สายใยบาง ๆ ที่ไม่มีวันขาดจากกัน
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
8 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 

ของขวัญสุดพิเศษ (2)

ลืมไปว่ายังเล่าเรื่องของขวัญสุดพิเศษไม่จบจะข้ามปีอยู่แล้ว ขอต่อให้จบก่อนจะได้ของขวัญปีหน้าดีกว่า


วันรุ่งขึ้นพวกเราลุกขึ้นมาเตรียมตัวแต่เช้า แต่กว่าจะทยอยเข้า ๆ ออก ๆ จากห้องน้ำเสร็จได้ออกจริงก็เกือบ 8 โมงแล้ว ^ ^ โบกมือบ๊ายบายนีโม ที่มุดรั้วออกมายืนหน้าเศร้าทำตาละห้อย เพราะถูกทิ้งให้อยู่บ้านตัวเดียววันนี้พาไปด้วยไม่ได้ รถเต็มนะจ๊ะ วันนี้เอารถกะบะของคุณเขาออก เพราะคนขับเขาทางคุ้นรถ ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ คนที่นั่งหงิกที่แคปสามคน มันเมื๊อยเมื่อย


ออกเดินทางกันเล้ย ไปทางสี่แยกปฐมพร พอถึงสี่แยกปฐมพรแล้วตรงไปเรื่อย ๆ พอเริ่มเข้ากระบุรี ก็เริ่มเห็นเมฆฝนครึ้มมาเลย ผิดกับทางฝั่งชุมพรฟ้ายังสว่างโร่อยู่ คาดว่าวันนี้คงเที่ยวท่ามกลางสายฝนแน่ ๆ แต่จะมาเจอกันเมื่อไหร่ ...เส้นทางชุมพร-ระนอง เป็นเส้นที่ทางโค้งเยอะมาก ๆ เพราะเหมือนเป็นถนนที่ตัดเข้าไปในหุบเขา เส้นทางโค้งขึ้นเนินลงเนินตลอดทาง ไม่น่ากลัว แต่น่ามึน ใครที่เมารถเตรียมกินยามาก่อนได้เลย


จุดแรกที่แวะกัน “หมู่บ้านซาลาเปาทับหลี” เขาตั้งชื่อหมู่บ้านแบบนี้จริง ๆ เพราะที่นี่เป็นแหล่งทำซาลาเปาที่ขึ้นชื่อ แป้งนุ่ม ๆ ไส้หอม ๆ อร่อยมาก พูดถึงแล้วอยากกินอีกวุ้ย ซาลาเปาทับหลีจะมีร้านที่เป็นต้นตำรับอยู่ชื่อว่า “ฮั่นหยกหย่วน” ว่ากันว่าทำขายกันมาจนถึงรุ่นที่ 3 แล้ว แต่วันนั้นไปก็ไม่ได้ซื้อร้านนี้หรอกค่ะเพราะพอเห็นป้ายหมู่บ้านซาลาเปา พวกเราก็มัวแต่งุงิกันว่าตั้งชื่อน่ารักจริง ๆ พร้อม ๆ กับเห็นแนวร้านค้าด้านหน้าก็ชะลอรถเตรียมไว้ กำลังนึก ๆ อยู่ว่าร้านที่เขาว่าเป็นต้นตำรับมันชื่ออะไรหว่า จะได้บอกให้คนในรถช่วยกันดู แต่ก็มัวแต่นึกเพราะชื่อร้านจำยากซะขนาดนั้น แล้วพอพ้นแนวต้นไม้ข้างทางปั๊บ กำลังชะเง้อเลย ป้านสีน้ำเงินเล็ก ๆ ก็ผ่านสายตาด้านซ้ายไป เอ๊ะชื่อคุ้น ๆ ... ^ ^


“ตัวเอง รู้สึกว่าจะเลยร้านต้นตำรับมาละล่ะ” บอกด้วยน้ำเสียงกระมิดกระเมี้ยนมาก


คนขับก็แตะเบรครถทันที “อ้าว แล้วเอาไงอ่ะเลยมาเยอะยัง” อุตส่าห์ถามเนอะ


“ก็ผ่านแว๊บไปเมื่อกี้อ่ะ จอดเลยแล้วกัน” จอดดีกว่าค่ะ ไม่งั้นจะอดกินกันหมด


แต่ด้วยความพี่พวกเราเป็นพวกที่ เมื่อเดินหน้าแล้วจะไม่ถอยหลังเด็ดขาด(แถวบ้านคนอื่นอาจเรียกว่า”ขี้เกียจ”) ดังนั้นเราก็ซื้อมันร้านที่จอดรถนั่นแหละ 555+... อันที่จริงมีความเชื่อ(กันเอง)ว่า พวกขนมที่ว่าเป็นของขึ้นชื่อเนี่ย มันต้องมีลักษณะร่วมที่ถือว่าเป็นพิเศษอยู่แล้ว อย่างซาลาเปาที่นี่ ก็อย่างที่บอกคือเด่นเรื่องแป้งนุ่ม ๆ และไส้ต้นตำรับดั้งเดิมคือไส้หมู เขาจะผัดไส้ได้หอม รสชาติกลมกล่อม แถมยังมีไข่อยู่ทุกลูกด้วย แต่ละร้านอาจจะต่างกันที่สูตรไส้ว่าใส่อะไรให้หอมอร่อยกว่ากัน เดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลายไส้ค่ะ ไส้หมูสับ หมูแดง ไส้ครีม ไส้ถั่ว ไส้ถั่วดำ ฯลฯ ราคาลูกละ 5 บาทค่ะ ไม่ใหญ่มากกัดสัก 2-3 คำก็หมด


เจ้าที่ซื้อก็รสชาติใช้ได้นะ สำหรับพวกที่ไม่ค่อยพิถีพิถันในการชิมเท่าไหร่ คงไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่างละมั้ง คนที่กินประจำเขาจะว่าร้านต้นตำรับไส้จะอร่อย อันนี้ไม่รู้ว่ายังไงเหมือนกันค่ะ แต่ซื้อขึ้นมาลูกทัวร์ก็ถูกอกถูกใจกันดี แถว ๆ นี้สองข้างทาง ขายซาลาเปาทั้งนั้นแหละค่ะ รักชอบร้านไหน ก็จอดชะลอซื้อกันได้เลย ไม่รับรองว่าอร่อยทุกร้านรึเปล่านะ เพราะไม่ได้ชิม แต่มีขายอยู่สักช่วงแค่ 200 เมตรได้มั้ง จะซื้อก็รีบตัดสินใจ ไม่งั้นก็ขับเลยไปแล้วจะอด อาจจะไปเจอทื่อื่นอีก ที่เป็นซาลาเปาทับหลี แต่มันก็ไม่ได้บรรยากาศในการซื้อของถึงถิ่นไง


ออกจากหมู่บ้านซาลาเปา ก็ไปจอดกันที่”คอคอดกระ” แต่ว่า แหะ ๆ ขับเลยป้ายที่เป็นสัญลักษณ์ ที่อยู่ริมถนนไปเหมือนกัน เลยเลี้ยวลงไปข้างล่างแทน ...เอิ๊กกกก นี่มันทัวร์ขี้เกียจหรือไงกันนี่ อันที่จริงไม่ใช่นะคะ อย่าลืมว่าทัวร์นี้มีแม่ย่านางอายุ 70 ปีไปด้วย จะให้จอดแล้วมาเดินขึ้นเดินลงไกล ๆ ก็ย่อมไม่ดี เพราะฉะนั้นจอดตรงไหน ก็จงเที่ยวตรงนั้น You Know??... 555+


ก็เลยถือโอกาสจอดพักรถ พักคน เข้าห้องน้ำ กินขนมจีบที่ซื้อมาพร้อมกับซาลาเปาเมื่อกี้แหละค่ะ ขนมจีบนี่ไม่ค่อยผ่านนะ แต่สำหรับคนอื่นอาจจะชอบก็ได้ ที่จริงตรงหลังห้องน้ำจะมีบันไดทางขึ้น สามารถเดินขึ้นไปถ่ายรูปกับป้ายสัญลักษณ์ได้ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นไปกันอยู่ดี เดินเล่น ถ่ายรูปกันอยู่ข้างล่างนั่นแหละ พอเรียบร้อยกันแล้วก็เดินทางกันต่อ


เส้นทางช่วงนี้ทางโค้งเยอะจนน่าเวียนหัวมาก ๆ เส้นทางชุมพร-ระนองเนี่ย ใครหวังว่าจะเหยียบเป็นร้อย ปื้ดเดียวถึงเนี่ย ผิดหวังแน่ ๆ คงต้องเป็นคนชำนาญทางสักหน่อยถึงจะได้มั้ง เส้นทางจริง ๆ 100 กว่ากิโล แต่ใช้เวลาถ้าไม่แวะเลย ก็เกือบ 3 ชม.ได้ แต่สำหรับคนที่ไปเที่ยวก็ถือซะว่านั่งรถเที่ยวเพลิน ๆ แล้วกัน ^ ^


นั่งให้รถเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนคนไม่เมารถเกือบจะกลับใจมาเมารถอยู่ละ ก็มาถึงพอดี “น้ำตกปุญญบาล”น้ำตกนี้เป็นน้ำตกที่อยู่ริมถนนเลย อยู่ตรงช่วงทางโค้งพอดี ขับรถมาพอมึน ๆ ก็มาจอดพักรถชื่นชมน้ำตกกันพอเย็น ๆ ชื่นใจกันก่อนได้ แถวนี้มีที่จอดรถ ร้านอาหาร ห้องน้ำพร้อมสรรพ ก็เลยถือโอกาสพักที่นี่นานหน่อย ช่วงนี้หน้าฝนแล้วน้ำเลยเยอะเลยได้เห็นสายน้ำตกสวย ๆ ไหลลงมาจากหน้าผา พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ แรงน้ำที่ตกลงกระทบโขดหิน บวกกับลมที่พัดมาเฉื่อย ๆ ทำเอาละอองน้ำกระเด็นใส่กล้องน่าดูเหมือนกัน ต้องรีบถ่ายรีบเก็บ พอขึ้นรถก็ต้องเอาทิชชูซับเป็นการใหญ่เชียวค่ะ



น้ำตกที่นี่ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นน้ำตกเล็ก ๆ แต่ดูจากขนาดคนในรูปแล้วก็ใหญ่โตใช้ได้นะ ตรงช่วงกลาง ๆ ที่เป็นเหมือนขั้นบันไดนั่น เห็นเหมือนน้ำนิ่ง ๆ แต่ตอนเดินไปบนนั้นแทบจะยกขาไม่ได้เลย น้ำแรงน่าดูนี่แหละเขาบอกว่าอย่าดูถูกธรรมชาติ มีส่วนชื่นชมน้ำตกแค่ชั้นเดียวนี่แหละค่ะ แต่มีทางเดินทางซ้ายให้เข้าไปชื่นชมได้ใกล้ ๆ มีซุ้มเล็ก ๆ ไว้ให้นั่งพักได้ ปิกนิคได้ พวกเราก็เลยนั่งพักกินซาลาเปาไปชมน้ำตกไปจนของกินหมด ก็ไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเรียบร้อย พร้อมที่จะขึ้นไปให้รถเหวี่ยงอีกรอบกันแล้วค่ะ


ที่หมายต่อไปหลังจากขับรถโค้งไปมาบนถนน 2 เลนสักพัก ก็โผล่ออกมาเจอทาง 4 เลนโล่งหูโล่งตาขึ้นมาทีเดียว เข้าเขตตัวเมืองกันละ ขับเลียบทางซ้ายไปนิดหน่อยก็ถึงทางเลี้ยวซ้ายเข้า บ่อน้ำร้อน”รักษะวาริน” แถบนี้ตั้งแต่ทางเข้าเป็นต้นไปจะเห็นบริการพวกสปา บริการแช่น้ำแร่อยู่หลายร้าน รวมทั้งโรงแรมจันทร์สมธาราที่อยู่อีกด้านหนึ่งของทางเข้าด้วย ขับเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงบ่อน้ำร้อน มีวัดอยู่ทางด้านซ้ายของถนนจำไม่ได้ว่าชื่อวัดอะไร ที่วัดก็ยังมีบริการอาบน้ำแร่ด้วยเลย บ่อน้ำร้อนที่นี่แยกเป็นบ่อลูกสาว บ่อลูกชาย แล้วก็บ่อใหญ่สุดเป็นบ่อพ่อ เอ... บ่อแม่อยู่ไหนหว่า หรือว่าเราไม่เห็น


แถวนี้ปรับพื้นที่เสียสวยงามจนจำไม่ได้เลย จำได้ว่าแต่ก่อนมาก็ต้องมาหย่อนไข่ลงไปต้มตามธรรมเนียม แต่มาคราวนี้ไม่มีใครมาขายไข่ สงสัยคนน้อย ๆ แต่มีมุมให้นั่งแช่เท้าแทน อันที่จริงจะเรียกว่าแช่ก็ไม่ได้หรอกนะ เพราะน้ำร้อนมากกกกก ได้แต่วักน้ำขึ้นมาราด ๆ เท้าแค่นั้น แต่นั่นก็ช่วยให้รู้สึกสบายเท้า และก็ผ่อนคลายขึ้นมาเยอะทีเดียว วักน้ำร้อนราดเท้ากันสักพักก็เท้าแดงเป็นผู้ดีกันทุกคนเลย ;p



จุดที่นั่งแช่เท้าอยุ่ใกล้กับบ่อพ่อ ด้านหลังเป็นแม่น้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา ถ่ายรูปจากตรงนี้วิวกำลังดีเลย ช่วงนี้ฝนตกเยอะด้วย น้ำในแม่น้ำเลยค่อนข้างเยอะ แล้วก็เป็นสีแดงอย่างที่เห็น น่ากลัวดีเหมือนกันอารมณ์เหมือนเดี๋ยวน้ำป่าจะไหลมาอะไรอย่างนั้น ..... และแล้วความสุขก็อยู่กับเราได้ไม่นาน ฝนที่เราระแวงกันอยู่ว่าจะเจอกันตอนไหน ก็เริ่มลงเม็ดมาพอดีก็เลยต้องอพยพขึ้นรถ พอขึ้นกันครบปุ๊ปฝนก็ลงมาโครมใหญ่ แล้วก็ตกต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้น -*-


หลังจากนี้ก็เป็นช่วงขับรถเที่ยวค่ะ ขับวนเข้าไปในเมืองกะว่าจะไปหาอะไรกินกัน เพราะตอนนั้นก็ช่วงบ่ายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ที่นั่งกิน คือจริง ๆ ไม่รู้จักที่ด้วยแหละ พอเจอที่ก็จอดรถไม่ได้ก็เลยเลยตามเลย ขับไปขับมาทะลุออกมานอกเมืองซะอย่างนั้น ผ่านสุสานเจ้าเมืองระนอง ก็จอดแวะถ่ายรูป”จากในรถ” ก็ฝนมันตกอยู่นี่นะ จากนั้นก็ไปเที่ยวท่าเรือที่จะข้ามไปเกาะสองของฝั่งพม่า แถวนี้มีให้บริการอยู่ 2 หรือ 3 เจ้าไม่แน่ใจ ตอนแรกว่าจะลองข้ามไปดูเหมือนกันเพราะเห็นว่ามี Duty free ฝั่งโน้นด้วย แล้วก็ไม่ได้มีพิธีการยุ่งยากอะไรแค่ทำบัตรผ่านแดนแล้วก็ซื้อตั๋วลงเรือ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าพอกลับมาก็ต้องเสียภาษีที่เมืองไทยอยู่ดี นอกจากคนที่มีพาสปอร์ตที่จะหิ้วพวกเหล้าเข้ามาได้คนละ 1 ชิ้นเท่านั้น ก็อืมมมม ไม่ไปดีกว่า...


หมดมุกเที่ยวระนองแล้วค่ะ เดินทางกลับกันดีกว่า ตอนแรกตั้งใจว่าระหว่างทาง จะแวะภูเขาหญ้า กับน้ำตกหงาว แต่ว่าฝนตกตลอดแบบนี้ ก็ขับผ่านเฉย ๆ แล้วกันนะ มันต้องเป็นทางผ่านอยู่แล้ว แล้วจากถนนก็สามารถเห็นทั้งภูเขาหญ้า และน้ำตกหงาวได้ชัดเจน เพียงแต่ไม่ได้เข้าไปใกล้ ๆ แค่นั้นเอง เราตั้งใจจะกลับทางหลังสวนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับย้อนกลับเส้นทางเดิม ดังนั้นก็เลยต้องขับต่อไปทางกะเปอร์ แต่ไม่ต้องเลยไปนะคะ พอถึงทางแยกไป อ.พะโต๊ะ ก็เลี้ยวซ้ายได้เลย อ้อ... ก่อนจะเข้าแยกซ้าย พวกเราแวะกินข้าวแกงกันก่อนด้วยความหิว(มากกก) ถือโอกาสยืดเส้นยืดสายกันด้วย แล้วก็เอ่อ ที่นี่ฝนไม่ตกสักกะแอะ –“-


...มาดูราคาอาหารซะก่อน ข้าวราดแกง จานละ 25 บาท แกงส้มถ้วยละ 25 บาท ขนมถ้วยถ้วยละ 3 บาท ฟรีน้ำเปล่า และน้ำพริกกะปิพร้อมผักจิ้มไม่อั้น เบ็ดเสร็จ 165 บาท โอ้วววว คิดถึงราคามื้อเย็นเมื่อวานจริง ๆ เล้ย


อำเภอพะโต๊ะ อยู่ในเขตจังหวัดชุมพร มีกิจกรรมท่องเที่ยวขึ้นชื่อคือล่องแพไม้ไผ่ หรือท่อแอสรอน ไปตามลำน้ำพะโต๊ะ ชมทิวทัศน์สองข้างทาง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนแรกก็ว่าจะแวะกันค่ะ แต่ดูเวลาแล้ว ตอนนั้นบ่ายสองโมงกว่า เกรงว่าจะเพลียกันเกินไป เพราะแต่ละคนเริ่มง่วงหงาวกันแล้ว โดยเฉพาะเรานี่แหละที่สำคัญเรามีแม่ย่านางด้วยนะ จะให้ไปล่องแพเชียวรึ อ้างเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ แล้วก็ตกลงผลัดไปคราวหน้าก็แล้วกัน ค่อยมาล่องกัน 2 ต่อ 2 นะคุณ ^ ^ ...


ที่เที่ยวอีกที่ของอำเภอพะโต๊ะคือ “น้ำตกเหวโหลม” ว่ากันว่าเป็นน้ำตกที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก จากป้ายข้างทางเห็นว่าระยะทางแค่ 6 กิโล แหมก็ขับรถเลี้ยวเข้าไปทันที แต่ว่ายิ่งเข้าก็เหมือนยิ่งเปลี่ยว เส้นทางเหมือนไม่ค่อยมีคนใช้แฮะ ขับไปจนสุดทางเห็นลำธารน้ำอยู่ทางซ้ายมือ มีป้ายปักอยู่ว่า น้ำตกเหวโหลม 200 ม. แสดงว่ามันต้องเดินเท้าเข้าไปอีก นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จากจุดที่จอดรถอยู่นี่ไม่มีอาคารเจ้าหน้าที่ หรือมนุษย์อื่นใดนอกจากไอ้ที่อยู่ในรถเนี่ย แล้วทางที่คาดว่าเป็นทางเดินเข้าก็ดูจะรกเกินไปหน่อย ถ้าเข้าไปแล้วหายไปเนี่ย จะมีใครไปตามไม๊ล่ะนั่น หันหลังกลับกันดีกว่า สรุปแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีทางเข้าทางอื่นอีกหรือเปล่า แต่ถ้ามีที่นี่ที่เดียวจริง ๆ ล่ะก็ เอ่อ... จะขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทำไมล่ะคะ ช่วยมาดูแลหน่อยเหอะ (บอกใครล่ะเนี่ยเรา...)


เดินทางกันต่อดีกว่า ไปถึงหลังสวน ไปแวะตลาดอวยชัยกันค่ะ ที่นี่เป็นตลาดขายส่งผลไม้แต่ก็มีขายปลีกด้วยเหมือนกัน ถามไถ่ราคาไป ๆ มา ๆ ไม่ได้ถูกเท่าไหร่เลย ออกจะแพงกว่าตลาดนัดแถวบ้านซะอีก ก็เลยขึ้นรถหนีดีกว่า เรามาแวะกันอีกทีที่นี่ค่ะ “สวนนายดำ” จะบอกให้ว่าอันที่จริงแล้วคนในรถปวดฉี่กันน่าดู กะว่าจะหาปั๊มแวะซะหน่อย แต่พอดีเห็นป้ายโฆษณาว่าสวนนายดำ ซึ่งเป็นสวนส้มโชกุนที่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แบบสวนเกษตรด้วยเนี่ย เขาชนะเลิศส้วมแห่งปีทีเดียวนะ อ๊ะ!! ...อย่าช้าเลย เราแวะเข้าไปดูส้วมซะหน่อยดีกว่า ^ ^


แต่พอเข้ามาแล้ว โอ... เขาจัดพื้นทีโซนต้อนรับได้น่ารักมาก ทำเป็นสวนหย่อมประดับด้วยตุ๊กตาดินเผารูปเด็กในอิริยาบทต่าง ๆ ตรงเข้าไปเป็นต้นไทร มีชิงช้าห้อยอยู่ให้นั่งแกว่งเล่น แล้วก็ทำเป็นเหมือนบ้านต้นไม้หลังเล็ก ๆ ให้เด็ก ๆ พอได้ป่ายปีนเล่น ทางด้านซ้ายมือเป็นร้านอาหาร เป็นอาคารไม้จัดโซนไว้ร่มรื่นน่าเข้าไปนั่งมาก ด้านหน้าของร้านอาหารก็ทำเป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ มีตุ๊กตาประดับ แล้วก็ต้นไม้สวย ๆ ถึงไม่ได้เข้าไปแค่ยืนชื่นชมก็อิ่มในอารมณ์แล้วค่ะ ด้านขวามือมีร้านกาแฟเล็ก ๆ เลยไปหน่อยเป็นโซนนั่งพัก และขายของฝากขนมขบเคี้ยว และที่ขาดไม่ได้ก็ต้องเป็น”ส้มโชกุน” ของทางสวนนายดำเองค่ะ ถ้าใครเคยได้กินส้มโชกุน ก็คงติดใจรสชาติหวานอร่อยนุ่มลิ้น ว่ากันว่าสวนนายดำนี่แหละเป็นเจ้าแรก ๆ ที่เพาะพันธุ์ส้มโชกุนที่ว่า ผิดถูกยังไงไม่แน่ใจนะคะ ---


อ้าว แล้วส้วมล่ะคะส้วม ได้ข่าวว่าจะเข้ามาฉี่ -*- ไม่เห็นใช่ไม๊คะ อยู่ด้านหน้าแบบนี้มองไม่เห็นว่าส้วมอยู่ตรงไหน เดินสุ่มเข้าไปข้างในเลยค่ะ ยิ่งเดินลึกเข้าไปบรรยากาศการตกแต่งก็ยิ่งร่มรื่น เดินผ่านอาคารที่เขาทำเหมือนหอคอย ไว้ให้ขึ้นไปนั่งเล่น ส่องโน่นส่องนี่ ผ่านจุดโชว์เครื่องมือ และเทคนิคต่าง ๆ ไปสักพักก็จะเห็นป้ายชี้ไปห้องน้ำ เดินต่อไปอีกหน่อย โห... คนเพียบเลยค่ะ ไม่ได้มาเข้าคิวฉี่แต่อย่างไร แต่เหมือนมาเที่ยวห้องน้ำ เขาจัดพื้นที่ไว้น่ารักมาก มีแบ่งเป็นส้วมท่านชาย ส้วมท่านหญิง สองแบบนี้แบบธรรมดา แต่ข้างในตกแต่งสะอาดสะอ้าน มีอ่างน้ำลอยดอกไม้สีสรรสดใส มีห้องน้ำคนชรา และคนพิการ แถมมีห้องอาบน้ำ ที่เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กครบเชียวค่ะ



แล้วก็ยังมีส้วมรู ส้วมนี้เขาทำทางเข้าเล็ก ๆ ข้างในมีห้องน้ำไม่กี่ห้อง แต่ตกแต่งเก๋ไก๋แล้วที่มุมนึงก็มีบันไดแบบบันไดไม้ แต่ทำด้วยปูนพาดไว้ให้ไต่ขึ้นข้างบน จะรอทำไมล่ะคะไต่ขึ้นไปสิ พอโผล่ข้างบนปุ๊บหันกลับมามอง อ้าว นี่เราโผล่มาจากชักโครกนี่เอง 555+ ด้านบนนี่ก็มีชักโครกสองอันนะคะ อีกอันนึงโผล่มาจากส้วมรูของฝั่งผู้ชาย มีที่ให้นั่งเล่นถ่ายรูปน่ารัก ๆ ได้


สุดท้ายส้วมทาร์ซาน เป็นเหมือนบ้านต้นไม้แต่ที่จริงเป็นส้วม แหมมม ... ลำบากเนอะ ต้องไต่ขั้นไปปล่อยบนต้นไม้อ่ะ อันที่จริงเขามีบันไดให้ขึ้นค่ะ แน่นอนว่ามีส้วมทาร์ซาน ก็ต้องมีส้วมเจนอยู่คู่กันค่ะ ก็ถ่ายรูปมาเรียบร้อย ส้วมทาร์ซานประตูปิดอยู่นานเชียวค่ะ ยืนเวิ่นเว้ออยู่แถวนั้นพักใหญ่ ๆ ก็ไม่เห็นเปิดสักทีคาดว่าคงต้องประชุมใหญ่ในนั้นแน่ ๆ ใจนึกนินทาว่าต้องขึ้นไปขรี้ที่สูงเนอะ แต่มารู้ทีหลังว่า คนที่อยู่ในส้วมทาร์ซานนั้นก็คุณของอิชั้นเองเจ้าค่ะ ^ ^” ...


ส้วมพวกนี้เข้าฟรีนะคะ เขามีคนทำความสะอาดตลอดเวลาไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เลยค่ะ แล้วจากที่ตั้งใจว่าจะแวะเข้ามาฉี่อย่างเดียว กลายเป็นอยู่ที่นี่เกือบชั่วโมง แถมกลับออกไปพร้อมขนม ของฝากอีกเพียบ ไม่นับกาแฟที่นั่งกินเล่นเย็น ๆ ใจ เป็นการเข้ามาฉี่ที่เสียตังค์โดยไม่รู้ตัวเลย 555+... รู้งี้แวะปั๊มซะก็ดี จบการเดินทางของวันนี้ด้วยเย็นตาโฟร้อน ๆ ชามละ 25 บาท ที่ร้านในตัวเมือง รวมแล้วก็ 125 บาท ไม่คิดค่าน้ำแข็งเปล่า โอ้ววว สองมื้อถูกกว่ามื้อเย็นเมื่อวานอีก 55+... มันยังติดใจ


กลับถึงบ้านเกือบสองทุ่มอาบน้ำอาบท่าให้ข้าว แล้วกอดปลอบใจเจ้านีโม ที่ทิ้งไปทั้งวัน นั่งคุยกันตามประสาแม่ลูก และคนในครอบครัวสบายใจดีจัง บางทีก็ไปนอนหนุนตักอ้อนแม่หน่อยนึง เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำแบบนี้บ่อย ๆ ปีนึงจะได้กลับบ้าน 2-3 หน ไปที่บ้านแม่ก็มักจะช่วยน้าขายของ กว่าจะเสร็จก็ดึก ๆ ไม่ค่อยได้นั่งคุยสบาย ๆ แบบนี้ นาน ๆ ทีได้พาแม่เที่ยวแบบนี้ด้วย ถึงแม้แม่จะบ่นปวดเมื่อยที่ต้องนั่งรถนานแต่แววตาก็มีความสุข คุณเขาก็มีความสุข เพราะได้บริการแม่ไปด้วย เพราะพ่อกับแม่เขาก็ไม่อยู่แล้ว ไม่ได้พาคนแก่เที่ยวนานแล้วว่างั้นเถอะ น้องชายกับแฟนก็สนุกตามประสา ก็มากับแฟนนี่นะ อะไร ๆ ก็สนุกแหละ ^ ^


ไม่รู้จะพูดยังไงดี ของขวัญวันเกิดสุดพิเศษปีนี้ก็คงมีเท่านี้แหละค่ะ ของคุณหม่าม้าที่มาเซอร์ไพรส์แบบที่เกือบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ได้รู้สึกกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งทุกทีที่ได้อ้อน ได้แกล้ง เพราะรู้ว่ายังไงหม่าม้าก็ไม่มีวันโกรธ ถ้าหม่าม้าไม่มา วันเกิดปีนี้ก็คงผ่านไปแบบเงียบ ๆ ง่าย ๆ เหมือนทุกปี ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าไม่ว่าจะยังไงเราก็ยังรัก และเป็นห่วงกันเสมอ ถึงแม้ว่าตอนคุยกันจะมีเถียงกันบ้าง งุงิใส่บ้าง ขอบคุณที่เอาขนมปังมาฝากด้วย แต่ที่ชุมพรก็ไม่ได้กันดารน้า ^ ^ ... ขอบใจเบิ้ล กับปิ๊กที่ถือโอกาสโดดงานวันศุกร์(-“-) เพื่อขับรถพาของขวัญสุดพิเศษมาให้ แล้วทำให้รู้ว่าราคาแก๊สเติมรถยนต์ ที่ชุมพรถูกกว่ากรุงเทพฯ 555+..


เช้าวันที่ 21-6-52 รถ TOYOTA Corola สีฟ้าแป๋นแหร๋นก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ยืนโบกมือบ๊ายบายอยู่หน้าบ้านจนรถเลี้ยวลับปากซอยไป นีโมเดินตามดมตรงที่รถเพิ่งออกไปเมื่อสักครู่ ก่อนชะเง้อมองตาม แล้วก็สะบัดตัววิ่งกลับเข้าไปนอนอยู่กลางบ้าน ถอนหายใจยาวอย่างมีความสุข ... Smiley Smiley



Free TextEditor




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2552
0 comments
Last Update : 8 ธันวาคม 2552 22:18:51 น.
Counter : 981 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อาร์ทู
Location :
ชุมพร Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




blog ร้างมานานแสนนาน
แค่อยากปัดฝุ่นใหม่นิดหน่อย เลยไปหยิบเรื่องที่เขียนไว้อีกที่นึงมาใส่ไว้ เพื่อจะได้อัพไปพร้อม ๆ กัน
Follow @kamattika
Friends' blogs
[Add อาร์ทู's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.