กันยายน 2555

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
ฝรั่งเศส สะกิดจมูก

“พี่เอ พี่เอ ทางนี้ค่ะ” ฉันส่งเสียงเรียกพี่เอ ที่จะเป็นผู้ร่วมทริปไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยกัน นี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ไปเยือนฝรั่งเศส ประเทศที่มีสินค้าแบรนด์เนมดัง ๆ ที่รู้จักกันทั่วโลก โดยเฉพาะแบรนด์หลุยส์ วิกตองส์ ที่คนไทยเชื้อสายไฮโซแย่งชิงเพื่อเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เพื่อบ่งบอกความโก้หรู และนำสมัย สินค้าอย่างน้ำหอมก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน และถือเป็นสินค้าหลักที่นักท่องเที่ยว เมื่อมาเยือนฝรั่งเศสแล้ว ต้องมีถือกลับบ้านตัวเองไป เนื่องจากมีน้ำหอมหลากหลายสายพันธ์ที่ก่อกำเนิดจากที่นี่ ดินแดนแห่งนี้จึงได้สมญานามว่า เมืองน้ำหอม

ฉันจะได้มีโอกาสข้ามทะเล ไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้าน งงกันละสิ ประเทศฝรั่งเศสมาเป็นประเทศเพื่อนบ้านได้ยังไง เพื่อนบ้านเราก็มีแค่ลาวที่เป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส พม่าหรือเมียนมาร์ที่เป็นเมืองขึ้นอังกฤษ เวียดนาม เมืองขึ้นฝรั่งเศส หรือกัมพูชา เมืองขึ้นประเทศทักกี้ ฮา

ฉันไม่เถียง ถ้าหากประเทศที่ฉันอาศัยอยุ่ตอนนี้เป็นประเทศไทยไม่ใช่ประเทศอังกฤษ ฉันเป็นคนไทยนี่แหละ คนสยาม คนไทยที่จะหาสิทธิ์ใช้เสียงได้ก็แค่ตอนเลือกตั้ง เวลาอื่น เสียงของฉันหรือจะสู้เสียงผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในประเทศไทย บางคนตะโกนจนเสียงแหบ ยังไม่มีใครได้ยินเสียง บางคนส่งเสียงออกไป แทนที่จะเจ็บคอ กลายเป็นเจ็บตัวเพราะโดนทำร้าย

                แต่ตอนนี้ ฉันไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ฉันกำลังศึกษาต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ประเทศที่เป็นต้นแบบกฎหมายของพวกเราคนไทย กฎหมายที่ตอนนี้ มีคนหลายพวก หลายฝัก หลายฝ่าย ทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการเอากฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมาย คนไทยหลาย ๆ คนจึงต้องทุกข์ระทมกับความอัปยศอดสูในความยุติธรรมที่หาได้ยากซะเหลือเกินในเวลานี้

                อ้าว นี่ฉันกำลังดีใจจะไปเที่ยวฝรั่งเศส หรือฉันกำลังหงุดหงิดกับการเมืองบ้านเรากันนี่??!!

                        ......................................................................................................................

“ขอที่นั่งติดหน้าต่างค่ะ” ฉันรีบแจ้งความจำนงให้กับพนักงานสายการบิน  Airfrance ทันที ทุกครั้งที่เดินทางไปที่ไหนก็ตาม ฉันชอบนั่งติดหน้าต่าง เพราะการนั่งติดหน้าต่างทำให้เราได้เห็นวิวทิวทัศน์ในเวลาที่เครื่องกำลังจะเหินออกจากสนามบิน หรือเมื่อขณะร่อนลงสู่เมืองปลายทาง ได้ดูบรรยากาศสนามหญ้าเขียวขจี หลังคาบ้านหลากรูปแบบ ที่มีทั้งเก่าและใหม่ เห็นรถและคนตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ เวลาที่เรามองจากที่สูง ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูเล็กไปหมด แต่ฉันว่า ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรเล็กหรือใหญ่กว่าเรา ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่มุมมอง เราจะมองให้เล็กก็ได้ จะมองให้ใหญ่ก็ได้ อย่างตอนนี้ ฉันกำลังมองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องล่างนั้น ดูเล็กกะจิดริดไปหมด ทว่า คนที่มองจากข้างล่างขึ้นมาที่เครื่องบินที่ฉันนั่งอยู่ ก็คงคิดเช่นเดียวกันว่า เครื่องบินพอบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว มันลำเล็กนิดเดียวเอง เมื่อเทียบกับเมื่อมันจอดนิ่งสนิทอยู่ที่สนามบิน ดูสิ แค่มองต่างมุมเท่านั้น

 

ฉันได้ที่นั่งติดหน้าต่างอย่างที่ร้องขอ แต่พี่เอ ซึ่งเป็นหญิงสาวตัวสูง ขายาวเกินมาตรฐานคนไทย ขอนั่งติดทางเดิน เนื่องจาก พวกเราซื้อตั๋วมาในราคาประหยัด ซึ่งสายการบินก็ทำที่นั่งประหยัดราคาจริง ๆ คือประหยัดเนื้อที่ด้วย ที่นั่งแต่ละแถวอยู่ติดกันแทบจะเรียกได้ว่า แค่ฉันนั่งสัปหงก หัวฉันก็ชนพนักพิงผู้โดยสารคนหน้าแล้ว คงโชคดี ฉันมันคนตัวเล็ก ขาสั้นกะทัดรัดอย่างสาวไทย (แต่ขาฉันแตะถึงพื้นอยู่นะ ไม่ได้สั้นเป็นคนแคระขนาดนั้น) ฉันเลยไม่มีปัญหากับที่นั่งชั้นประหยัดสักเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่กับพี่เอ ที่แค่แกนั่งตัวตรง เข่าแกก็ชิดกับกระเป๋าหลังพนักพิงคนหน้า ด้วยความต้องการเราต่างกัน และเราไม่ใช่แฟนกัน จึงไม่จำเป็นต้องตัวติดกัน นั่งด้วยกันตลอดเวลา เราจึงนั่งแยกกันโดยความเต็มใจของเราทั้งสองฝ่าย

เนื่องจากที่นั่งมี 3 ที่ในแถวเรา พี่เอนั่งติดทางเดิน ฉันนั่งติดหน้าต่าง ดังนั้น ใครจะเป็นผู้โชคดี (หรือโชคร้าย) มานั่งคั่นกลางระหว่างเรา

“ขอโทษนะครับ” เสียงผู้ชายหน้าตาพอใช้ได้ ตัวใหญ่อย่างชาวยุโรป ขอโทษพี่เอ เพื่อแทรกตัวเข้ามานั่งในที่นั่งตรงกลางระหว่างฉันกับพี่เอ เขาเป็นชาวฝรั่งเศสแน่ ๆ คุณคงจะสงสัยละสิ ทำไมฉันถึงรู้ว่าเป็นชาวฝรั่งเศส ไม่ใช่เพราะสายการบินนี้เป็นสายการบินแห่งชาติฝรั่งเศสหรอกนะ แต่สำเนียงที่พูดออกมา แปร่ง และเหน่อ บ่งบอกว่าเป็นคนเมืองน้ำหอมอย่างชัดเจน  (ก็เหมือนที่เราได้ยินคนฝรั่งพูดไทยนั่นแหละ ต่อให้ชัดแค่ไหน สำเนียงก็บอกว่าไม่ใช่คนไทยแท้ แต่จะว่าไป วัยรุ่นไทย ก็พุดไทยไม่ชัดเยอะนะ กระแดะพูดไทย สำเนียงฝรั่ง น่าจับมาเข้าคอร์สอาจารย์แม่นัก)

 

ไม่นานหลังจากที่ล้อเครื่องบินถูกพับเก็บเข้าที่ เหล่านางฟ้าชาลีก็ออกมาร่ายรำ เอ๊ย มาเสิร์ฟอาหาร เนื่องจากการเดินทางจากเกาะอังกฤษไปเมืองปารีสใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเศษ ๆ อาหารว่างที่แจกจึงเป็นเพียงแซนวิชใส้ชีส ด้วยความที่เราเดินทางกันในตอนเช้าตรู่ ท้องฉันเลยยังไม่มีสิ่งใดตกลงไป ยกเว้นเพียงแค่น้ำเปล่าเท่านั้น ทั้ง ๆ  ฉันไม่ชอบกินชีส ฉันก็ไม่อาจปฎิเสธการเรียกร้องของน้ำย่อยในกระเพาะได้ ฉันจึงยื่นมือผ่านหน้าบักสีดาไปรับกล่องอาหารว่างจากแอร์โฮสเตสอย่างไม่รีรอ

ฉับพลัน ฉันได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์มากระทบจมูก กลิ่นเปรี้ยว เออ ฉันขอเรียกว่า กลิ่นสาป เลยดีกว่า ที่มันแสบเข้าไปในร่างกาย ผ่านรูจมูก ทะลุโพรงอากาศ ส่งไปถึงปอด เยื่อหุ้มปอดสั่นระริก เกิดการประท้วงถือป้ายตะโกนด่าว่า นี่แกส่งอะไรเข้ามาให้ฉันฟอกเนี่ย สิ่งนั้น มันได้ทำลายประสาทสัมผัสทางการรับกลิ่นของฉันในทันที

“มาจากเมืองน้ำหอมแน่นะแก...” ฉันแอบด่าในใจ พร้อมกับควักยาดม ยาลม ยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ(ที่พกมาจากเมืองไทย) ยัดเข้ารูจมูกอย่างรวดเร็วปานลมกรด ยูเซน โบลต์ นักวิ่งระยะสั้นที่เร็วที่สุดในโลก ยังแพ้ความเร็วที่ฉันป้ายยาหม่องเลย คิดดูละกัน

จากนั้น ฉันก็หันไปส่งสายตาเป็นคำถามให้กับพี่เอ ถ้ารับความรู้สึกเดียวกับฉันได้ ช่วยกรุณาส่งสัญญานมาให้ฉันรู้ทีนะ

(ได้กลิ่นเหมือนกันใช่ไหมพี่)

(เออ กลิ่นโคตรแรงเลย)

(แล้วตอนเขาขอทางพี่เข้ามานั่งข้างใน พี่ไม่ได้กลิ่นเหรอ)

(ได้สิ แต่ไม่รู้จะบอกแกยังไงอ่ะ ฝรั่งตัวอย่างใหญ่ บังแกหมด แถมแกก็มัวแต่ส่องออกไปนอกหน้าต่าง พี่เลยไม่รู้จะบอกยังไง)

เราใช้สายตาโต้ตอบกันไปมา แหม จะว่าไป ทั้งริว จิตสัมผัส หรือเจ้าแม่สแกนกรรมนี่ ชิดซ้ายเลยนะนั่น

หันกลับไปมองที่พี่เปรี้ยว ดูแกจะไม่อนาทรร้อนใจกับกลิ่นที่แกปล่อยออกมาให้สองสาวชาวเอเชียได้รับรู้บ้างเลย เจ้าตัวยังคงนั่งแทะเล็มแซนด์วิชแสนอร่อยต่อไป หรือแกไม่รู้ตัว??

 

ส่วนฉันน่ะเหรอ ไม่อยากจะเล่าถึงสภาพตอนนี้ ลักษณะการกินอาหารของฉันมันช่างดูเอน็จอนาจใจมาก มือขวาจับแซนด์วิช มือซ้ายจับเสื้อกันหนาว เอามาปิดจมูก แล้วเวลาจะกินที เหมือนคนกำลังแอบกินขนมในห้องเรียนยังไงยังงั้น เสื้อเลอะช่างมัน ตอนนี้ ฉันขอเอาชีวิตรอดจากการปล่อยกลิ่นนินจาเต่าของชายชาติฝรั่งเศสก่อนล่ะ ขนาดยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ ยังเอาไม่อยู่ (แต่ที่เอาอยู่แน่ ๆ ก็น้ำท่วมตามคุณปรอท และนายกฯ....ว๊าย เขียนเร็วตามใจคิดไปหน่อย) กลิ่นมันได้ใจจริง ๆ

 

แล้วที่นั่งติดหน้าต่างอย่างฉันตอนนี้ เหมือนถูกล๊อคอยู่ในกรงขัง ที่ไม่สามารถหนีออกไปไหนได้เลย มันทรมานสุดๆเลย คุณเอ๊ย!!!

แต่ละนาทีที่ผ่านไป มันช่างนานชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของฉัน  อยากร้องเพลงของลิเดีย “แค่วินาที ก็ช้าไป” แต่เกรงว่า ถ้าร้องออกมา กลิ่นที่เดิมมันสามารถเข้าสู่ร่างกายฉันได้ทางเดียว จะเป็นการเปิดโอกาสให้มันหาทางเข้าทางอื่นได้อีก ปิดทางเข้า-ออก ให้มันเหลือทางเดียวพอแล้วน่าจะดีกว่า

ส่วนพี่เอลอยตัว ก็แกนั่งติดทางเดิน แกก็แค่ยื่นจมูกแกออกไปยังช่องว่างทางอื่น แล้วอีกอย่างนะ แกสูงกว่า เลยสูดอากาศข้างบนได้ นี่แหละนา กรรมของคนตัวเล็ก รับแต่อากาศข้างล่าง นึกถึงเมื่อคราวขึ้นรถเมล์ในเมืองไทยยามรถติด คนอัดแน่นเป็นปลากระป๋อง คนร่างกะทัดรัดอย่างฉันไม่สามารถแทรกเข้าไปยืนใกล้หน้าต่าง หาช่องหายใจได้ ทุกคนในรถเมล์ที่เบียดเสียดกันอยู่ ต่างก็ยื่นแขนไปห้อยโหนกับราวเหล็กข้างบน ฉันเองก็ยื่นสุดแขน ตึงเปรี๊ยะ ไม่มีส่วนพับงอตรงข้อศอกให้ได้สังเกตเห็น หน้าฉันแทบจะติดกับแหล่งก๊าซธรรมชาติบนร่างกายของคนรอบข้าง ทรมานไม่น้อย  “เอ่อ อากาศข้างบนเป็นยังไงบ้างคะ”

ลงรถเมล์ได้เท่านั้นแหละ โอ้ สวรรค์ประทานพร!!..

 

ช่วงเวลาอันหฤโหด อย่างกับอยู่ในสนามรบท่ามกลางสงครามชีวภาพก็ผ่านพ้นไป เมื่อเครื่องบินแตะรันเวย์ ฉันดีใจมากที่สุด มากกว่าเมื่อตอนสอบเอนทรานซ์ติด มากกว่าเมื่อตอนได้โบนัสก้อนโตอีกแหน่ะ โล่งใจมากที่จมูกและปอดของฉันยังไม่ถูกทำลายจากมวลสารพลังเต่าที่พ่อหนุ่มคนนั้งส่งออกมา ทันทีที่หลุดออกมาพ้นเครื่องบินลำนั้น ฉันรีบวิ่งไปหาอากาศบริสุทธิ์เท่าที่จะหาได้อย่างไม่รอช้า แล้วสูดเข้าเต็มปอดฟอดใหญ่ ๆ เฮ้อ หลุดพ้นสักที!!

จะว่าไป ฉันก็เข้าใจคนฝรั่งเศสนะที่เขาจะมีกลิ่นตัว เพราะอากาศที่นี่ ในหน้าหนาว จะหนาวมาก (หน้าฝนก็เช่นเดียวกัน) น้ำเย็น จะเย็นจนเป็นน้ำแข็ง ถ้าคุณอยากรู้ว่าเย็นแค่ไหน ให้เอาน้ำแข็ง 10 ยูนิตไปแช่น้ำในถัง 5 ลิตร แล้วลองเอามือจุ่มลงไป ความเย็นที่สัมผัสมือ มันจะเย็นจนคุณแทบจะกระชากมือออกจากโถน้ำแข็งแทบไม่ไหว เพราะมือคุณชา เหมือนถูกชอลิ้วเฮียงจี้จุดสะกดให้อยู่นิ่ง นี่ยังไม่ได้พูดถึงการเอาน้ำมาแปรงฟัน ล้างหน้านะ เรื่องอาบน้ำนี่ ลืมไปได้เลย

เมื่ออากาศเย็น เหงื่อคุณก็ไม่มี เมื่อไม่มีเหงื่อ คนเราก็คิดว่ามันไม่สกปรกเพราะร่างกายเราจะแห้งตลอดเวลา แล้วใยต้องคิดถึงการอาบน้ำเล่า  แปรงฟันให้ก็ดีถมแล้ว

อ้อ แน่นอน ฉันอาบน้ำทุกวันเป็นปกติ แม้จะเกิดอาการร่างกายกระตุก (เป็นเต้นฮิปฮอป ตื้ด ตื้ด..) ยามสัมผัสน้ำเย็นก็ตาม ฉันคงชินกับการอาบน้ำ 2 ครั้งต่อวันสมัยอยู่เมืองไทย และจิตสั่งว่าร่างกายผ่านฝุ่นละออง หมอก ควันต่าง ๆ มาทั้งวัน ความสกปรกเกาะไปทั่ว จึงต้องล้างให้สะอาด แต่ก็ใช่ว่า ฉันจะไม่เคยทำตัวเกเร เบี้ยวไม่อาบน้ำ มี!! วันนั้น มันหนาวมากจนสุดขั้วหัวใจ ฉันจึงขอผลัดผ่อนไว้อาบน้ำวันรุ่งขึ้น ฉันเลื่อนวาระการอาบน้ำอยู่ได้ถึง 3 วัน!!! ซึ่งฉันว่านั่นก็นานเกินพอแล้ว แต่เพื่อนฉันยิ่งกว่า ก็พี่เอนั่นแหละ เธอสามารถไม่อาบน้ำได้นานถึง 7 วัน!!! 7 วัน!!! ย้ำ 7 วัน!!! และหล่อนปรุงแต่งกลิ่นตามร่างกายด้วยน้ำหอม!!!

น้ำหอม กับ กลิ่นตัว 2 อย่างตีกันให้คุณเลือกสูดดม คุณลองดึงลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ใช้ประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นเลือกกลิ่นที่คุณต้องการ กลิ่นที่มันไปแตะปลายจมูกคุณ อืม เป็นไง กลิ่นมันโคตร......... (กรุณาเติมคำลงในช่องว่างตามกลิ่นที่คุณได้รับตอนนี้) คุณเลือกกลิ่นได้ไหมคะ???

ไม่แปลกใจ ทำไมปฎิกิริยาตอบสนองต่อชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสบนเครื่องบินของพี่เอจึงน้อยกว่าฉันเยอะ!!

……………………………………………………………………………………………………………………………

การเยือนฝรั่งเศสของฉันทริปนี้ เริ่มต้นด้วยความประทับใจ จากการต้อนรับอันยิ่งใหญ่ จากใจ(กลิ่น)ชาว “เมืองน้ำหอม”ตัวจริง

ส่วนฉันตอนนี้ ขอไปรักษาหมอกับอาการโพรงจมูกอักเสบก่อนนะ เนื่องจาก..................

 

ฉันทายาหม่องมากเกินไป!! 

Smiley




Create Date : 27 กันยายน 2555
Last Update : 27 กันยายน 2555 20:29:01 น.
Counter : 1416 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

aunty_reedsi
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



คนโสด ไม่ขี้เหงา แต่เดี่ยวดาย
New Comments