|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 19 ไต้ซือและหยกครึ่งชิ้น
รุ่งเช้า ตำหนักหลวง ณ ห้องบรรทมฮ่องเต้
วันนี้คังซื่อรู้สึกตัวแต่เช้ามืด เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเลย มัวแต่คิดถึงเรื่องการอภิเษก มันช่างตลกดีแท้ ที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขา ไม่สามารถจะเลือกคู่ครองเองได้ และที่น่าขันไปกว่านั้นก็คือ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ต้าซ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารหรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว เขาไม่เคยมีอำนาจในการตัดสินใจเองเลย
ชายหนุ่มเดินไปหยิบช่อดอกรักที่ปักอยู่ในแจกันด้วยแววตาอาวรณ์ เขาคิดทบทวนถึงเรื่องราวระหว่างเขากับเส่เยี่ย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มันใช่ความบังเอิญหรือเปล่า ทำไมเขาต้องมารู้จักนางด้วย หรือว่าสวรรค์ได้ลิขิตเอาไว้หมดแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย คังซื่อตกหลุมรักหญิงสาวตั้งแต่แรกเห็น แต่เพราะเหตุใดนางถึงเข้าครอบครองหัวใจเขาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ จริงอยู่นางอาจจะมีหน้าตาที่คล้ายกับปิงเยี่ย แต่ความจริงแล้วหญิงสาวทั้งสองคนช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งแก่นแก้วเหมือนม้าดีดกระโหลก อีกคนก็เรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรี คนหนึ่งโผงผางเอาแต่ใจตัวเอง อีกคนก็เงียบขรึมเดาใจยาก ดูเหมือนจะมีเพียงแค่สิ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือ "ความดื้อ" โดยเฉพาะเส่เยี่ย แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉย แต่นางเป็นคนที่ดื้อเงียบเอามากๆ ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาไม่มีวันเข้าถึงนางได้เลย เหมือนกับว่าหญิงสาวเก็บอะไรไว้ในใจตลอด และสิ่งนี้เองที่กลายเป็นเสน่ห์ท้าทาย ทำให้ชายหนุ่มต้องการเอาชนะ เขาอยากค้นหาคำตอบจากดวงตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นให้ได้
แต่การจะเอาชนะหญิงสาวอย่างเส่เยี่ยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย...
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวแล้วใส่ดอกไม้กลับคืนไปในแจกัน นอกจากด่านของเส่เยี่ยแล้ว วันนี้เขายังต้องผ่านอีกด่านหนึ่งไปให้ได้เสียก่อน ถูกต้องแล้ว เขาจะต้องไปคุยเรื่องนี้กับไทเฮา "เฮ้ออออ" ทำไมอะไรๆ ในชีวิตของเขา มันถึงได้ยากกว่าคนอื่นนะ ใครไม่รู้คงคิดว่าเป็นฮ่องเต้นั้นสุขสบาย แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องราวของเขาเลย
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ณ จวนอ๋องถูจิ้น
เส่เยี่ยอยู่เฉยๆ ทุกวันก็รู้สึกเบื่อ นางไม่อยากกลายเป็นคนตาบอดไร้ค่า จึงขอเจ้าหยาจือทำงานเล็กๆ น้อยๆ ภายในจวน เจ้าหยาจือไม่อยากขัดใจหญิงสาว จึงให้นางช่วยออกมาให้อาหารนกและปลาที่สวนหลังจวนทุกเช้า ระหว่างที่กำลังให้อาหารปลาอยู่นั้น ก็มีผู้มาเยี่ยมเยือน "อรุณสวัสดิ์แม่นางเส่เยี่ย" เสียงหวานสดใสของหลินกุเหนียงกล่าวทักทายมาแต่ไกล เส่เยี่ยได้ยินเสียงจึงหยุดให้อาหารปลาแล้วหันไปทักทายเจ้าของเสียงนั้น "วันนี้ไม่ต้องซ้อมวรยุทธงั้นหรือ มาหาข้าแต่เช้าเชียว" เส่เยี่ยพูดแล้วก็ยิ้มหวาน "ข้าไม่ได้มาคนเดียวนะ พาใครมาด้วย" หลินกุเหนียงอมยิ้มแบบมีเลศนัย "ฝ่าบาทก็มาด้วยงั้นเหรอ ตอนนี้ทรงอยู่ที่ไหนหล่ะ" เส่เยี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เผลอถามหาฮ่องเต้ด้วยอาการดีใจ "เอ แม่นางเส่เยี่ย ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าพาใครมาด้วย ทำไมถึงได้รู้หล่ะว่าเป็นฮ่องเต้ รึว่า..." หลินกุเหนียงแกล้งแซวจนนางอาย เส่เยี่ยเผลอเทอาหารปลาลงน้ำจนเกือบหมดถ้วย หลินกุเหนียงเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะชอบใจ ก็ฮ่องเต้ทั้งน่ารักและเอาใจเส่เยี่ยขนาดนี้ ใครไม่รักก็บ้าแล้ว นี่หากนางไม่ได้แอบปิ๊งพี่จั๋วไปแล้วหล่ะก็ คงเสียดายโอกาสดีๆ ที่จะได้เป็นฮองเฮาเช่นกัน "เอาหล่ะๆ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว เดี๋ยวปลาอิ่มตายกันพอดี ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงรออยู่ด้านในหน่ะ วันนี้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่" หลินกุเหนียงเข้าไปประคองเส่เยี่ยแล้วก็เดินออกมาจากสวนด้วยกัน "คงเป็นเพราะเรื่องอภิเษกสินะ" เส่เยี่ยเองก็พอจะเดาออก เมื่อวานตอนที่เขาเดินมาส่งนาง ก็ดูเงียบเชียว จะว่าไปแล้ว เขาก็น่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย "เฮ้อ ฮ่องเต้นี่ก็แปลกเนอะ มีสาวสวยพร้อมทั้งรูปสมบัติคุณสมบัติมาให้เลือก ยังจะต้องกลุ้มใจทำไม" หลินกุเหนียงส่ายหัวด้วยความไม่เข้าใจ "ท่านไม่เข้าใจหรอก บางครั้งต่อให้มีเป็นร้อยเป็นพันตรงหน้า แต่ก็ต้องการเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น" คนพูดพูดแล้วก็มองเหม่อ "โอ้โหพูดแบบนี้ แสดงว่ามั่นใจมากสินะว่าฮ่องเต้ทรงรักเจ้าคนเดียว" หลินกุเหนียงแกล้งแซว "บ้าสิ ใครบอกว่าข้าหมายถึงตัวเองเล่า" "อ๊ะๆ ไม่ใช่แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วย" หลินกุเหนียงหัวเราะ เส่เยี่ยก็หันมาตีแขนนางเบาๆ ทำไมถึงได้ชอบแซวนางนักนะ เป็นเพราะแบบนี้ถึงทำให้คังซื่อเข้าใจผิดไปกันใหญ่
สองสาวเดินไปคุยไปจนเข้ามาถึงด้านในของจวน เพียงแค่ก้าวเข้ารัศมีห้อง เส่เยี่ยก็รู้ว่าฮ่องเต้อยู่ในห้องนั้นแล้ว หญิงสาวรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที ฝ่ายคังซื่อพอเห็นเส่เยี่ยเดินเข้ามา ก็เข้าไปประคองนางให้มารู้จักกับแขกที่มาเยือน "เส่เยี่ย ท่านนี้คืออิเต็งไต้ซือนะ ท่านเป็นหมอเทวดา เคยรักษาเราตอนเด็กๆ" คังซื่อแนะนำให้เส่เยี่ยรู้จักกับไต้ซือที่ดูเลยวัยกลางคนไปแล้ว ท่าทางของเขาสุขุมและใจดี คังซื่อกับไต้ซือดูจะสนิทกันมาก เพราะไต้ซือเคยรักษาคังซื่อให้หายจากโรคร้ายตอนที่ยังทรงเยาว์อยู่ ความจริงไต้ซือได้ตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ท่านไม่ยอมรักษาให้ใครง่ายๆ หากไม่ใช่เพราะเป็นฮ่องเต้คนนี้ขอร้อง ท่านไม่มีทางขึ้นมาที่เมืองหลวงเป็นอันขาด
ฮ่องเต้บอกกับเส่เยี่ยว่า อยากให้ไต้ซือลองรักษาดวงตาให้กับนาง หญิงสาวเห็นว่าเขากำลังไม่สบายใจ จึงไม่อยากขัดใจเขา นางตกลงรับปากให้ไต้ซือลองตรวจอาการดู คังซื่อขอร้องให้เส่เยี่ยเล่าเรื่องที่ตาบอดให้ฟัง หญิงสาวทำท่าอึกอัก นางไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นเลย มันคือฝันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของนาง มันทำให้นางต้องสูญเสียทั้งดวงตาและบิดาผู้เป็นที่รักไป แค่คิดก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ทำไมนางต้องมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นฟังด้วยนะ ที่สำคัญหญิงสาวไม่อยากให้ใครรู้ว่า นางคือบุตรสาวของซุนซิ่ง อดีตมือกระบี่อันดับหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เส่เยี่ยเล่าเรื่องของตนเองแบบถามคำตอบคำ พอโดนซักเข้ามากๆ หญิงสาวก็หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ไต้ซือเห็นว่านางไม่ค่อยให้ความร่วมมือ จึงเปลี่ยนมาขอตรวจดวงตาและชีพจรของนางแทน
หลังจากไต้ซือตรวจดูตาของเส่เยี่ยทั้งสองข้าง ก็ขมวดคิ้วแน่น ทำเอาคนในห้องต่างพากันลุ้นตามไปด้วย จากนั้นท่านจับชีพจรของเส่เยี่ยแล้วก็ขมวดคิ้วอีก เหมือนกับว่ามีอะไรผิดปกติ ท่านจึงขอตรวจดูตาของเส่เยี่ยอีกครั้งหนึ่งจนแน่ใจ ก่อนจะพูดให้ทุกคนในห้องฟังถึงอาการของนาง "อมิตาพุธ ความจริงตาของแม่นางผู้นี้ไม่ได้บอด" ไต้ซือกล่าว "หา!!!!!!!!!!!!" ทุกคนในห้องร้องขึ้นพร้อมๆ กัน "หากปฏิบัติตามวิธีที่ข้าแนะนำ นางจะต้องหายเป็นปกติอย่างแน่นอน" ไต้ซือพยักหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจ "จริงเหรอไต้ซือ!!!" ฮ่องเต้ดีใจเสียยิ่งกว่าเส่เยี่ยเสียอีก แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะยังไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไหร่ "ถ้าตาข้าไม่ได้บอด แล้วทำไมข้าถึงมองไม่เห็นหล่ะ" เส่เยี่ยย้อนถามด้วยความสงสัย นางพูดแล้วก็เอามือแตะไปที่ตาทั้งสองข้าง "จะเห็นหรือไม่ อยู่ที่จิตใจของเจ้า" ไต้ซือตอบ "จิตใจของข้างั้นเหรอ ท่านพูดอะไร ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย" เส่เยี่ยขมวดคิ้ว คนอื่นๆ ในห้องก็พากันสงสัยไปด้วย "แม่นางอายุยังน้อย อาจไม่รู้ว่าในโลกนี้มีโรคที่แปลกประหลาดพิสดารอยู่มากมาย หลายสิบปีมานี้ ข้าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ รักษาทั้งคนใบ้ หูหนวก ตาบอด บางรายก็เป็นอัมพาต หรือไม่ก็สูญเสียความทรงจำ แท้จริงแล้วคนเหล่านี้ไม่ได้ป่วยทางร่างกายแต่อย่างใด เพียงแต่พวกเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติไปเท่านั้นเอง" "มีโรคแบบนี้ด้วยหรือ" องครักษ์เหอขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อ "มีสิ หากสามารถแก้ปมในใจของผู้ป่วยได้ ร่างกายก็จะกลับมาหายเป็นปกติ" ไต้ซือตอบ "ปมในใจงั้นหรือ" คราวนี้องครักษ์จั๋วขมวดคิ้วบ้าง "นี่แม่นางเส่เยี่ย เจ้ามีปมอะไรในใจก็รีบบอกไต้ซือไปสิ จะได้มองเห็นสักที" หลินกุเหนียงที่ยืนเอาใจช่วยอยู่ข้างๆ รบเร้าหญิงสาว "เส่เยี่ยจ๊ะ ไม่ต้องกลัวนะ ค่อยๆ เล่าให้ไต้ซือฟังก็ได้..." เจ้าหยาจือพยักหน้าเห็นด้วยกับหลินกุเหนียงแล้วก็พยายมพูดกล่อมให้เส่เยี่ยคล้อยตาม หารู้ไม่มันกลับทำให้เส่เยี่ยยิ่งหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม พอนางนึกถึงภาพที่บิดากำลังนอนจมกองเพลิง ความแค้นที่เก็บซ่อนไว้ ก็พุ่งพล่านขึ้นมาในใจอีก ก็เพราะราชสำนักไม่ใช่หรือ ที่ทำให้ครอบครัวของนางต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ "เหลวไหล!!! ข้าเองก็เป็นหมอ เรื่องปมในใจบ้าบออะไรนี่ ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย ข้าว่าไต้ซือคนนี้จะหลอกเอาเงินค่ารักษามากกว่า" เส่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง "เส่เยี่ยอย่าเสียมารยาทกับไต้ซือสิจ๊ะ" เจ้าหยาจือตำหนิ "ไม่เป็นไรๆ ข้าเข้าใจความรู้สึกนางดี เรื่องการรักษานี้ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป" ไต้ซือตอบอย่างใจเย็น "ก็ข้าบอก ไม่รักษา ไม่รักษาไง!!! อย่ามาบังคับข้าได้ไหม!!!" เส่เยี่ยพูดจบก็เอามือปิดหน้าปิดตา เหมือนไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้ว "เอาหล่ะๆ ทุกคนออกไปก่อนดีกว่า ให้เส่เยี่ยได้พักผ่อนสักครู่ ข้าจะพูดกับนางเอง" ฮ่องเต้เห็นว่าเส่เยี่ยกำลังอารมณ์ไม่ดี ถึงพูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงสั่งให้ทุกคนออกไปก่อน
เมื่ออยู่ในห้องเพียงลำพังสองคนแล้ว ฮ่องเต้ก็นั่งลงข้างๆ เส่เยี่ย ตอนนี้หญิงสาวหลับตาและเอามือปิดหูไว้แน่น "ไม่เป็นไรแล้วนะ" ชายหนุ่มค่อยๆ คลายมือของหญิงสาวออก "หม่อมฉันไม่อยากรักษา" หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เรารู้ๆ" คังซื่อค่อยๆ โน้มศีรษะของหญิงสาวลงมาหนุนกับไหล่กว้างของตน "เจ้าไม่ต้องคิดมากนะ อะไรที่เจ้าไม่สบายใจ ไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ" ชายหนุ่มพูดปลอบ พร้อมกับลูบผมของหญิงสาวเบาๆ "แต่พวกเขาชอบบังคับจิตใจข้า" หญิงสาวพูดไปน้ำตาซึม นางเอียงหนุนไหล่อันอบอุ่นนั้น "ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเจ้าไง" "แต่ว่า..." "เอาหล่ะๆ ไม่ต้องคิดมากแล้ว เดี๋ยวเราจะออกไปอธิบายกับทุกคนเอง ในเมื่อเจ้าไม่อยากรักษา ก็ไม่ต้องรักษา ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร เราจะตามใจเจ้าทุกอย่าง" คังซื่อให้สัญญากับหญิงสาว "จริงนะเพคะ" หญิงสาวถามเขาด้วยหัวใจที่สั่นไหว เส่เยี่ยเริ่มรู้สึกไว้ใจคนๆ นี้แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เลย
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
คังซื่อปล่อยให้เส่เยี่ยพักผ่อนอยู่ในห้อง ส่วนเขาก็ออกมาพบกับคนอื่นที่รออยู่ด้านนอก
"เป็นอย่างไรบ้างเพคะฝ่าบาท" เจ้าหยาจือเห็นฮ่องเต้เดินออกมาก็รีบวิ่งเข้าไปถาม คังซื่อได้แต่ส่ายหัว "ต้องขอโทษไต้ซือด้วยที่เสียมารยาท" คังซื่อรีบกล่าวขอโทษที่เขาไล่ไต้ซือออกมา แถมเส่เยี่ยยังพูดจาดูถูกท่านอีก "อมิตาพุทธ คนไข้ที่ข้ารักษาตอนแรกก็เป็นแบบนี้ทุกคน" ไต้ซือยิ้มอย่างเป็นกันเอง "ว่าแต่ไต้ซือ ท่านแน่ใจหรือว่าเส่เยี่ยป่วยเป็นโรคที่ท่านว่าจริงๆ" คังซื่อถามอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจ "อืม" ไต้ซือพยักหน้า "แล้วจะรักษายังไง ในเมื่อนางไม่ยอมให้ความร่วมมือแบบนี้" หลินกุเหนียงถามขึ้น "ในเมื่อนางไม่อยากรักษา เราก็ไม่อยากขัดใจนาง" คังซื่อตอบ คนอื่นก็หันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย "แต่ตามใจกันแบบนี้ ไม่เป็นผลดีกับเส่เยี่ยเลยนะเพคะ" เจ้าหยาจือท้วงเขา "ตอนนี้น้ำกำลังเชี่ยว เราไม่อยากเอาเรือเข้าไปขวาง หากเส่เยี่ยรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกบังคับ จะยิ่งเตลิดไปกันใหญ่" ฮ่องเต้อธิบาย "อืม ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ก็มีเหตุผล เรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้ จะให้คนไข้พูดถึงความเจ็บปวดในใจ ก็ต้องรอให้เขาพร้อมและรู้สึกไว้ใจคนรอบข้างจริงๆ" ไต้ซือเองก็เห็นด้วยกับความคิดของฮ่องเต้ "งั้นเราก็พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปพูดอะไรให้เส่เยี่ยไม่สบายใจ ท่านอาหญิง ช่วงนี้เราอาจจะไม่ค่อยว่าง ยังไงฝากเส่เยี่ยด้วยก็แล้วกันนะ" คังซื่อพูดฝากเส่เยี่ยไว้กับเจ้าหยาจือ เหมือนจะรู้ว่าต่อไปคงจะมีโอกาสมาหานางน้อยลง
วันนี้เขายังเหลืออีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากพยายามดูก่อน ดีกว่าปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไปเฉยๆ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
บ่ายวันนั้น ณ ตำหนักไทเฮา
ไม่ต้องสงสัยเลย ทันทีที่ไทเฮาทรงทราบเรื่องของเส่เยี่ย ก็โวยวายจนวังเกือบแตก
"ฮ่องเต้เสียสติไปแล้ว!!! คนพิการจะเอามาเป็นฮองเฮาได้อย่างไร!!!" ไทเฮาดุคังซื่อแล้วก็นั่งลงกุมขมับ ทำไมลูกชายคนนี้ถึงได้ชอบทำอะไรขัดใจนางอยู่เรื่อยนะ อุตส่าห์กำจัดปิงเยี่ยไปได้คนแล้ว นี่ดันมีเส่เยี่ยโผล่ขึ้นมาอีก อยากจะเป็นลมจริงๆ "เสด็จแม่ ความจริงตาของเส่เยี่ยอาจพอมีทางรักษาได้ หม่อมฉันได้เชิญ..." ฮ่องเต้พยายามจะอธิบาย แต่พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ถูกไทเฮาแทรกขึ้นก่อน "แม่ไม่สนว่านางจะตาบอดหรือตาดี!!! ต่อให้นางไม่ได้พิการ ก็เป็นเพียงหญิงคณิกา แล้วฮ่องเต้จะไปอภิเษกกับหญิงคณิกาต่ำๆ พรรณนั้นได้อย่างไร" ไทเฮาพูดจบแล้วก็ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา นางยกพิมเสนขึ้นดมให้หายใจสะดวกขึ้น พวกนางกำนัลก็รีบวิ่งเข้ามาปรนนิบัติพัดวีกันใหญ่ ฝ่ายคังซื่อพอได้ยินเช่นนั้น ก็พยายามจะอธิบายว่าเส่เยี่ยไม่ใช่นางโลมอย่างที่ไทเฮาคิด "เส่เยี่ยไม่ใช่นางคณิกานะพะย่ะค่ะ!!! นางแค่บังเอิญ..." "บังเอิญอะไร!!! ถึงจะไม่ใช่นางโลม แต่ก็ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ฮ่องเต้จะอภิเษกกับสามัญชนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าไม่ได้ กฏมณเทียรบารแค่นี้เจ้าไม่รู้งั้นหรือ" ไทเฮาทุบโต๊ะดังปัง!!! นางขึ้นเสียงสูงด้วยความไม่พอใจ "แต่หม่อมฉันรักเส่เยี่ยเขาจริงๆ ในเมื่อหม่อมฉันเป็นฮ่องเต้ ทำไมจะเปลี่ยนกฏไม่ได้หล่ะพะย่ะค่ะ" ชายหนุ่มเถียงเสียงแข็ง แม้จะรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แต่เขาจะไม่ยอมสูญเสียความรักครั้งนี้ไปแน่ ส่วนไทเฮาพอได้ยินฮ่องเต้พูดเช่นนี้ก็กริ้วมาก ไม่คิดว่าคำพูดไร้เดียงสาเช่นนี้ จะหลุดออกมาจากปากฮ่องเต้ได้ "คังซื่อ!!!นี่เจ้า!!!" ผู้เป็นมารดาโกรธจนสั่นไปหมดทั้งตัว นางตะคอกเสียงดัง พวกนางกำนัลตกใจถอยไปรวมกันอยู่ด้านหลัง "ถึงฝ่าบาททรงเปลี่ยนกฏได้ แต่ทรงเปลี่ยนสายเลือดในตัวไม่ได้!!! หากยังนับถือว่าข้าเป็นแม่ของเจ้า ก็อย่านำเรื่องผู้หญิงคนนี้มาพูดกับแม่อีก จำไว้ แม่จะไม่มีวันยอมให้ฮ่องเต้ไปแต่งกับผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่น!!!" คราวนี้ไทเฮาตัดสินใจยื่นคำขาด ขืนยอมอ่อนให้ มีหวังต้องได้ลูกสะใภ้เป็นหญิงคณิกาแถมยังตาบอดแน่ แค่คิดนางก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว "แต่ว่าเสด็จแม่..." "พอแล้ว!!!!!!!!!" ไทเฮาตวาดลั่นแล้วก็เซล้มลงบนเก้าอี้ "องครักษ์จั๋วพาฮ่องเต้ออกไปเดี๋ยวนี้!!!" ไทเฮาเอามือกำที่หัวใจเหมือนจะหายใจไม่ทัน คังซื่อเห็นไทเฮาอาการไม่ดี ก็พยายามจะเข้าไปดูผู้เป็นมารดา แต่องครักษ์จั๋วก็เข้ามาห้ามไว้ก่อน "ฝ่าบาททรงออกไปก่อนเถอะ!!! ตอนนี้ไทเฮากำลังกริ้ว ฝ่าบาทยิ่งอยู่ นางจะยิ่งแย่ลงนะพะย่ะค่ะ!!!" องครักษ์จั๋ว องครักษ์เหอ และหลินกุเหนียงก็พากันฉุดลากฮ่องเต้ออกมาจากห้องไทเฮาจนสำเร็จ แต่ละคนพากันหอบแฮก เห็นตัวบางๆ แบบนี้ แต่ก็แรงเยอะเหมือนกัน
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
อีกด้านหนึ่ง ณ ดินแดนทางตอนเหนือ
กงซุนเช่อวางแผนให้ทุกคนออกตามหาเส่เยี่ยโดยใช้ภาพวาดที่เขาวาดขึ้น ชีเส้าเฟยรับผิดชอบไปค้นหาทางใต้ อ้อมหมิงเจิ้งไปทางตะวันออก ลู่เสี่ยวฟงไปทางตะวันตก และจิวแปะทงไปทางเหนือ ส่วนตัวกงซุนเช่อเองซึ่งไม่มีวรยุทธรอประจำการอยู่ที่ร้านเหล้าฉีถิง คอยฟังข่าวจากทิศต่างๆ และเผื่อเส่เยี่ยจะวกกลับมาที่ร้านด้วย
เวลาผ่านไปสองวัน ดูเหมือนว่าแผนการณ์ของกงซุนเช่อจะใช้ไม่ได้ผลเลย ทุกวันแต่ละคนจะพากันเดินคอตกกลับมา ไม่มีใครได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับเส่เยี่ยเลย เพราะตอนที่หญิงสาวหายตัวไปนั้น เป็นช่วงเวลาเช้ามืด จึงไม่มีใครพบเห็นนาง
ณ ร้านเหล้าฉีถิง ตอนนี้ตะวันตกดินแล้ว
ขณะที่กงซุนเช่อนั่งรอทุกคนด้วยใจกระสับกระส่าย เขาก็หยิบภาพเส่เยี่ยขึ้นมาดู เขารู้สึกเหมือนกับว่าเคยเจอนางที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ จิวแปะทงกับชีเส้าเฟยก็กลับมาที่ร้านเป็นกลุ่มแรก ไม่ต้องสงสัยเลย เห็นหน้าพวกเขาก็รู้แล้วว่าไม่พบเส่เยี่ย กงซุนเช่อไม่ซักไซร้อะไรมากมาย เขาตบบ่าชีเส้าเฟยเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ
ฝ่ายลู่เสี่ยวฟงซึ่งเดินมาจากทางทิศตะวันตก พบกับอ้อมหมิงเจิ้งที่หน้าร้านก็ยิ้มหวานให้ แต่หญิงสาวกลับทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา พอทั้งสองคนกำลังจะเข้าก้าวประตูพร้อมกัน ลู่เสี่ยวฟงก็แกล้งเดินเข้าไปใกล้ๆ อ้อมหมิงเจิ้ง ทำให้นางต้องเบี่ยงตัวหลบจนไปสะดุดเข้ากับมุมประตู หญิงสาวเสียหลักกำลังจะถลาลงสู่พื้น ลู่เสี่ยวฟงเห็นจังหวะเหมาะจึงใช้วิชาตัวเบาโฉบขึ้นไปรับอ้อมหมิงเจิ้งไว้ได้ทัน ชายหนุ่มหมุนตัวสองรอบก่อนลงสู่พื้น (ท่าประจำตัว เอาไว้ใช้ตอนจีบสาว) ฝ่ายอ้อมหมิงเจิ้งพอรู้ตัวว่าอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ก็รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก นางรีบผละตัวออกจากลู่เสี่ยวฟงอย่างรวดเร็ว ลู่เสี่ยวฟงเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งได้ใจ เขาแกล้งยักคิ้วยั่วให้อ้อมหมิงเจิ้งโกรธ ยังไม่ทันที่อ้อมหมิงจะได้โวยวาย กงซุนเช่อก็วิ่งเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก "นึกออกแล้ว!!! ข้านึกออกแล้ว!!!" กงซุนเช่อจับไหล่ลู่เสี่ยวฟงเขย่าด้วยความดีใจ "อะไร อะไร พี่รอง ท่านนึกอะไรออกงั้นเหรือ" ลู่เสี่ยวฟงขมวดคิ้ว สงสัยว่าหัวหน้ารองเป็นอะไรไป อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาดีใจเช่นนี้ "ก็แม่นางเส่เยี่ยไง ข้านึกออกแล้วว่าเคยพบนางที่ไหน!!!" กงซุนเช่อตอบเสียงดังด้วยความมั่นใจ ทำเอาชีเส้าเฟยซึ่งนั่งซึมอยู่ลุกขึ้นมาซักถามไม่หยุด "พี่รองท่านเคยเห็นเส่เยี่ยงั้นเหรอ ที่ไหนกัน!!!" "ที่เมืองหลวง" "เมืองหลวงงั้นเหรอ" ชีเส้าเฟยขมวดคิ้ว "อืม" กงซุนเช่อพยักหน้า "พี่รอง ท่านเห็นนางเมื่อไหร่" ชีเส้าเฟยคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเส่เยี่ยไม่เคยไปเมืองหลวง ตลอดชีวิตของนางอาศัยอยู่กับพ่อที่หมู่บ้านหลิวเท่านั้น "ก็ตอนที่ข้าไปสอบจอหงวนไง ตอนนั้นพวกท่านไปตามหาข้าที่เมืองหลวง จากนั้นหัวหน้าใหญ่ ท่านก็แยกไปก่อน เหลือเพียงข้าและน้องสี่ วันนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาเหมือนกับแม่นางเส่เยี่ยเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ที่ข้าจำนางได้ก็เพราะว่านางสะดุดคานประตูล้มลง แต่น้องสี่ใช้วิชาตัวเบาโฉบเข้าไปรับนางไว้ได้ทัน แบบที่รับหงเผาเมื่อครู่นี้นี่แหละ ข้าถึงได้นึกออกยังไง" กงซุนเช่ออธิบายเสียยาว คนอื่นๆ ฟังแล้วก็พยักหน้าเป็นอันเข้าใจ "อ๋ออออออ!!! ใช่ๆๆ ใช่แล้วแม่สาวน้อยคนนั้นนั่นเอง จริงด้วยพี่รอง นางเหมือนแม่นางเส่เยี่ยมากๆ ข้าจำได้แล้ว ท่านนี่ความจำดีจริงๆ นับถือ นับถือ" ลู่เสี่ยวฟงนึกออกแล้วก็ลากเสียงอ๋อซะยาว จากนั้นเขาก็หยิบภาพวาดของเส่เยี่ยขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยกับกงซุนเช่อ ส่วนชีเส้าเฟยก็ยืนเงียบสนิท "พอเป็นเรื่องผู้หญิง ก็นึกออกทันทีเลยนะ สมแล้วที่เป็นเจ้าจริงๆ" อ้อมหมิงเจิ้งมองลู่เสี่ยวฟงด้วยหางตาแล้วก็ค้อนให้เขา "ทำไม หึงข้าเหรอ" ลู่เสี่ยวฟงกระแซะเข้ามาใกล้ๆ อ้อมหมิงเจิ้งแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยให้นาง "หึงบ้านเจ้าหน่ะสิ!!! เจ้าจะไปหว่านเสน่ห์ที่ไหน เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย!!!" "กลัวแต่บางคน ปากไม่ตรงกับใจมากกว่า" ลู่เสี่ยวฟงพูดแล้วก็ยักคิ้วให้นางอย่างเป็นต่อ "ปากข้าจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของข้า แต่ขืนพูดมาก ปากเจ้าจะมีสีแน่!!!" อ้อมหมิงเจิ้งทำท่ากำมัดใส่ลู่เสี่ยวฟง "เออ เจ้าสองคนนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ คนหนึ่งก็ปากจัด คนหนึ่งก็ปากเสีย ราวกับว่าสวรรค์ส่งเจ้าสองคนมาคู่กันยังไงไม่รู้ ข้ารู้สึก" จิวแปะทงเห็นสองคนเถียงกันก็อดแซวไม่ได้ "ปากท่านสิจัด!!!" "ปากท่านสิเสีย!!!" ทั้งลู่เสี่ยวฟงและอ้อมหมิงเจิ้ง หันไปดุใส่จิวแปะทงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย "อ๊ะๆๆ ดูสิ ขนาดจะด่าข้า ยังใจตรงกันเลย เจ้าสองคนต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ" จิวแปะทงเห็นเช่นนั้นก็ตบมือหัวเราะชอบใจเหมือนเด็กๆ ส่วนอ้อมหมิงเจิ้งยืนหน้าเขียวด้วยความโกรธ "เอาหล่ะๆ ทุกคน อย่าเพิ่งเล่นเลย หัวหน้าใหญ่ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้" กงซุนเช่อดุคนอื่นๆ แล้วก็หันไปถามชีเส้าเฟยที่ยืนนิ่งอยู่ "ปั๊ดโธ่ ยังจะต้องคิดอะไรมาก ก็จับพวกเขาสองคนเข้าหอไปเลย อยู่ๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันไปเองหล่ะน่า" จิวแปะทงทำท่าขึงขังเอาจริงเอาจัง "เฮ๊ยยย นักพรตจิว พี่รองไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!!! พี่รองกำลังพูดถึงแม่นางเส่เยี่ยต่างหาก" ลู่เสี่ยวฟงตกใจจนแทบจะกระโดด ขืนให้เขาแต่งงานกับอ้อมหมิงเจิ้งจริงๆ มีหวังน่วมทั้งวันแน่ "อ้าวเหรอ เออๆ งั้นตกลงเจ้าจะว่ายังไง... หล่ะคะ... ลุงชี..." จิวแปะทงหันไปถามชีเส้าเฟย แล้วก็แกล้งลากเสียงยาวๆ ให้เหมือนกับเส่เยี่ย เลยโดนอ้อมหมิงเจิ้งกระทุ้งหลังไปทีหนึ่ง จิวแปะทงนี่ช่างเหมือนกับเด็กๆ เสียจริง เล่นอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ชีเส้าเฟยกำลังเครียดอยู่แท้ๆ "พี่รอง ข้าว่าท่านคงจำผิดคนแล้วหล่ะ ตอนที่ท่านพบกับเส่เยี่ย ก็เป็นเวลาไล่ๆ กับที่ข้าพบนางที่หมู่บ้านหลิวเช่นกัน ข้อแรก นางไม่มีทางปรากฏตัวพร้อมกันสองแห่งในเวลาเดียวกัน ข้อสอง ข้ามั่นใจว่าเส่เยี่ยไม่เคยไปเมืองหลวง ตลอดชีวิตของนางอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหลิวแห่งเดียวเท่านั้น" ชีเส้าเฟยตอบด้วยสีหน้านิ่ง ทำเอาคนอื่นพลอยเครียดตามไปด้วย กงซุนเช่อรู้สึกผิดหวังมากที่สุด อุตส่าห์คิดว่ามีเบาะแสแล้วเชียว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปได้ แล้วทีนี้จะไปตามหาแม่นางเส่เยี่ยได้ที่ไหน ค้นหาจนรอบทิศแล้วก็ยังไม่พบร่องรอยอะไรเลย ความหวังที่ชีเส้าเฟยกับเส่เยี่ยจะได้พบกัน มันช่างดูริบหรี่ลงไปทุกทีๆ
ขณะที่ทั้งหมดกำลังยืนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่นั้น ก็มีชายชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังโรงเตี๊ยม ร่างกายของเขามอมแมม เต็มไปด้วยคราบเลือด หน้าตาดูตื่นตระหนกราวกับเจอผีมา พอชายหนุ่มมองเห็นชีเส้าเฟย ก็รีบคลานเข้าไปหา "ท่านคือจอมยุทธชีใช่หรือไม่ ช่วยพวกเราด้วย... ช่วยพวกเราด้วย..." ชายหนุ่มคนนั้นโขกศีรษะกับพื้นแล้วก็ขอร้องชีเส้าเฟยอย่างน่าสงสาร ชีเส้าเฟยไม่มีท่าทีว่าจะรังเกียจชายผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขาประคองร่างของชายผู้นั้น แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ณ จวนอ๋องถูจิ้น
วันนี้โต๊ะอาหารซึ่งมีเพียงเจ้าหยาจือและเส่เยี่ยเงียบผิดปกติ เส่เยี่ยกินข้าวไปได้คำสองคำก็วางตะเกียบลงแล้วขอตัวไปพักผ่อน เจ้าหยาจือเห็นว่านางไม่ค่อยสบายใจจึงไม่ซักไซร้อะไรมาก
ฝ่ายเส่เยี่ย หลังจากเข้ามาในห้องนอนแล้วก็กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ จังหวะที่นางกำลังจะก้าวลงจากเตียง ก็มีเสียงของหล่นกระทบกับพื้น เส่เยี่ยก้มลงเอามือควานหาของที่หล่น จนพบกับถุงผ้าอันหนึ่ง เส่เยี่ยหยิบมันขึ้นมา นางพิจารณาด้วยความสงสัย ของชิ้นนี้หาได้เป็นของนางไม่ ถ้าเช่นนั้นแล้วมันเป็นของใคร หญิงสาวจับถุงผ้านั้นพลิกไปพลิกมา ก็พบว่าภายในถุงมีใส่วัตถุคล้ายหยกอยู่ข้างใน นางค่อยๆ เทหยกชิ้นนั้นออกจากถุงผ้า แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าหยกข้างในถุงนี้เป็นหยกที่มีเพียงครึ่งเดียว
นึกว่าในโลกนี้ มีเพียงแต่นางเท่านั้น ที่พกหยกหักๆ ไว้กับตัว...
หยกครึ่งชิ้นที่ผูกอยู่กับเอวของเส่เยี่ยนั้น เป็นหยกซึ่งผู้เป็นบิดาให้นางไว้ตั้งแต่สี่ขวบ ท่านพ่อเคยบอกกับนางว่าเจ้าของหยกชิ้นนี้คือผู้มีบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ไม่นึกเลยว่าหลายสิบปีต่อมา นางจะได้พบชายคนนั้นอีกครั้ง ถูกต้องแล้วเจ้าของหยกชิ้นนั้นก็คือชีเส้าเฟยนั่นเอง เส่เยี่ยปลดหยกที่ผูกไว้กับเอวของตนขึ้นมาแนบไว้กับอก ป่านนี้เจ้าของหยกจะเป็นอย่างไรบ้างนะ นางคิด...
แล้วอยู่ๆ หญิงสาวก็สังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง นางเอาหยกชิ้นที่เป็นของชีเส้าเฟยและหยกที่นางเพิ่งเก็บได้จากที่พื้น ขึ้นมาทาบกันช้าๆ และหญิงสาวก็ตกใจจนหน้าซีดเมื่อพบว่าหยกทั้งสองชิ้นต่อกันจนสนิท ราวกับว่าเคยเป็นหยกชิ้นเดียวกันมาก่อน เพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง เส่เยี่ยจับหยกทั้งสองชิ้นพลิกไปพลิกมา ซ้ายขวาหน้าหลัง แต่สุดท้ายแล้วมันก็สามารถต่อกันได้สนิทจริงๆ อีกทั้งพอสัมผัสดูแล้ว จะรู้ว่าเนื้อวัสดุของหยกทั้งสองชิ้นนี้ก็เหมือนกันมากๆ เส่เยี่ยได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย นางมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง
หยกชิ้นที่อยู่ในถุงผ้านี้เป็นของใครกันแน่ แล้วทำไมมันถึงได้ต่อเข้ากับหยกของลุงชีได้สนิทเช่นนี้ ...
เส่เยี่ยพยายามเรียบเรียงความคิด นางค่อยๆ คิดหาคำตอบว่าหยกชิ้นนี้เป็นของใคร นางนึกถึงคนที่เข้ามาในห้องนี้ ก็มีเพียงแค่เจ้าหยาจือ ไต้ซือ และองครักษ์ทั้งสาม แต่คนที่เข้ามานั่งบนเตียงของนาง มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือฮ่องเต้นั่นเอง เขาเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องไป เจ้าหยกครึ่งชิ้นนี้จะใช่ของเขาหรือไม่ หากใช่แล้วเขาไปได้หยกชิ้นนี้มาจากไหน ทำไมมันถึงได้เหมือนกับของชีเส้าเฟย หรือว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกัน คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของหญิงสาว
หากมันมีอะไรอยู่เบื้องหลังหยกสองชิ้นนี้หล่ะก็ นางจะต้องรู้ความจริงให้ได้...
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
Create Date : 15 มกราคม 2552 |
|
73 comments |
Last Update : 19 มีนาคม 2560 1:52:48 น. |
Counter : 1410 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มกราคม 2552 10:10:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มกราคม 2552 10:13:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มกราคม 2552 10:13:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มกราคม 2552 10:14:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มกราคม 2552 10:15:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มกราคม 2552 10:15:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มกราคม 2552 10:16:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 16 มกราคม 2552 21:14:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 16 มกราคม 2552 21:21:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 16 มกราคม 2552 21:23:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 16 มกราคม 2552 21:33:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 16 มกราคม 2552 21:47:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: tomtam IP: 124.121.160.94 16 มกราคม 2552 23:05:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 17 มกราคม 2552 0:21:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 17 มกราคม 2552 0:23:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 12:12:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 12:13:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 12:15:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 12:18:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 12:20:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 16:08:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 16:10:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 17 มกราคม 2552 16:13:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทับทิม IP: 125.26.41.136 17 มกราคม 2552 19:58:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 17 มกราคม 2552 21:00:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 10:04:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 10:08:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.140.21 18 มกราคม 2552 18:18:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 18 มกราคม 2552 20:13:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 20:15:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 20:17:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.140.21 18 มกราคม 2552 21:12:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 21:39:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 21:42:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 18 มกราคม 2552 21:49:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 18 มกราคม 2552 21:53:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 22:08:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 22:10:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 18 มกราคม 2552 22:14:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.140.21 18 มกราคม 2552 22:17:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 58.9.167.174 18 มกราคม 2552 22:53:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 58.9.167.174 18 มกราคม 2552 22:58:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 19 มกราคม 2552 8:25:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 19 มกราคม 2552 8:48:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 19 มกราคม 2552 9:40:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 19 มกราคม 2552 12:17:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.149.161 19 มกราคม 2552 19:37:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทับทิม IP: 125.26.41.49 19 มกราคม 2552 21:00:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.149.161 19 มกราคม 2552 21:09:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 19 มกราคม 2552 21:15:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.147.188 19 มกราคม 2552 22:10:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.147.188 19 มกราคม 2552 22:17:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 19 มกราคม 2552 22:23:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 19 มกราคม 2552 22:29:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cipher IP: 58.8.147.188 19 มกราคม 2552 22:56:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 19 มกราคม 2552 23:22:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: cipher IP: 203.155.7.254 20 มกราคม 2552 9:20:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: แฟนจื้อหลิน IP: 125.27.164.23 20 มกราคม 2552 20:06:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เดี๋ยวขอวิ่งปรู๊ดไปหาเพลงเหมาะๆ ก่อนนะคะ
รักจื้อหลินและคนอ่านนะ จุ๊บๆ