Knot 3G อธิบายอีกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ blog เป็นอะไรที่ส่วนตัวมากกว่าก็คือ ความเป็นตัวของตัวเอง ถ้าคนอ่านเค้าไม่เข้าใจว่าเราเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงคิดแบบนั้น ก็จะติดต่อสื่อสารกันแบบเข้าใจไม่ได้ นัก blog ที่คอยปิดบังตัวของตัวเองจะมีปัญหา เรื่องการ blog มาก เพราะสุดท้ายจะไม่มีอะไรให้เขียน เพราะเค้าจะไม่ไม่มีความเห็นใดๆที่น่าสนใจแตกต่างจากคนอื่น อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญในเรื่อง blog ก็คือการ link ไปยัง site อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ที่นักบล็อกพูดถึง ว๊าววว! เหรอ! ต้องให้คนอ่านรู้ด้วยเหรอว่า เป็นใครมาจากไหน เห็นทีจะต้องแนะนำตัวกันเป็นทางการซะแล้ว ที่ผ่านๆมา นึกว่าเท่ห์ เก๋ไก๋ ที่ทำลับๆล่อๆ กร๊ากกกส์สสส
ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างประเทศอีกเว็บหนึ่ง ระบุว่า blog ได้รับความนิยมมากก็เพราะว่ามันเป็นสื่ออินเตอร์แอ็คทีฟ ถ้าอ่านเรื่องอะไรอยู่แล้วอยากรู้รายระเอียดมากขึ้น ผู้อ่านก็สามารถ click ไปยังเว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้องดูว่า คนอื่นเขียนอะไรว่าอย่างไร นัก blog บางส่วนไม่ยอมใช้ข้อดีของ อินเทอร์เน็ตแบบ hypertext ทำให้ blog ของคนๆนั้นดูน่าเบื่อ เพราะว่าจะมีแต่ตัวหนังสือ ไม่มีสิ่งที่จะคอยดึงความสนใจ ในยุคนี้ที่ blog เริ่มจะได้รับความนิยม เมื่อใดที่มีข้อมูลใดที่น่าสนใจเขียนไว้ในที่ blog ใด blog หนึ่ง blog นั้นจะถูก link ต่อกันไปเรื่อยๆ ทำให้ข่าวสารต่างๆ เดินทางกระจายไปใน กลุ่มนัก blog (blogoshere) ได้อย่างรวดเร็ว ถ้านักบล็อกมีเนื้อหาที่น่าสนใจจริง blog ต่างๆก็จะคอย link มาหาทำให้ได้รับความนิยมไปเอง
นายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัณทิต เซ็นเตอร์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ กระปุก ดอทคอม อธิบายถึงการเกิดบริการบล็อกในประเทศไทยว่า ในปี 2547 ทาง Kapook.com เป็นเว็บแรกที่เลือกนำเอา blog มาให้คนไทยได้ใช้งานกันเป็นที่แรก โดยได้กับแจ้งสมาชิกว่า blog นี้มีอิสระใครอยากเขียนเรื่องอะไรก็ได้ เนื่องจาก blog ให้อิสระในการเขียนเรื่องอะไรก็ได้ตามใจ และโดยที่มันสะท้อนบุคลิกของผู้เขียน ถ้าคนไหนเป็นคนตลกๆ ก็จะเขียนออกมาได้สนุกสนาน น่าอ่าน ใครชอบเล่าเรื่องส่วนตัวก็ทำได้ ใครชอบเลี้ยงสุนัขจะเล่าเรื่องหมาของตัวเองทุกวันเลยก็ได้
เจ้าของเว็บไซต์กระปุก ดอทคอม อธิบายอีกว่า ถ้านักบล็อกคนไหนชอบด้านวิชาการหน่อย จะเขียนบล็อกออกแนวจริงจังก็ไม่มีใครว่ากัน เช่น ในปี 2544 มีความนิยมเขียน blog เรื่องสงครามในอิรัคกันมาก เกิด War blogger ขึ้น หลายคนเขียน blog จากในสนามรบมีจรวดบินผ่านหัวเลยก็มี จะเห็นได้ว่า blog มีจุดเด่นที่ แต่ละคนเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ มีอิสระกันได้มาก สนุกสนาน ไม่เป็นทางการก็ยังได้ แต่ต้องไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น 5555++ แจ๋วเลย ถ้าอย่างนั้น ไว้จะเขียนเรื่อง สงครามในครัวเรือน... ท่าทางจะดังเป็นพลุ กร๊ากกกกส์สสสส
เมื่อฟังดังนี้หลายคนอาจยังสงสัยว่า แล้ว Blog ต่างจาก ไดอารี่ ออนไลน์ ที่ให้บริการกันอยู่ในขณะนี้อย่างไรบ้าง ผู้ที่จะมาไขข้อสงสัยนี้ให้กระจ่าง คือ คนที่อยู่ใกล้ชิดกับไดอารีออนไลน์มากที่สุด
ได้แก่ นายชนกสุ กาญจนพรพงศ์ ผู้ดูแลเว็บไซต์ ไดอารี่ฮับ ดอทคอม อธิบายไว้ว่า ประเด็นนี้อยู่ที่ว่าคนทำเว็บ Blog ต้องชัดเจนในตัวเองมากกว่านี้ เพราะคนทำเว็บไดอารี่นั้น ชัดเจนในตัวเองมานานแล้ว ไดอารี่ก็คือ ไดอารี่คงไม่เหมือนกับ Blog อยู่แล้ว แต่อย่าเอา Blog มาเผยแพร่ผิดๆ ด้วยการบอกว่าบล็อกเหมือนไดอารี่ เพราะไดอารี่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความอ่อนโยน ละเมียดละไม รวมถึง การมีเพลงประกอบในงานเขียน ก็ถือเป็นสีสันหนึ่งที่ทำให้ ไดอารี่ออนไลน์ต่างจากไดอารี่แบบที่เขียนในสมุดบันทึก
เว็บมาสเตอร์ ไดอารี่ฮับ แสดงความเห็นด้วยว่า สำหรับ งานเขียนใน Blog มีลักษณะค่อนข้างจริงจัง เน้นให้ข้อเท็จจริงมากกว่าความเร้าอารมณ์ แล้วถ้าให้ Blog มีใส่เพลงได้ ตนมองว่ามันดูลิเกมากๆและชวนให้รู้สึกขัดเขินเหลือเกิน ถ้าฝรั่งต้นกำเนิด Blog มาเห็นเข้า คงทำหน้าแปลกๆ แล้วอุทานออกมาว่า "นี่มันอะไรกันเนี่ย" ดังนั้น สรุปคือ ที่ผ่านมามีการสร้างกระแสให้คนเข้าใจคำว่า Blog ในทางที่ผิดทำให้ คิดว่า Blog คือ Diary อีกรูปแบบหนึ่งทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย และหากจะเทียบว่าอะไรดีกว่าอะไร ก็ควรจะเทียบในสิ่งที่เป็นอย่างเดียวกัน เช่น "ส้มตำร้าน ก อร่อยกว่าร้าน ข" ไม่ใช่บอกว่า "กินส้มตำดีกว่ากินพิซซ่า" หวายยย งั้นหรือ! เปิดเพลงเป็นเรื่องไม่ถูกหลักของ Blog เหรอ (ของเรา เปิดห้องเพลงซะด้วยซ้ำไป ฮาาา) อ่ะน่ะ ทำไรถูกซะหมด ก็ไม่หนุกนา มั่วๆไปอย่างนี้แระ หนุกดี