักเพ่งเล็งและนินทาทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้เห็นอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขายังคงคิดว่า ต้องการทำประโยชน์ให้สำนักเท่านั้น ขอแค่ให้เขาได้อยู่ในสำนักแห่งนี้ จะให้เขาเป็นอะไรก็ได้ ทำไมจึงต้องมีการจำกัดว่าผู้ที่จะทำประโยชน์ให้สำนักได้เต็มที่นั้น จะต้องมีตำแหน่ง
เมื่อเขาไม่เข้าใจ จิตใจจึงสับสนตลอดเวลาและนานวันก็ค่อย ๆ เพิ่มพูนความสับสนมากขึ้น อีกทั้งเขาคงยังไม่รู้ตัวว่าสายเลือดนักสู้ของเขามันยังไม่สงบราบคาบไปทั้งหมด มันคอยวันเวลาที่จิตใจของเขาอ่อนแอลงเพื่อกลับมาเล่นงานเขาเท่านั้นเอง อีกทั้งสายเลือดนักสู้ของคนในสำนักทั้งหมดก็เช่นเดียวกัน ที่มาคอยกระตุ้นสายเลือดของเขาให้กลับฟื้นคืนขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย ด้วยความที่เขามั่นใจว่าคนในสำนักนี้ทิ้งความเป็นนักสู้กันไปหมดแล้ว แต่ความจริงเป็นสิ่งที่น่าตกใจ ผู้คนในสำนักนี้ส่วนใหญ่ยังไม่เลิกคิดที่จะเป็นนักสู้ด้วยซ้ำ เพียงแต่สนใจความแปลกใหม่ของสำนัก สนใจคนในสำนัก ฯลฯ อีกมากมายหลายเหตุผล
แล้วฝันร้ายก็เกิดขึ้นกับเขา ในฐานะรองเจ้าสำนักผู้มีความเคารพในกฎของสำนักและตัวเจ้าสำนักอย่างมาก สิ่งที่ได้รับมอบหมายเขาจะไม่กล้าขัดขืนใด ๆ เลย แม้ว่าบางทีจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม เขาได้รับมอบหมายให้ไปหาปรมาจารย์ท่านหนึ่ง เพื่อขอร้องให้ท่านเขียนตำราขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีผู้ติดตามไปก็คือผู้ปกครองสำนักคนหนึ่ง ซึ่งมักจะไม่ถูกชะตากับเขาตลอดเวลา เพราะเคยเรียนอยู่ในสำนักการต่อสู้ที่เป็นอริกันมาก่อน แม้เขาจะคิดว่าสำหรับสำนักนี้คงไม่เป็นไร แต่มันก็ไม่เหมาะสม แต่ด้วยความที่อยากทำประโยชน์ให้สำนัก ในที่สุดจึงเชื่อในตัวเจ้าสำนักว่าคงเห็นอะไรที่เหมาะสมอยู่บ้างกระมัง เขาจึงยินดีทำตามในที่สุด
ระยะทางนั้นไกลโข จนเพียงพอที่จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้มากมาย ในระหว่างที่ไม่มีปรมาจารย์ในสำนักคอยอบรมตักเตือน นัยน์ตาดุกร้าว ความเป็นนักสู้ที่มากกว่า ของผู้ร่วมเดินทางที่เป็นปฏิปักษ์กันในวิชาการต่อสู้ ก็ไม่วายที่จะมีการเหน็บแนม ส่อเสียด ถกเถียงกันในวิชาต่อสู้เสมอ ๆ จนในที่สุดทั้งสองก็เกิดการประลองกันขึ้น
แม้การประลองครั้งแรก ๆ เขาจะออมมือมาโดยตลอด เพราะยังคงระมัดระวังสายเลือดนักสู้ของตัวเองอยู่เสมอ แต่อีกฝ่ายกลับปลดปล่อยสายเลือดนักสู้นั้นออกมาอย่างดุเดือดเลือดพล่าน จนในที่สุดเพื่อรักษาชีวิตไว้ เขาจำต้องปล่อยมันออกมาบ้าง มากขึ้น ๆ และมากขึ้น ผลการประลองบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย แต่ฝายที่เจ็บมากกว่าก็คงจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขานั่นเอง
สายเลือดนักสู้ที่เคยสงบ มาบัดนี้กลับท่วมท้นอยู่ในใจเขา และมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมก่อนที่เขาจะมาเข้าสำนักนี้เสียอีก แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ยังคงอยู่ในสำนัก เป็นที่ปรึกษาของสำนัก แต่เมื่อใดที่สายเลือดมันพลุ่งพล่านขึ้นมาระงับเอาไว้ไม่ได้ เขาก็ต้องไปท้าประลองอีก เขาเหมือนมนุษย์หมาป่าที่เห็นดวงจันทร์แล้วต้องแปลงร่าง แต่พอตอนกลางวันก็ต้องทำตัวเป็นคนธรรมดา จนมาวันหนึ่งเขาได้พบเห็นคน ๆ หนึ่งเดินผ่านมาในเมือง ท่าทางน่าเกรงขาม บ่งบอกถึงฝีมือที่น่าจะดีพอ เขาพยายามระงับเท่าไรก็ระงับสายเลือดนักสู้ในตัวเขาไว้ไม่ได้ และอยากประมือกับคน ๆ นี้ จนในที่สุด ก็ท้าประลองหลายครั้งเข้า คน ๆ นั้นจึงจำใจที่จะรับการประลองในที่สุด
ผิดคาด เริ่มการประลองไปเพียงไม่กี่วินาที นักสู้คนนั้นก็ถูกดาบของชายพเนจรปาดคอลงไปนอนตายอยู่กับพื้น ด้วยความที่ชายพเนจรไม่คิดที่จะออมมือเลย แต่เมื่อได้ยินคำสั่งเสียของคน ๆ นั้น เขาจึงได้รู้ว่าคน ๆ นี้เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีวิชาการต่อสู้อะไรเลย ไม่เคยคิดร้ายใคร คำสั่งเสียของเขาคือการขอร้องว่าอย่าได้ไปฆ่าใครอีก อย่าได้ไปคิดประลองกับใครอีก ชายพเนจรรับปาก พร้อมทั้งความรู้หดหู่ สับสน เสียใจ
ชายพเนจรรู้ดีอยู่แล้ว ว่าเขาไม่ควรไปประลองกับใคร ๆ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไร เขาก็ไม่สามารถระงับสายเลือดนักสู้ที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตัวนี้ได้ แม้ว่าตอนแรกเขายังคงไม่รู้สึกสำนึกเท่าไร แต่พอนานวันเข้าเขาก็หนีความจริงไปไม่พ้นที่เขาเคยฆ่าคน ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผู้บำเพ็ญพรต
เขาเริ่มกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งด้วยวิธีเดิม ๆ แต่เชื่องช้ากว่าเดิมมาก นั่นคือการทำความเข้าใจกับความเป็นคนที่แท้จริง การทำคุณประโยชน์ การหักห้ามสายเลือดนักสู้ การเพิ่มพูนสายเลือดนักพรต และการบำเพ็ญพรตเพื่อเข้าสู่ภาวะสูงสุด
เป็นความพยายามที่ลำบากกว่าทุกครั้งไม่เหมือนครั้งแรกที่เขาเคยทำ ทุกอย่างเป็นไปอย่างช้า ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ค่อนไปในทางตกต่ำ แต่ด้วยความที่ฝืนทนและยอมบากหน้าศึกษาวิชาจากปรมาจารย์ทั่วสารทิศ ซึ่งเขาได้รู้แล้วว่ามีอยู่มากมายแต่เหมือนโดนปิดบังไว้ทำให้เจอแต่วิชาการต่อสู้ แล้วในวันหนึ่ง เขาจึงคิดได้ว่า คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เขาไม่ต้องไปทำผิดแบบเดิมอีก
ดาบที่เขาเคยต้องพยายามทิ้ง มาบัดนี้เป็นการตวัดดาบครั้งสุดท้ายของเขา ด้วยวิชาดาบธรรมดาไม่สามารถทำได้ แต่การบำเพ็ญพรตกลับทำให้เขารู้วิธีใช้ดาบได้อย่างพิสดาร ด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว แขนของเขาทั้งสองข้างก็ขาดสะบั้นลง บัดนี้เขาเป็นผู้ที่ไม่ต้องจับดาบอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะยังอยากจับหรือไม่ก็ตาม
พร้อมกับการใช้แขนให้เป็นประโยชน์ในเรื่องอื่น ๆ ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้มามากมาย ก็จบลงตรงที่เดียวกัน หลงเหลือแต่ความรู้และประสบการณ์ในวิชาการพรตต่าง ๆ ในใจเขาเท่านั้นเอง
ต่อตอน 5 ... //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=relax&month=09-2005&date=25&group=4&gblog=2
Create Date : 25 กันยายน 2548 |
Last Update : 18 มิถุนายน 2552 15:07:21 น. |
|
3 comments
|
Counter : 402 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ตะวันสีชมพู วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:2:39:45 น. |
|
|
|
โดย: ตะวันสีแดง IP: 58.8.94.12 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:17:22:01 น. |
|
|
|
โดย: ตะวันสีแดง IP: 58.8.94.12 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:17:22:02 น. |
|
|
|
|
|
|
|
สบายดีนะคะ