แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
15 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 

กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 34 โต๊ะอาหารสองโต๊ะ

เช้าวันต่อมา ณ คุกหลวง

หันจุ้นนำทหารจำนวนหนึ่งมาพาตัว ไทเฮา ฮองเฮา ออกจากห้องขัง องครักษ์จั๋วและเส่เยี่ยพยายามเข้ามาขัดขวางไม่ให้พวกทหารพาตัวไทเฮาและฮองเฮาออกไป ด้วยเข้าใจผิดว่าหันจุ้นจะพาทั้งสองพระองค์ไปทำร้าย องครักษ์จั๋วและเส่เยี่ยไร้ซึ่งอาวุธจึงสู้กับพวกทหารไม่ไหว องครักษ์จั๋วถูกเตะไปหลายเท้าจนลงไปนอนกองกับพื้น เส่เยี่ยถูกทำร้ายด้วยอาวุธ นางไม่ยอมแพ้ เกาะขาของทหารคนหนึ่งไว้ไม่ปล่อย นางไม่ยอมให้มันพาตัวไทเฮาไปได้ ไทเฮาซึ้งน้ำใจที่เส่เยี่ยและองครักษ์จั๋วเสียสละเพื่อนาง จึงกล่าวขอร้องให้ทุกคนหยุดต่อสู้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นางและฮองเฮาจะยอมตามไปแต่โดยดี ขอเพียงพวกทหารไม่ทำร้ายเส่เยี่ยและองครักษ์จั๋ว เส่เยี่ยไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามรับสั่งไทเฮา พวกทหารเห็นเส่เยี่ยไม่ต่อสู้แล้วจึงยอมรามือ

ก่อนไปไทเฮาฝากคำพูดไปถึงองค์ชายทั้งสองคน หากเส่เยี่ยสามารถรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้ ให้บอกชีเส้าเฟยว่านางขอโทษที่ปล่อยให้เขากลายเป็นเด็กกำพร้า ชาติหน้านางจะชดใช้ให้เขา ถึงคังซื่อว่าขอให้เขาต่อสู้กับอ๋าวป้ายอย่าได้กลัวเกรง เขาต้องรักษาราชบัลลังก์ไว้ และเป็นฮ่องเต้ที่ดีให้ได้ เส่เยี่ยรับปากไทเฮาทั้งน้ำตา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจะเข้มแข็ง และจะหาทางนำคำพูดเหล่านี้ไปบอกองค์ชายทั้งสองให้ได้

หลังจากไทเฮาและฮองเฮาจากไปแล้ว เส่เยี่ยก็ร้องไห้ไม่หยุด จนองครักษ์จั๋วต้องเข้ามาปลอบ เขาบอกกับนางว่า นางเพิ่งจะรับปากไทเฮาว่าจะเข้มแข็ง แล้วทำไมถึงได้ร้องไห้ไม่หยุดเช่นนี้ เส่เยี่ยตอบเขาว่า ตอนนี้ไทเฮาไม่อยู่แล้ว นางไม่อาจเก็บความเสียใจไว้ได้ ขอนางร้องไห้เสียดังๆ ให้สมกับที่อัดอั้นไว้เถิด องครักษ์จั๋วจึงปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้ต่อไป

ครู่หนึ่งก็มีทหารคนหนึ่งนำอาหารมาให้ทั้งคู่ที่ห้องขัง ทหารคนนั้นหันซ้ายแลขวา เห็นว่าไม่มีทหารคนอื่นอยู่รอบๆ ก็ส่งสัญญาณให้องครักษ์จั๋ว องครักษ์จั๋วเห็นเช่นนั้น เกิดความสงสัย จึงเดินเข้าไปใกล้ประตู

“ไทเฮากับฮองเฮาทรงปลอดภัย ฮ่องเต้จับบุตรธิดาของแม่ทัพอ๋าวไว้ เที่ยงวันนี้ พวกเขาจะแลกเปลี่ยนตัวประกันกัน” ทหารคนนั้นกระซิบ
“เจ้าเป็นใครกัน” องครักษ์จั๋วถามขึ้น
“ข้าน้อยเป็นทหารของท่านอ๋องถูจิ้น ตอนนี้ท่านอ๋องกับฮูหยินก็ถูกนำตัวออกจากวังหลวงไปแล้วเช่นกัน พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
“แล้ว...” องครักษ์จั๋วกำลังจะเอ่ยปากถามต่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดก็มีเสียงทหารคนอื่นเดินเข้ามา ทหารคนนั้นจึงพยักหน้าให้องครักษ์จั๋วหลบไป จากนั้นทหารคนนั้นก็รีบเดินจากไปด้วยท่าทางปกติ พวกทหารที่มาใหม่จึงไม่สังเกตุเห็นความผิดปกติ

เส่เยี่ยยังคงนั่งปิดหน้าร้องไห้โดยไม่รับรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น องครักษ์จั๋วเดินเข้ามานั่งข้างๆ นาง แล้วกระซิบให้เส่เยี่ยฟังเรื่องที่ทหารคนนั้นบอกเขา พอได้ยินสิ่งที่องครักษ์จั๋วบอก ดวงตาของหญิงสาวก็พลันมีประกายแห่งความหวังขึ้นมาทันที
“จริงเหรอ ไทเฮาทรงปลอดภัยจริงๆ เหรอ” หญิงสาวถาม องครักษ์จั๋วก็พยักหน้าให้นาง
“ถูฮูหยินก็ปลอดภัยเช่นกัน” ชายหนุ่มกล่าว เขารู้ว่าเส่เยี่ยสนิทกับเจ้าหยาจือมากเหมือนแม่กับลูก หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าดูคลายความกังวลไปเกินกว่าครึ่ง

เส่เยี่ยยกมือขึ้นพนม ดวงตาก็หลับลง ในใจก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่คุ้มครองไทเฮากับเจ้าหยาจือ จากนั้นหญิงสาวก็อธิษฐานขอให้ฮ่องเต้กับชีเส้าเฟยปลอดภัย เมื่ออธิษฐานเสร็จหญิงสาวก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของนางตอนนี้เปร่งประกายสดใส จนองครักษ์จั๋วต้องแซวว่าเมื่อครู่นี้ยังร้องไห้อยู่เลย หญิงสาวยิ้ม ชายหนุ่มหยิบไม้ปลายแหลมสองอันออกมาจากกองฟาง มันคือตะเกียบที่พวกเขาแอบเก็บไว้ แล้วนำมาเหลาเป็นไม้ปลายแหลมเพื่อใช้เป็นอาวุธ
“ฮ่องเต้และไทเฮาปลอดภัย ตอนนี้ข้าก็เป็นคนไร้กังวลแล้ว” องครักษ์จั๋วมองไม้ปลายแหลมด้วยท่าทางมุ่งมั่น เหมือนกับว่าหากตอนนี้เกิดอะไรขึ้นเขาก็พร้อมจะสู้ตาย ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเป็นอะไรแล้ว

เส่เยี่ยไม่ตอบอะไรเขา พลันหัวใจของนางก็นึกถึงคนๆ หนึ่ง คนที่เวลานางมีปัญหา หวาดกลัว ไร้ซึ่งหนทาง เขาจะปรากฏตัวและมาช่วยนางเสมอ
“เขาต้องมา” หญิงสาวพูดกับตัวเองในใจ “หวังว่าตอนนี้ท่านจะไม่มาช้าไปอีกนะ”

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เที่ยงวัน ณ ชายป่านอกเมืองไคเฟิง

อ๋าวป้ายมาพบกับฮ่องเต้ที่จุดเดิมที่พวกเขาพบกันเมื่อวาน ฝ่ายอ๋าวป้าย มีหันจุ้นและทหารจำนวนหนึ่ง พวกมันนำตัวไทเฮา ฮองเฮา อ๋องถูจิ้น และเจ้าหยาจือมาด้วย

ฝ่ายฮ่องเต้ มีองครักษ์เหอ แม่ทัพหลินเซียง และหลินชง พาตัวอ๋าวเทียนลี่และอ๋าวเทียนเจียวมาด้วย ด้านหลังพวกเขาเป็นกองทัพของแม่ทัพหลินเซียงติดอาวุธครบมือ ที่ต้องทำเช่นนี้ เป็นเพราะกงซุนเช่อสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมเสมอ เขาว่าอ๋าวป้ายเป็นคนมากเล่ห์เพทุบาย เผื่อว่ามันคิดตุกติกไม่ทำตามที่ตกลง อาจจำเป็นต้องมีการปะทะกันโดยไม่คาดคิด

ห่างจากกลุ่มของฮ่องเต้และแม่ทัพหลินเซียงออกไปไม่ไกล ชีเส้าเฟยยืนอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ โดยมีกงซุนเช่อ อ้อมหมิงเจิ้ง ลู่เสี่ยวฟง และหลินกุเหนียงอยู่ใกล้ๆ หลินกุเหนียงเดินวนไปวนมาด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ ก่อนจะบ่นพรึมพรำว่าทำไมชีเส้าเฟยไม่ไปช่วยท่านพ่อของนางเจรจากับอ๋าวป้ายใกล้ๆ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ทัน

“พี่เส้าเฟย ข้าไม่เข้าใจท่านเลย ท่านไม่เป็นห่วงฮ่องเต้เหรอ หลบมาอยู่ซะไกลแบบนี้ ท่านพ่อหน่ะอยากให้ท่านไปช่วยคุมเชิงนะ ท่านก็รู้อ๋าวป้ายหน่ะมากเล่ห์เพทุบาย ท่านกงซุนเองยังบอกเลย แล้วทำไมคนเหลียนอิ๋นถึงมาแอบหลบกันอยู่แบบนี้” หลินกุเหนียงบ่นพรึมพรำ

อ้อมหมิงเจิ้งส่ายหน้ากับความไม่รู้เดียงสาของหลินกุเหนียง ใครว่าชีเส้าเฟยไม่เป็นห่วงฮ่องเต้กัน ถ้าเขาไม่เป็นห่วงไม่ต้องออกมาเสียยังจะดีกว่า แต่ที่ชายหนุ่มต้องมาแอบอยู่ตรงนี้ ก็เพราะว่าไม่รู้ว่าสู้หน้าไทเฮาได้อย่างไร คนค่ายเหลียนอิ๋นต่างก็ตระหนักถึงความในใจของหัวหน้าใหญ่ดี เขาเข้าใจว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด แถมแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ถูกกับราชสำนักมาตลอด อยู่ๆ ตัวเองกลับกลายเป็นองค์ชายใหญ่ เป็นลูกของไทเฮาไปได้ เจอเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นใครก็วางตัวลำบากกันทั้งนั้น

“นี่แม่นางหลิน เจ้าเป็นห่วงพ่อ ก็ไปดูเองสิ มายืนบ่นอะไรตรงนี้” ลู่เสี่ยวฟงพูดกวนๆ ใส่หลินกุเหนียงตามนิสัยของเขา หลินกุเหนียงหันมาแลบลิ้นให้ลู่เสี่ยวฟง ชายหนุ่มทำเป็นไม่เห็นแล้วหันไปทางอื่น ความจริงหลินกุเหนียงก็เข้าใจความรู้สึกของชีเส้าเฟยอยู่หรอก นางไม่ใช่คนโง่ เรื่องแค่นี้ถึงจะเดาไม่ออก แต่ว่านางอยากให้ชีเส้าเฟยได้เจอมารดา นางรู้ว่าลึกๆ ชีเส้าเฟยก็ดีใจใม่น้อยที่จะได้พบกับไทเฮา เพียงแต่ตอนนี้เขายังทำตัวไม่ถูก แต่การที่หลบมาอยู่ไกลๆ แบบนี้ คนอื่นอาจจะเข้าใจผิดว่าชีเส้าเฟยไม่ใส่ใจพวกฮ่องเต้ก็ได้ นางก็แค่หวังดี อยากให้พวกเขามีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันนี่หน่า

“แม่นางหลินเจ้าไม่ต้องไปหรอก เป็นผู้หญิงมันอันตราย อยู่กับพวกเราที่นี่แหละ” อ้อมหมิงเจิ้งเห็นลู่เสี่ยวฟงว่าหลินกุเหนียง หญิงสาวไม่ถูกกับเขาอยู่แล้วจึงช่วยหลินกุเหนียงพูด ดันไปเข้าทางให้ลู่เสี่ยวฟงตอกกลับเสียได้

“รีบประจบเชียวนะ ทำไมอยากเป็นพี่สะใภ้นางหรือไง ถึงได้ต้องเป็นห่วงกันขนาดนี้” ลู่เสี่ยงฟงพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ หลินกุเหนียงมองออกว่าลู่เสี่ยวฟงพูดเพราะหึงจึงรีบรับมุขแล้วชงต่อทันที

“แหมแม่นางอ้อมช่างมีน้ำใจจริงๆ ข้ามั่นใจว่าท่านพ่อต้องอยากได้ท่านเป็นลูกสะใภ้แน่” หลินกุเหนียงพูดจบก็หันไปมองหน้าลู่เสี่ยวฟงทำท่าล้อเลียนเขา จำได้ว่าตอนที่เจอกับลู่เสี่ยวฟงครั้งแรก นางปลอมตัวเป็นองครักษ์ ถูกเขาตีไปตั้งหลายที ครั้งนี้ถือว่าเอาคืนก็แล้วกัน

“นี่แม่นางหลิน ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะ” อ้อมหมิงเจิ้งรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน นางไม่ได้คิดอะไรกับหลินชงเลย พวกเขาจะล้อกันไปใหญ่แล้ว

“ปากก็บอกว่าไม่คิด แต่การกระทำนี่หล่ะซิ๊...” ลู่เสี่ยวฟงพรึมพรำกับตัวเอง ปากก็กัดฟันแน่น รู้สึกหมั่นไส้หลินชงยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูก

หลินกุเหนียงเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของลู่เสี่ยวฟงแล้วก็ยิ้มชอบอกชอบใจ ได้แกล้งคนมันสนุกอย่างนี้นี่เอง พลันหันไปเห็นหน้าของชีเส้าเฟย ความสนุกก็หายไปในบัดดล ชีเส้าเฟยยืนด้วยความสงบนิ่ง ใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อันใด เผลอๆ เรื่องที่เพิ่งพูดกันไปนี้เขาก็คงจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ สายของของชีเส้าเฟยจับจ้องไปที่ฮ่องเต้และแม่ทัพหลินเซียง

จากระยะที่ชีเส้าเฟยยืนอยู่ เขามองเห็นเหตุการณ์ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขากำลังแลกเปลี่ยนตัวประกันกันอยู่ สตรีสามคน ชายวัยกลางคนหนึ่งคน แต่งตัวเหมือนคนในวังถูกส่งตัวให้กับแม่ทัพหลินเซียง หลังจากถูกปลดเชือกออก สตรีวัยกลางคนท่าทางสง่าที่สุดโผเข้ากอดฮ่องเต้ทันที หญิงสาวอีกคนยืนอยู่ห่างๆ นางคงจะเป็นฮองเฮา คู่บุรุษและสตรีวัยกลางคน ท่าทางภูมิฐานก็ยืนอยู่ห่างๆ เช่นกัน พวกเขาแสดงความเคารพให้ฮ่องเต้ พวกเขาน่าจะเป็นท่านอ๋องถูจิ้นและถูฮูหยิน ชีเส้าเฟยมองดูสตรีวัยกลางคนที่โผกอดฮ่องเต้ด้วยความรักและเป็นห่วง พลางคิดในใจว่า เขาไม่เคยคิดริษยาสิ่งใดที่คังซื่อมีเลย ไม่ว่าจะเป็นราชบัลลังก์ ทหารนับแสน หรือข้าราชบริพาลนับหมื่น หากแต่ในเวลานี้ เขาอยากจะเข้าไปยืนในตำแหน่งของคังซื่อและกอดสตรีผู้นั้นไว้เหลือเกิน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

หลังจากอ๋าวป้ายได้ตัวบุตรชายและบุตรสาวแล้ว พวกมันก็ยกทัพกลับไป ไทเฮากับฮ่องเต้ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอประมาณ แล้วไทเฮาก็หันซ้ายแลขวาเหมือนมองหาใครบางคน

“แล้ว... เอ่อ... ชีเส้าเฟยคนนั้นหล่ะ” ไทเฮาเอ่ยถามขึ้นแล้วมองหน้าฮ่องเต้ คนอื่นๆ เหมือนจะรู้งาน พากันหันไปทางที่ชีเส้าเฟยยืนอยู่ไกลๆ แม้จะอยู่ในระยะไกลพอสมควร ไทเฮาก็มองออกว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น หน้าตาเหมือนกับฮ่องเต้อย่างกับพิมพ์เดียวกัน นางยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ

เมื่อถูกมองเป็นสายตาเดียวกันเช่นนั้น ชีเส้าเฟยก็หันหน้าหลบ ฝ่ายไทเฮา นางดีใจจนน้ำตาคลอ ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบบุตรชายคนนี้อีก นางไม่รอช้า ทำท่าจะเดินเข้าไปหาชีเส้าเฟยทันที ทว่ายังเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ชีเส้าเฟยก็หันมาบอกกับหัวหน้าคนอื่นๆ ว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบาย ชายหนุ่มขอตัวและเร่งฝีเท้าจากไปโดยไม่ฟังคำพูดใดๆ จากพี่น้อง หลินกุเหนียงพยายามจะรั้งชีเส้าเฟยไว้ แต่ก็ถูกอ้อมหมิงเจิ้งห้ามไว้ ชีเส้าเฟยจากไปก่อนที่ไทเฮาจะเดินมาถึงต้นไม้ที่พวกกงซุนเช่อยืนอยู่ นางได้แต่มองตามหลังเขาไป ไทเฮาเซลงเล็กน้อย เนื่องจากตรากตรำอยู่ในคุกหลวงมาหลายวัน
“ถนอมพระวรกายด้วยพะยะค่ะ” ฮ่องเต้รีบเข้าไปประคองผู้เป็นมารดา
“เขาไม่อยากพบแม่งั้นหรือ” ไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ฮ่องเต้เห็นผู้เป็นมารดากับพี่ชายเป็นแบบนี้ก็รู้สึกเห็นใจทั้งคู่ ชีเส้าเฟยเดิมเป็นจอมยุทธอิสระไม่เคยมีญาติพี่น้อง อยู่ๆ ก็มีแม่เป็นไทเฮา มีน้องชายเป็นฮ่องเต้ ไม่แปลกที่เขาจะวางตัวลำบาก
“ให้เวลาเขาหน่อยเถิดพะยะค่ะ” ชายหนุ่มพูดปลอบผู้เป็นมารดาเบาๆ
“เอ๊ะว่าแต่เสด็จแม่ทรงทราบเรื่องของชีเส้าเฟยได้อย่างไร” คังซื่อนึกขึ้นได้ว่าไทเอากับชีเส้าเฟยไม่ได้เคยพบกันมาก่อน อีกทั้งเรื่องที่ว่าชีเส้าเฟยเป็นใครนั้น คนที่วังหลวงก็ยังไม่มีใครรู้เรื่อง หรือว่าไทเฮาจะได้พบกับเส่เยี่ยแล้ว
“เสด็จแม่ทรงได้พบกับเส่เยี่ยแล้วใช่ไหม” ฮ่องเต้รีบถาม ไทเฮาก็พยักหน้าให้เขา
“นางเป็นอย่างไรบ้าง นางปลอดภัยหรือไม่” ใบหน้าชายหนุ่มดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ดูเจ้าสิ เป็นห่วงนางมากกว่าแม่เสียอีกนะ” ไทเฮาหันไปยิ้มหยอกให้คังซื่อ ชายหนุ่มยิ้มเขินๆ ที่มารดารู้ทันความคิดของเขา ไทเฮาบอกเขาว่าตอนนี้เส่เยี่ยไม่เป็นไร นางถูกขังไว้ที่คุกหลวงอยู่กับองครักษ์จั๋ว

พอได้ยินคำว่าองครักษ์จั๋ว หลินกุเหนียงก็สะดุ้งโหยงจนคนอื่นหันมามองนาง ไทเฮาหันไปมองหลินกุเหนียงก็รู้สึกคุ้นหน้าขึ้นมาทันที
“เจ้าคือ...” ไทเฮาชี้ไปที่หลินกุเหนียง
“นางคือหลินกุเหนียง บุตรสาวหม่อมฉันเองพะยะค่ะ” หลินเซียงรีบแนะนำบุตรสาว
“ถะ...ถวายพระพรไทเฮา” หลินกุเหนียงรีบทำความเคารพไทเฮา นางก้มหน้าลงสุดๆ
“ทำไมเจ้าหน้าคุ้นๆ นะ” ไทเฮาพูดแล้วก็ให้ฮ่องเต้พาเข้าไปดูหน้าหลินกุเหนียงใกล้ๆ ฮ่องเต้หันมามองหน้าองครักษ์เหอเลิกลั่ก กลัวความจะแตกว่าหลินกุเหนียงเคยปลอมเป็นผู้ชายแล้วไปเป็นองครักษ์อยู่ในวังหลวงพักหนึ่ง

ทันใดนั้น อยู่ๆ แม่ทัพหลินเซียงก็คุกเข่าลง
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า โปรดทรงลงทัณฑ์ที่หม่อมฉันไม่ได้ส่งนางไปพิธีเลือกฮองเฮา” หลินเซียงเข้าใจผิดคิดว่าไทเฮาจะเอาเรื่องที่หลินกุเหนียงไม่ได้ไปเข้าพิธีคัดเลือกฮองเฮา จึงรีบออกรับแทนบุตรสาว ไทเฮาส่ายหน้า นางไม่ได้จะเอาเรื่องอะไรแม่ทัพหลินเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าหญิงสาวคนนี้หน้าตาคุ้นมาก
“องครักษ์หลิน!!” ไทเฮาอุทานออกมาเสียงดัง หลินกุเหนียงรีบคุกเข่าลง โขกศีรษะกับพื้นหลายครั้ง
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระอาญาไม่พ้นเกล้า” ตายแน่ๆ คราวนี้ หลินกุเหนียงคิด แค่ไม่ไปพิธีคัดเลือกฮองเฮาหน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ปลอมตัวเป็นองครักษ์เนี่ยถึงมีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด นางจะพาท่านพ่อกับหลินชงซวยไปด้วยหน่ะสิ
“องครักษ์หลิน องครักษ์หลินอะไรกัน” หลินเซียงหันมาถามบุตรสาวด้วยความไม่เข้าใจ สมองที่เคยแล่นปู๊ดของหลินกุเหนียง บัดนี้เหมือนถูกเสกให้แข็งจนแทบขยับไม่ได้ หลินกุเหนียงไม่กล้าสู้หน้าบิดา ก็หันหน้าหลบลูกเดียว
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า เป็นความผิดหม่อมฉันเองพะยะค่ะ” แล้วอยู่ๆ องครักษ์เหอก็ลงมาร่วมวงคุกเข่ากับหลินกุเหนียงด้วยอีกคน ทำเอาคนอื่นงงไปหมดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลินกุเหนียงเห็นองครักษ์เหอมาช่วยนางแบบนี้ ที่เคยโกรธเคืองเขาสมัยก่อน ก็มลายหายไปสิ้น ความจริงองครักษ์เหอก็เป็นคนที่มีน้ำใจเหมือนกัน นางมองเขาผิดไปจริงๆ
“พวกเจ้าสามคนเอาแต่คุกเข่าแบบนี้ แล้วข้าจะรู้ไหมว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” ไทเฮาส่ายหัว ตอนนี้นางอยากได้คำอธิบายมากกว่า องครักษ์เหอได้โอกาสจึงรีบอธิบาย
“เดิมหม่อมฉันเข้าใจว่าแม่นางหลินเป็นชาย จึงได้คบหาเป็นสหาย และได้ชวนเข้ามาถวายอารักขาฝ่าบาทพะยะค่ะ” องครักษ์เหอกล่าว หลินเซียงหันไปมองหน้าบุตรสาว ที่แท้นางปลอมเป็นผู้ชาย แล้วยังเข้าไปเป็นองครักษ์อีกหรือนี่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเลี้ยงบุตรสาวจนซุกซนได้เช่นนี้
“นี่เจ้าทำอะไรลงไปรู้ไหม เท็จทูลเบื้องสูงนะ โทษถึงประหารเลยนะ” หลินเซียงหันไปดุบุตรสาว หลินกุเหนียงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ผู้เป็นบิดา
“ความจริงไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น เป็นความผิดของเราเองนั่นแหละ ท่านแม่ทัพอย่าได้ตำหนินางเลย” อยู่ๆ คังซื่อก็เข้ามาช่วยพูดด้วยอีกคน
“ท่านแม่ทัพ แม่นางหลินท่านลุกขึ้นเถอะ องครักษ์เหอท่านก็ลุกขึ้นด้วย เราจะบอกความจริงกับเสด็จแม่เอง”

จากนั้น คังซื่อก็อธิบายให้ไทเฮาฟังว่าเขารู้จักกับเส่เยี่ยและหลินกุเหนียงโดยบังเอิญ และได้พาทั้งสองคนเข้ามายังวังหลวง โดยที่ไม่รู้ว่าหลินกุเหนียงเป็นสตรี จึงได้ฝึกให้เขาเป็นองครักษ์ข้างกาย ไทเฮาได้แต่ส่ายหัวไม่เข้าใจความคิดของคนรุ่นหลังว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่ หลินกุเหนียงเป็นถึงลูกสาวแม่ทัพ ทำไมถึงได้ทำตัวเหลวไหลปลอมตัวเป็นผู้ชาย ส่วนคังซื่อก็ไม่รู้จักฐานะตัวเอง เป็นถึงฮ่องเต้เที่ยวปลอมตัวเป็นชาวบ้าน องครักษ์เหอเองก็ไม่รู้จักห้ามปราม ทุกคนเล่นกันเป็นเด็กๆ แบบนี้แล้วนางจะวางใจใครได้ สามคนถูกดุกันถ้วนหน้า แต่ละคนต่างก็ก้มหน้ายอมรับความผิด คังซื่อบอกไทเฮาว่าต่อไปเขาจะไม่เหลวไหลเที่ยวเล่นอีกแล้ว ขอเพียงไทเฮาไม่ลงโทษองครักษ์เหอและหลินกุเหนียงก็พอ ไทเฮาเห็นบ้านเมืองกำลังเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีจิตใจจะลงโทษใครอยู่แล้ว จึงไม่ได้เอาผิดใครทั้งนั้น ตระกูลหลินทั้งพ่อทั้งลูก ต่างก็ถอนหายใจโล่งอกกันเป็นแถว

เมื่อจบเรื่องแล้ว ไทเฮาก็สั่งให้ทุกคนเตรียมกลับไปยังค่าย หลินกุเหนียงท่าทางอึกอักเหมือนมีเรื่องอยากจะถามไทเฮา ไทเฮาเห็นเช่นนั้นจึงถามขึ้นก่อน
“เจ้ามีอะไรจะพูดงั้นหรือ” ไทเฮาถาม หลินกุเหนียงกลัวจนตัวลีบแต่ก็ทำใจดีสู้เสือ
“คือหม่อมฉันอยากทราบว่า องครักษ์จั๋วปลอดภัยไหมพะยะ... เอ้ย... เพคะ” หลินกุเหนียงถามไทเฮาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ที่แท้นางเป็นห่วงองครักษ์จั๋วนี่เอง
“เจ้าเป็นถึงเจ้าจอมจะมาถามเรื่ององครักษ์ทำไมกัน” ไทเฮาไม่เพียงไม่ตอบคำถาม แต่ตอกกลับหลินกุเหนียงเสียจนหญิงสาวต้องสะอึกไปกับคำพูดของนาง หญิงสาวลืมไปได้อย่างไรว่าความจริงนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าจอมของฮ่องเต้ไปแล้ว ความหวังที่จะได้อยู่กับชายในฝันอย่างจั๋วอี้หังนั้นยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ หลินกุเหนียงถึงกับยืนเข่าอ่อน ความฝันของนางกำลังพังทลายลง หญิงสาวเหลือบไปมองหน้าฮ่องเต้เหมือนจะขอร้องให้เขาช่วย แต่ฮ่องเต้ก็ส่ายหน้าบอกหญิงสาวว่าเวลานี้ไม่เหมาะจะถาม คังซื่อส่งสัญญาณว่าเขาจะถามไทเฮาให้เองในภายหลัง หญิงสาวจึงก้มหน้าแล้วถอยออกไปจากหน้าพระพักตร์ของไทเฮา

พอไทเฮากับฮ่องเต้เสด็จไปแล้ว ฮองเฮาฟางเอ๋อจึงเดินมาพูดคุยกับหลินกุเหนียง
“แม่นางหลิน” ฮองเฮาทักขึ้น
“ฮองเฮา” หลินกุเหนียงย่อตัวลงทำความเคารพนาง
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ องครักษ์จั๋วตอนนี้ปลอดภัยดี” ฮองเฮาพูดจบก็ยิ้มให้หลินกุเหนียงด้วยท่าทางเป็นมิตร หลินกุเหนียงได้ยินประโยคนี้ของฮองเฮาก็ดีใจจนน้ำตาแทบไหล แค่นี้แหละที่นางอยากได้ยิน ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับเป็นแน่
“เฮ้อ... ตอนนี้โล่งอกเสียที เขาปลอดภัยก็ดีแล้ว” หญิงสาวคิด ก่อนจะเดินตามขบวนของฮ่องเต้ไป

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เย็นวันนั้น ณ ค่ายแม่ทัพหลินเซียง นอกเมืองไคเฟิง

แม่ทัพหลินเซียงให้จัดมื้อค่ำเป็นเหมือนงานเลี้ยงเล็กๆ ที่ไทเฮาและฮ่องเต้ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้า ฮ่องเต้เห็นเป็นโอกาสดีที่ไทเฮาและชีเส้าเฟยจะได้คุยกัน จึงสั่งให้ค่ายเหลียนอิ๋นมาร่วมรับประทานอาหารด้วย ชีเส้าเฟยและพี่น้องไม่ถนัดเข้าสังคม โดยเฉพาะกับเชื้อพระวงศ์จึงได้ปฏิเสธ แต่คังซื่อยืนกรานไม่ยอม ชีเส้าเฟยจึงจำต้องตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้

คังซื่อสั่งให้จัดโต๊ะอาหารสองโต๊ะใหญ่

โต๊ะที่หนึ่ง ประกอบด้วย ฮ่องเต้ ไทเฮา ฮองเฮา อ๋องถูจิ้น และเจ้าหยาจือ ยังมีที่นั่งว่างเหลืออยู่อีกที่ ซึ่งคังซื่อได้จัดเตรียมไว้ให้กับชีเส้าเฟยนั่นเอง

โต๊ะที่สอง เป็นโต๊ะของค่ายแม่ทัพหลินเซียงและค่ายเหลียนอิ๋น ประกอบไปด้วย แม่ทัพหลินเซียง หลินชง หลินกุเหนียง กงซุนเช่อ อ้อมหมิงเจิ้ง ลู่เสี่ยวฟง และองครักษ์เหอ

เดิมทีชีเส้าเฟยตั้งใจจะเบี้ยวโดยอ้างว่าไม่สบาย แต่คังซื่อรู้ทันจึงส่งคนไปตามเขาออกมา ชีเส้าเฟยจึงมาถึงห้องอาหารช้าสุด

เมื่อมองไปที่โต๊ะของแม่ทัพหลินเซียงก็เห็นว่าคนนั่งเบียดเสียดกันเต็มโต๊ะอยู่แล้ว เขาเหลือบมองไปเห็นโต๊ะของฮ่องเต้ ด้านข้างไทเฮามีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่ง ขณะนั้นคังซื่อก็หันมาเห็นชีเส้าเฟยพอดี
“ท่านมาแล้วเหรอ มานั่งกับเราสิ” คังซื่อเชื้อเชิญอย่างมีไมตรี ทว่าชีเส้าเฟยมองไปที่โต๊ะก็พบว่ามีแต่เชื้อพระวงศ์ที่เขาไม่รู้จัก แม้ทุกคนจะดูเป็นมิตร แต่เขาไม่คุ้นเคยกับคนเหล่านี้ ชีเส้าเฟจึงปฎิเสธคังซื่อ
“ไม่เป็นไรฝ่าบาท หม่อมฉันขอนั่งกับพี่น้องดีกว่า” ว่าแล้วชีเส้าเฟยก็เดินไปหยิบเก้าอี้ที่อยู่ข้างห้อง เพื่อจะมานั่งกับพวกค่ายเหลียนอิ๋น ไทเฮามองดูชีเส้าเฟยมีท่าทีห่างเหินเช่นนี้ คนเป็นแม่ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ แต่จะโทษชีเส้าเฟยก็ไม่ได้ เขาไม่ได้เติบโตมาในวังหลวง ความผูกพันธ์ระหว่างเชื้อพระวงศ์ก็ไม่เคยมี ในระยะเวลาอันสั้นนี้ จะให้เขามายอมรับเรื่องพวกนี้คงเป็นไปไม่ได้ คังซื่อเห็นไทเฮามีมีหน้าผิดหวังก็รู้สึกสงสาร หากชีเส้าเฟยยังคงใจแข็งเป็นหินผาเช่นนี้ กว่าเสด็จแม่และเขาจะได้เปิดอกคุยกัน คงต้องใช้เวลาอีกนาน

ทว่ายังไม่ทันที่ชีเส้าเฟยจะได้วางเก้าอี้ลง แม่ทัพหลินเซียงเห็นว่าตอนนี้สถานะชีเส้าเฟยเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ไม่สมควรที่จะมานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับข้าราชบริพารเช่นพวกเขาอีกต่อไป จึงได้พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“โต๊ะนี้ก็เบียดเสียดมากแล้ว ท่านไปนั่งกับฮ่องเต้ดีกว่า” ว่าแล้วแม่ทัพหลินเซียงก็ผายมือให้ชีเส้าเฟยไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ทำเอาคนในโต๊ะมองหน้ากันไปมาด้วยความอึกอัก ชีเส้าเฟยก็ยืนชะงักอยู่อย่างนั้น รู้สึกเหมือนคนในโต๊ะนี้ไม่ต้อนรับเขา เห็นเขาเป็นคนอื่น ไม่ใช่ชีเส้าเฟยเทพมังกรคนเดิมอีกต่อไป กงชุนเช่อเห็นชีเส้าเฟยยืนทำตัวไม่ถูก ก็เข้าใจความรู้สึกของของชายหนุ่ม จึงรีบลุกขึ้นและบอกให้ลู่เสี่ยวฟงขยับที่นั่งระหว่างเขากับลู่เสี่ยวฟง
“หัวหน้าใหญ่ ท่านนั่งตรงนี้ก็ได้ ยังพอมีที่อยู่ นั่งชิดๆ กันอบอุ่นดี คิดถึงยามอยู่ที่ค่าย” กงชุนเช่อพูดด้วยน้ำเสียงปกติ เพื่อทำให้ชีเส้าเฟยไม่รู้สึกขัดเขิน ชีเส้าเฟยจึงไปนั่งระหว่างกงชุนเช่อและลู่เสี่ยวฟง

แม่ทัพหลินแม้จะไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ไม่อยากมากความ จึงจำต้องปล่อยเลยตามเลย ไทเฮาลอบมองชีเส้าเฟยซึ่งนั่งหันด้านข้างให้นาง แล้วก็หันกลับมาที่โต๊ะ ก็มีสีหน้าผิดหวัง พอสบตากับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็รู้สึกเสียใจที่ช่วยอะไรผู้เป็นมารดาไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชีเส้าเฟยก็ใช่ว่าจะดีนัก เมื่อรู้ว่าช่วยอะไรไทเฮาไม่ได้ ฮ่องเต้จึงพยายามดึงความสนใจของไทเฮามาที่โต๊ะอาหาร เขาตักกับข้าวให้ไทเฮาแล้วยิ้มให้นางเหมือนเป็นการให้กำลังใจผู้เป็นมารดา

คืนนั้น ที่โต๊ะของฮ่องเต้ทุกคนนั่งกินอาหารกันอย่างเงียบๆ ฮองเฮากับเจ้าหยาจือเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อยจึงไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่ไทเฮาและอ๋องถูจิ้นที่พูดถึงเรื่องราชการบ้างพอประมาณ

อีกโต๊ะหนึ่งกลับมีเสียงคุยกันสนุกสานาน ลู่เสี่ยวฟงเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี้ให้พวกค่ายแม่ทัพหลินเซียงฟัง หลินกุเหนียงเองก็พูดไม่หยุด จะมีก็แต่องครักษ์เหอเท่านั้นที่นั่งเงียบ อ้อมหมิงเจิ้งเห็นเขาไม่ค่อยกินอะไรจึงตักอาหารใส่จานให้เขา องครักษ์เหอสบตาอ้อมหมิงเจิ้งแล้วไม่พูดอะไร เขาตักอาหารเข้าปากแล้วกินต่อเงียบๆ ส่วนหลินกุเหนียงสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ระหว่างอ้อมหมิงเจิ้งและองครักษ์เหอ จึงได้คิดทดสอบความสัมพันธ์ของพวกเขา นางสะกิดให้พี่ชายตักปลาให้อ้อมหมิงเจิ้ง หลินชงไม่เข้าใจน้องสาวแต่ก็ทำตาม เขาตักปลาให้อ้อมหมิงเจิ้ง อ้อมหมิงเจิ้งรับปลามาแล้วก็ยิ้มขอบคุณ แล้วอยู่ๆ ลู่เสี่ยวฟงก็คีบปลาออกจากจานอ้อมหมิงเจิ้ง

“เจ้าไม่ชอบกินปลาไม่ใช่เหรอ มาข้ากินให้นะ” ลู่เสี่ยวฟงไม่พูดเปล่า เขาคีบปลาจากจานหญิงสาวเข้าปาก แล้วทำท่าเอร็ดอร่อย ทำเอาคนทั้งโต๊ะอึ้งไปตามๆ กัน อ้อมหมิงเจิ้งหันมาตาเขียวใส่ชายหนุ่ม แต่ลู่เสี่ยวฟงก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กินต่อไป หลินกุเหนียงลอบหัวเราะเบาๆ ตานางมองไปที่ลู่เสี่ยวฟง องครักษ์เหอ แล้วก็พี่ชายของตนเอง แม่นางอ้อมหมิงเจิ้งนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว มีชายหนุ่มแอบชอบถึงสามคน

“แม่นางอ้อมหมิงเจิ้ง ข้างหน้าท่านมีอาหารหลายอย่าง ท่านไม่ชอบทานปลา แล้วท่านชอบอะไร ระหว่างผัดผัก เต้าหู้เนื้อ หรือว่าไก่อบฟาง” หลินกุเหนียงยิ้มแล้วก็มองที่ไปอาหารทั้งสามจานซึ่งตั้งอยู่หน้าชายหนุ่มสามคน อ้อมหมิงเจิ้งไม่เข้าใจความหมายของหลินกุเหนียง ก็ตอบไปโดยไม่คิดอะไร
“ข้าไม่ได้ไม่ชอบทานปลาหรอกแม่นางหลิน ลู่เสี่ยวฟงชอบแหย่ข้าอย่างนี้ประจำ ท่านอย่าได้ถือสา”
“เขาก็ต้องชอบแหย่ท่านสิ ก็เขาชอบท่านนี่” หญิงสาวพูดกับตัวเองเบาๆ
“ท่านว่าอะไรนะแม่นางหลิน”
“อ่อเปล่าๆ ข้าบอกว่าท่านชอบอะไรก็ตักอันนั้นเถอะ” หลินกุเหนียงรีบเปลี่ยนคำพูดแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อ้อมหมิงเจิ้งไม่ติดใจอะไร แต่ลู่เสี่ยวฟงค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองได้ยินสิ่งที่หลินกุเหนียงพูด ชายหนุ่มเริ่มกินข้าวไม่อร่อย จากคนที่เคยพูดไม่หยุดกลับนั่งเงียบ จากใบหน้าที่ดูสนุกสนานทุกเวลากลับดูนิ่งเฉย คิ้วของชายหนุ่มมาขมวดกันอยู่ตรงกลางใบหน้า
“นี่ข้าชอบหงเผาหรือนี่…”

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





 

Create Date : 15 ตุลาคม 2555
8 comments
Last Update : 19 มีนาคม 2560 16:32:09 น.
Counter : 660 Pageviews.

 

น่าสงสารไทเฮานะคะ ได้เจอลูกชายแล้วแท้ๆแต่ลูกชายกลับทำตัวห่างเหิน แต่ก็เข้าใจหัวหน้าชีค่ะ ก็คงจะวางตัวไม่ถูกเหมือนกันที่อยู่ๆก็กลายเป็นองค์ชายใหญ่ มีศักดิ์เป็นถึงเชื้อพระวงศ์

แต่ตอนนี้คนที่น่าสงสารอีกคนก็พี่ลูลู่นี่แหละ ถ้ารู้ใจตัวเองแล้วก็รีบเดินหน้าทำคะแนนซะนะ ให้สาวเค้ารู้ว่าตัวเองชอบ ไม่งั้นจะเสียใจ

 

โดย: ทับทิม IP: 125.26.26.224 16 ตุลาคม 2555 19:34:17 น.  

 


เอ๋...คนที่เส่เย่คิดถึงว่าต้องมาช่วย เป็นใครหน้ออออ หวังว่าจะเป็นท่านลุงชีนะก๊ะ

ขำพี่ลูลู่หึงอ้อมหมิงเจิ้นอ่ะ แม่นางหลินช่วยแหย่เอาคืนพี่ลูลู่เยอะๆนะ แต่ว่าอย่ามัวแต่แหย่คนอื่นจนลืมตัวเองน้า พี่จั๋วอ่ะพี่จั๋วท่องไว้ อิอิ

พูดถึงไทเฮา ทุกทีก็ดันเข้าใจว่าไทเฮาเป็นย่าของฮ่องเต้ซะอีกค่ะ เพิ่งมารู้ว่าเป็นแม่ของฮ่องเต้ แล้วย่าของฮ่องเต้เรียกว่าอะไรคะ เริ่มสับสน

ลุ้นให้ หนญ.ได้พบไทเฮามากเลย แต่พอพบแล้ว หนญ.ก็ทำตัวไม่ถูก น่าเห็นใจค่ะ สงสารไทเฮาด้วย

แอบขำ หนญ.ที่โต๊ะนู้นก็ไม่รัก โต๊ะนี้ก็ไม่รัก +55 ผลักไสกันใหญ่ แอบเคืองท่านกงซุนนะเนี่ย ไม่รับมุขแม่ทัพหลินเลย เค้ากะจะให้แม่ลูกดีกันแท้ๆ

ไปๆมาๆ องครักษ์เหอก็ตกหลุมรักอ้อมหมิงเจิ้นด้วยเหรอเนี่ย ตายแระ แบบนี้พี่ลูลู่ก็เหนื่อยเพิ่มขึ้นสองเท่าอ่ะจิ

 

โดย: หลินอี้ 17 ตุลาคม 2555 10:53:10 น.  

 


แม่นางอ้อม เจ้าไม่ชอบกินปลาไม่เหรอเหรอ ข้าช่วยกินให้นะ

 

โดย: หลินอี้ 17 ตุลาคม 2555 11:05:42 น.  

 

องครักษ์เหอ แววอกหักมารำไร ไม่รู้จะมีใครมาคอยดามอกป่าวคะ ถ้าพี่จั๋วไม่ว่าอะไร แม่นางหลินก็ยินดีรับทั้งสองนะก๊ะ

 

โดย: หลินอี้ 17 ตุลาคม 2555 11:12:41 น.  

 

พี่หลิน..ถ้าย่าจะเรียกว่า ไท่หวงไท่โฮ่ว (ไท่หวงไทเฮา) ค่ะ

แต่แม่นางหลินกุคิดจะรวบสองเลยหรอคะ ระวังจะสับรางไม่ทันนะคะ

 

โดย: ทับทิม IP: 125.26.47.231 17 ตุลาคม 2555 18:08:44 น.  

 

ทับทิมคะ พี่ลูลู่รับทราบค่ะ จะเร่งจีบแม่นางอ้อมหมิงเจิ้งนะคะ

หลินกุ คนที่แม่นางเส่เยี่ยคิดถึง ก็ต้องเป็นคนนั้นหล่ะค่ะ คนที่มาสายเสมออออ

ไม่ใช่ว่าโต๊ะโน้นก็ไม่รัก โต๊ะนี้ก็ไม่รักนะคะ จริงๆ ไทเฮากับฮ่องเต้อยากให้หัวหน้าใหญ่มานั่งด้วย เตรียมที่ไว้ให้แล้วด้วย แต่หัวหน้าใหญ่ดันไม่อยากมานั่งเองค่ะ กงซุนเช่อสงสารหัวหน้าใหญ่ รู้ว่าเขาลำบากใจ ก็เลยชวนมานั่งด้วยเนอะ

แม่นางหลินจะจีบองครักษ์เหอ ต้องต่อคิวนะคะ ผกก. ก็จองด้วยค่ะ โหะๆ

เสาร์อาทิตย์นี้จะพยายามลงตอนต่อไปนะคะ ยิ่งแต่งยิ่งยาวววววว ไม่จบซักที ><

 

โดย: realtomtam 17 ตุลาคม 2555 22:10:41 น.  

 


ตอนนี้แม่นางหลินสร้างสีสันได้ดีจริงๆค่ะ

พี่ลู่รู้ใจตัวเองเมื่อไหร่ล่ะก็ อ้อมหมิงเจิ้งเหงื่อตกแน่
แค่จิ้นถึงตอนพี่ลู่ตามจีบก็ฮาแล้วล่ะ


แม่นางเส่เยี่ยร้องไห้สะใจแล้ว โถ โถ อัดอั้นมานาน สบายใจได้แล้วนะ

ตอนนี้แฟนคลับคิดถึงปู่จิวมากค่ะ ปู่จะมาช่วยเส่เยี่ยด้วยป่ะ

 

โดย: O-yohyo 23 ตุลาคม 2555 16:14:47 น.  

 

มัวแต่ดีใจกับซ้อเชนที่ไปเจอพี่ชายที่ฮ่องกง ผกก.ไม่มีกะจิตกะใจเขียนต่อเลย


โย่จารย์ปู่จิวยังไม่สะดวกค่ะ จารย์สะดวกเมื่อไหร่จะมาเล่น เอ้ยมาช่วย เส่เยี่ยแน่ๆ ค่ะ ^^

 

โดย: realtomtam 23 ตุลาคม 2555 23:48:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.