Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2550
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 

เรือนไทยภาคกลาง












เจี๊ยบพูดคุย

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ วันนี้เข้ามา Update Blog

ตามปกติไม่มีอะไรมากค่ะ เพื่อนๆ จะอ่านหรือ

ไม่อ่านก็ไม่เป็นน่ะค่ะ เพราะรู้ว่ามันยาว แต่ใน

ส่วนตัวชอบอะไรก็อยากให้เพื่อนๆ รู้ด้วยเจี๊ยบ

เป็นคนชอบเพลงเก่า ชอบบ้านทรงไทยเก่าๆ

แต่ไม่มีปัญญามี ฝันไปก่อนน๊า เป็นเรื่องเล่าที่

บอกต่อกันมา เจี๊ยบเห็นน่าสนใจดี เลยเอามา

ให้เพื่อนๆ อ่าน เผื่อจะมีใครสนใจเหมือนเรา

ปล. เรื่องบ้านเรือนไทยนี้ เอามาจาก Blog เก่าค่ะ

นำมาปัดฝุ่นใหม่ ยังใช้ได้น่ะค่ะเพื่อนๆ บางคนได้

อ่านมาบ้างแล้วก็ไม่เป็นไรน่ะค่ะ ขอบคุณน่ะค่ะ










บทความ

ขอเล่าเรื่อง 10 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจเป็นแฟน


ขอเล่าเรื่อง 10 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจเป็นแฟนกับใครสักคน

(Top 10 : Things To Know About Your Love) เพื่อเป็น

แนวทาง ก่อนตัดสินใจเลือกคู่แท้ปาฏิหาริย์ มาร่วมเรียงเคียงหมอน ดังนี้

1. ความฝันและความปรารถนาของว่าที่แฟนเป็นอย่างไร แล้วที่เจอ

แล้วน่ะนิสัยตรงสเปกไหม?

ถ้าชายใดอยากได้แฟนเป็นแม่บ้านแม่เรือน และเป็นฝ่ายรับเหมางาน

บ้านไปรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หนุ่มๆก็ควรสังเกตเอาก็ได้ ว่าสาวที่

เขาคบหาอยู่ เธอชอบงานบริการสมาชิกในครอบครัวเป็นชีวิตจิตใจรึ

เปล่า ไม่ใช่รักที่จะเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน ตลอดเวลา ก็คงอุทิศชีวิตให้กับ

อาชีพการงานมากกว่าตรงข้าม หากคุณเป็นหญิงที่ปรารถนาคู่ครอง

เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง แต่ไอ้ที่มีอยู่ดูแล้วไม่ค่อยอยากรับผิด

ชอบอะไร เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรับผิดชอบไม่ได้ เช่น เสื้อผ้าใส่

แล้วก็ทิ้งกองไว้เป็นเดือนหรือจานชาม กินแล้วก็ทิ้งไว้จนแมลงสาบ

แทะล่ะก็ จะยอมเสี่ยงเลือกคนนี้ เป็นแฟนไหมล่ะ

2. ให้ความสำคัญกับวันสำคัญของเราไหม?

เช่น ครบรอบวันที่สารภาพรักครั้งแรก, วันคล้ายวันเกิด, จูบครั้งแรก

หรือวันออกเดทแรก เหล่านี้ถือเป็นวันสำคัญยิ่งสำหรับผู้หญิง และเธอ

ก็คาดหวังว่าแฟนก็ควรจำได้ด้วย แม้จำได้ไม่หมดแต่จำได้ บ้างก็ยังดี

เพราะงี้ถ้าคุณเป็นฝ่าย "ไม่เอาไหน" ในเรื่องความจำ แต่ดันไปรักไป

ชอบกับคนจำแม่น จำเก่งล่ะก็ ถ้ายังไปกันรอดก็เชื่อเค้าเลย แต่ถ้ารีบ

ปรับตัวก็ยังพอทำเนา

3. สุขภาพเป็นอย่างไร?

คนที่คุณชอบพออยู่นั้น มีปัญหาสุขภาพด้านใดอยู่หรือเปล่า? เช่น

เป็นมะเร็ง, เป็นลูคิเมีย หรือเป็น เอดส์ไหม ถ้ารู้ล่วงหน้าจะได้หาทาง

ช่วยเหลือได้ทัน แต่หากเป็นเอดส์นี่ก็น่าคิดนะว่ายังควรจะเอามาทำแฟน

อีกเหรอ อย่าว่าแต่เอดส์เลย ที่ควรระวัง เพราะแม้แต่โรคซิฟิลิส หรือโรค

ทางเพศสัมพันธ์ก็ควรถอนตัวไปซะเถอะ แต่ถ้าไม่สบายอย่างอื่น เช่น เจ็บ

คอเป็นหวัดอะไรเงียะ ควรประคบประหงมดูแลต่อไป คนเราลองจะเป็นคู่

ทุกข์คู่ยากของกันและกันก็ควรเอาใจใส่หน่อยเด้

4. ประวัติครอบครัวเป็นไงบ้าง?

คนที่คุณชอบพอนั้น เค้ามีความรักความผูกพันหรือขัดแย้งกับใครเป็นพิเศษ

ในครอบครัวหรือเปล่า? สมาชิกในครอบครัวของเค้าลงรอย กันไหม? ถ้า

ไปเจอคนที่สมาชิกในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันดี ก็น่าจะส่อเค้าที่ดีว่า

เค้าน่าจะเป็นคนรักครอบ-ครัว และให้ความสำคัญของครอบครัวนะ ว่าแต่

ต้องตรองดูเหมือนกันนะว่า ครอบครัวไหนที่เค้ารักมากกว่ากัน เอ๊ะ จะเป็น

ครอบครัวเดิม หรือครอบครัวใหม่ที่คุณทั้งคู่กำลังจะเริ่มต้นด้วยกัน...ฮ้ะ

5. ความเลื่อมใสและศรัทธา พอจะไปกันได้ไหม?

เชื่อไหมว่า แม้คนที่มีความแตกต่างกันสุดขั้ว แต่ถ้าเปิดใจกว้างและมีความ

เข้าใจซึ่งกันและกัน คู่รักคู่นั้น ก็สามารถครองรักกันได้ตลอดรอดฝั่งแน่นอน

เหตุนี้ ถ้ายังมีอะไรที่เข้าใจไม่ตรงกัน ก็ควรคุยกันก่อนจะได้ไม่เสียใจทีหลัง

6. ชอบและไม่ชอบอะไรบ้าง?

สถานที่ท่องเที่ยวแบบไหนที่คนที่คุณแอบรักชอบบ้างน้า? จะได้ดอดไป

เที่ยวกันสองต่อสองไง หรืออาหารจานเด็ดประเภทใดที่เราชอบเหมือนๆกัน

จะได้ หิ้วกันไปดื่ม ดริงก์ เจี๊ยะจ๊าบกันให้อร่อยเหาะสักที ถ้าชอบอะไรคล้าย

กันมันก็ดีไปอย่าง เพราะจะได้ไปไหนมาไหนหรือมีกิจกรรมร่วมกันดีออก

แต่ถ้ามีที่ชอบไม่เหมือนกัน ก็อย่าได้ถอดใจตีจากกันไปซะก่อน เพราะ

บางทีการเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบต่างกันอาจส่งผลดีกว่าในแง่ที่จะได้เปิด

โลกทัศน์ ใหม่ๆก็ได้นะ

7. งานอดิเรกชอบทำอะไร?

เค้าชอบทำอะไรยามว่างบ้างล่ะ ดูหนังฟังเพลง หรือชอบไปเดินเล่นตาม

สวนสาธารณะ แล้วช็อปปิ้งไปด้วย หรือนิยมไปออกกำลังกายยืดเส้นยืด

สายที่โรงยิมหรือฟิตเนส บางคนชอบไปเล่นตีแบด หรือหวดลูกสักหลาด

ก็ขึ้นอยู่กับความถนัด งานอดิเรกเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยบอกให้รู้ได้ว่า คุณกับ

เค้าจะไปกันได้ไหม?

8. ความต้องการทางร่างกาย

เค้ามีแรงขับทางเพศแบบนักรักบันลือโลก หรือแบบขันทีที่ไม่ค่อยอยาก

ร่วมรัก (แต่เอ บางคนอาจมีอารมณ์เยอะ ทว่า ไม่ค่อยได้ออกกายบริหารก็

ได้นะ) กันแน่? ซึ่งแรงสิเน่หาอยากร่วมรักนี่แหละเป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณา

ชั่งใจกันให้ถี่ถ้วน เพราะถ้าเค้าเซ็กซ์จัดเหลือเกิน วันๆเอาแต่คิดถึงเรื่อง

หลีสาว แถมยังสะสมวีซีดีเอ็กซ์ไว้เพียบ ตรงข้าม คุณกลับเฉยๆชาๆกับ

ความต้องการในด้านนี้ ขืนจับคู่กันระวังจะเกิดความ ไม่สมดุลทางเพศ

ได้นะ หรือถ้าคุณเป็นจอมหื่น แต่เค้าไม่ชีกอแถมยังไม่ปึ๋งปั๋งปรู๊ดปร๊าด

ก็ยากที่จะไปกันได้ดี เฮ้อ! มีรักทั้งทีก็กลับมีเรื่องเซ็กซ์มาขวางซะได้

9. การวางแผนครอบครัวก่อนไหม?

เอ๊ะ ถ้าร่วมหัวจมท้ายกันไป เราจะรีบมีลูกหรือชะลอไว้ก่อน เมื่อไหร่ที่พร้อม

ในด้านทรัพย์สมบัติค่อยเลิกคุมกำเนิดก็ได้นี่ ของพรรค์นี้ถ้าคุยกันอย่างเปิด

ใจก่อนก็น่าจะดี ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวคง

ได้ทะเลาะกันจนต้องเลิกราไปตามกรรมใครกรรมมันหรอก

10. การสมรส

ถึงเวลาหรือยังที่ควรจะเป็นฝั่งเป็นฝาซะที แล้วคนที่คุณคบอยู่ตอนนี้เค้า

เป็นคนที่ใช่แน่แล้วเหรอ? คุณมองเค้าแล้วเห็นอนาคตร่วมกันหรือเปล่า?

ไม่ใช่ มองเห็นแต่ความว่างเปล่า หรือเต็มไปด้วยความไม่ พร้อมของทั้งคู่

ทั้งสองพร้อมจะรักและให้อภัยในความถูกมั่งผิดมั่งของกันและกันจริงนะ

ถ้าในเมื่อยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้อยู่ ก็ขอให้เลือกด้วยหัวใจและใช้สมอง

สักนิดนึง ขืนเบื่อกันทีหลังล่ะน่าดู...

บทกลอน

กาลเวลา..ความเศร้าใจ..ผ่านไปแล้ว

หัวใจแผ้ว..ผุดผ่อง..เลิกหมองไหม้

ทิ้งอดีต..ฝันร้าย..ไปจากใจ

ลุกขึ้นใหม่..ด้วยใจสู้..ดูสักครา

เคยผ่านความ..ปวดร้าว..นานเนาว์นัก

ใจกระอัก..หวั่นไหว..สิ้นไร้ค่า

ถูกมีดรัก..กรีดหัวใจ..ให้ทรมา

ดวงวิญญา..แทบสลาย..มลายลง

หมั่นประคอง..หัวใจ..ให้สำนึก

รักร้ายลึก..หนักหนา..อย่าลืมหลง

คำจากปาก..ออกจากใจ..ไม่ซื่อตรง

อย่างวยงง..กับคำชาย..ที่หลายใจ

จึงขออยู่..อย่างเดียวดาย..ไร้ความรัก

ไม่สมัคร..เคียงครอง..ให้หมองไหม้

ถึงไร้คู่..อยู่เอกา..ยังสุขใจ

ดีกว่าชาย..ใจร้าย..หมายย่ำยึ...







เรือนไทยภาคกลาง

การตั้งหลักแหล่งชุมชนตลอดจนเรือนพักอาศัยในแต่ละภูมิภาค

แต่ละท้องถิ่น จะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์

ภูมิอากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต

สำหรับเรือนไทยภาคกลาง เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคกลางเป็น

ที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่านเป็นจำนวนมาก เรือนไทย

ภาคกลางจึงมีลักษณะเป็นเรือนชั้นเดียว ยกพื้นใต้ถุนสูง ประกอบด้วย

ห้องนอน ระเบียง และชาน ส่วนหลังคาเป็นทางจั่วสูง มุงด้วยกระเบื้อง

ดินเผา จาก แฝก หญ้าคา และใบตองตึง และนิยมปลูกกันริมแม่น้ำลำ

คลอง เพราะในสมัยโบราณแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมหลัก

สำหรับเรือนไทยภาคกลาง เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคกลาง

เป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่านเป็นจำนวนมาก

เรือนไทยภาคกลางจึงมีลักษณะเป็นเรือนชั้นเดียว ยกพื้นใต้ถุนสูง

ประกอบด้วยห้องนอน ระเบียง และชาน ส่วนหลังคาเป็นทางจั่วสูง

มุงด้วยกระเบื้องดินเผา จาก แฝก หญ้าคา และใบตองตึง และนิยม

ปลูกกันริมแม่น้ำลำคลอง เพราะในสมัยโบราณแม่น้ำลำคลองเป็น

เส้นทางคมนาคมหลัก

เรือนไทยในอดีต

ในจดหมายเหตุของหมอแกมป์เฟอร์ ชาวเยอรมัน ซึ่งมากับเรือ

ชาวฮอลันดา เมื่อ 2233 ได้กล่าวถึงเรือนไทยในสมัยอยุธยา

ไว้ว่าบ้านคนธรรมดานั้นเป็นบ้านกระท่อม ปลูกด้วยไม้ไผ่

พื้นปูกระดานหลังคามุงจากหยาบๆ พวกขุนนางหรือเสนาบดี

และข้าราชบริพารในราชสำนักจะปลูกบ้าน วัง หรือตำหนักอยู่

ต่างหาก และบ้านซึ่งปลูกตามริมฝั่งแม่น้ำปลูกบนเสาสูงถึงฟาทอม

(1 ฟาทอมเท่ากับ 6 ฟุต) เพื่อมิให้กระแสน้ำหนักน้ำท่วมถึง

และจากจดหมายเหตุของโยส เซาเต็น พ่อค้าชาวฮอลันดา

ที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และสมัยสมเด็จ

พระเจ้าปราสาททอง ก็ได้กล่าวถึงเรือนไทยสมัยอยุธยาไว้ดังนี้

“บ้านของชาวสยามสร้างด้วยไม้หรือไม้ไผ่ตามแบบของอินเดีย

หลังคาบ้านนั้นใช้จากหรือกระเบื้องมุง เขามักยกพื้นให้สูงกว่าพื้น

ดินราว 3 หรือ 4 ฟุต บ้านหลังหนึ่งๆ มีประตูหนึ่งบาน หน้าต่าง

หลายบาน เครื่องแต่งบ้านนั้นมีน้อย มีเท่าที่จำเป็นสำหรับการ

หลับนอน บริโภคอาหารและการหุงต้มเท่านั้น คือ เสื่อ หมอน

โตก ขัน และถ้วยชาม”

โดยสรุปเรือนไทยในสมัยอยุธยาคงเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวยกพื้น

สูงใต้ถุนโปร่ง มักสร้างเป็น 3 คูหา ฝาทำเป็นกรอบใส่ลูกฟัก

หรือที่เรียกว่า “ปะกน” คูหาหนึ่งมีหน้าต่างขนาดเล็กและแคบ

เปิดเข้าภายใน บนเดือยไม้ประตูก็สร้างวิธีเดียวกัน โดยตั้งอยู่

บนพรึง และมีระเบียงสร้างขนานไปตามความยาวของตัวเรือน

หลังคาสูงชัน และคลุมลงมาถึงส่วนที่เป็นระเบียง

หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา แผ่นไม้หรือจาก ติดปั้น

ลมบนหัวแปที่หน้าจั่วของหลังคา และมีชานติดต่อถึง

ครัวและห้องน้ำ ถ้าอยู่รวมกัน 2 ครัว ก็สร้างเรือนเพิ่มขึ้น

อึกหลังหนึ่ง และมีอาคารอื่นๆ อีก เช่น หอกลาง ศาลา

พักร้อนในสวน เป็นต้น

ส่วนบ้านของขุนนางผู้ใหญ่ ลาลูแบร์ บันทึกไว้ว่า เป็นเรือน

หลังใหญ่ แต่ในเรือนหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะเจ้าบ้าน

ภรรยาหลวงกับบุตรธิดาเท่านั้น ส่วนภรรยาน้อยคนอื่นๆ

บุตรธิดาของตน และพวกทาสจะมีเรือนหลังเล็กๆ แยกกัน

อยู่ต่างหาก แต่อยู่ภายในวงล้อมรั้วไม้ไผ่ร่วมกับเรือนเจ้า

ของบ้าน แม้ว่าจะแยกกันเป็นหลายครัวก็ตาม

นอกจากนี้ ในหนังสือจดหมายเหตุรายวันของบาทหลวง

เดอชัวส์ กล่าวถึงเรือนรับรองแขกเมืองไว้ว่า

“พอเที่ยงวันก็ถึงเรือนหลังหนึ่งซึ่งเป็นเรือนหลังแรก เรือนที่

สร้างเป็นแบบเดียวกันนี้มีอยู่ 7 หลัง ปลูกไว้เคียงกันสำหรับ

คณะทูตพัก ทำด้วยไม้ไผ่ทุกหลัง ห้องหนึ่งจัดเป็นห้องประชุม

อีกห้องหนึ่งเป็นห้องสำหรับราชทูตห้องที่3 สำหรับพวกในงบทูต

ส่วนข้าพเจ้านั้นพักอยู่ที่ห้องเล็กห้องหนึ่ง ซึ่งตกแต่งไว้ค่อนข้าง

จะสวยงามอยู่สักหน่อย สังฆราช เดอเมเตลโลโปลิส ไม่ชอบ

นอนเตียงทอง เขาไปเอาไม้กระดานเรือบัลลังก์มาสองสามแผ่น

มาวางเรียงกันเข้าแล้วก็เลยนอนตากลมอยู่กลางหาวตลอดคืน

ห้องหับทุกๆ ห้องตกแต่งไว้เหมือนๆ กัน มีเตียงจีน พรมเปอร์เซีย

และฉากญี่ปุ่น..”ด้านลาลูแบร์ ชาวฝรั่งเศล ที่เข้ามากรุงศรีอยุธยา

ในแผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์มาหาราช ก็ให้รายละเอียดของ

เรือนรับรองแขกเมืองไว้ว่า“เรือนนั้นสร้างบนเสาปูฟากและลาดด้วย

เสื่อกก ไม่เพียงแต่จะใช้เป็นพื้นเรือนเท่านั้น ยังเป็นพื้นเฉลียงอีกด้วย

ห้องโถงและห้องในนั้นแขวนผ้ามีดอกดวง เพดานใช้ผ้ามัสลินขาวริม

เฉลียงเพดานลาดลงพื้นเรือนในห้องนั้นลาดเสื่อกกสาน

ลายละเอียดและเป็นมันลื่นกว่าที่ใช้ลาดพื้นเฉลี่ยง และ

ภายในห้องนอนเอกอัตรราชทูตพิเศษนั้นยังลาดพรมเจียม

ทับเสื่ออีกชั้นหนึ่ง ความสะอาดสะอ้านมีอยู่ในที่ทั่วไป

ส่วนชาวยุโรป ชาวจีน และแขกมัวร์ ที่เข้ามาอยู่ในกรุง

ศรีอยุธยา ต่างสร้างบ้านเรือนของตนเป็นตึกตามแบบนิยม

และศิลปะของชาติตน”

สรุปแล้ว บ้านเมืองไทยแต่เดิมอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้นาชนิด

การสร้างบ้านจึงใช้ไม้ในการก่อสร้างเป็นส่วนมาก เรือนไทย

ในอดีตจึงนิยมทำปั้นลมแทนช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้า

จั่วก็มิได้จำหลักลวดลายเยี่ยงหน้าบัน ยกเว้นแต่โบสถ์วิหาร

การเปรียญเท่านั้น เป็นการทำถวายสงฆ์หรือถวายเป็นพุทธ

บูชา และการก่อสร้างแบบก่ออิฐถือปูนมักเป็นตำหนัก พระมหา

ปราสาท พระอุโบสถ และวิหาร







ลักษณะเรือนไทยภาคกลาง

เรือนไทยภาคกลางที่เป็นเรือนหอของครอบครัวที่ก่อสร้าง

ตัวขึ้นมาใหม่ ประกอบด้วยเรือนนอนซึ่งมีห้องนอนและห้อง

โถงหนึ่งหลังเรือนมี 3 ช่วงเสา 2 ช่วงเสาเป็นห้องนอน

อีก 1 ช่วงเสาเป็นห้องโถง มีไว้สำหรับเลี้ยงพระ รับแขก

รับประทานอาหาร และพักผ่อน

เมื่อครอบครัวขยายตัว ลูกชายหรือลูกสาวโตขึ้นและมี

ครอบครัว โดยตกลงว่าจะอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายใดฝ่าย

หนึ่งแล้ว พ่อแม่จะปลูกเรือนให้อยู่อีกหลังหนึ่งต่างหาก

อาจสร้างขึ้นตรงกันข้ามกับเรือนพ่อแม่ โดยมีชานเป็น

ตัวเชื่อม เกิดเป็นเรือนหมู่ขึ้น

เรือนหมู่ คือเรือนปลูกอยู่ในที่เดียวกันมีหลายหลัง ในระยะ

ต่อมาเมื่อมีความเจริญแล้ว อาจมีนอกชานแล่นกลางติด

ต่อกันได้ตลอดเรือนเหล่านี้หลังหนึ่งเป็นเรือนเดิมซึ่ง

พ่อแม่อยู่ นอกนั้นเป็นเรือนหลังย่อมกว่า เป็นที่อยู่ของ

บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว

ส่วนจำนวนเรือนว่ามีกี่หลังนั้น ก็สุดแล้วแต่จำนวนบุตรสาว

ที่มีเรือนไปแล้ว โดยจะปลูกเรียงกันถัดจากเรือนเดิมออก

มาทางด้านหน้าทั้งสองข้าง เรือนหลังเดิมเรียกว่า “หอกลาง”

ส่วนเรือนนอกเรียกว่า “หอรี” เพราะปลูกไปตามยาว

ถ้ามีเรือนปลูกอีกหลังหนึ่งเป็นด้านสกัดก็เรียกว่า “หอขวาง”

ตามปกติมักกั้นฝาทั้งสามด้าน เปิดโล่งไว้แต่ด้านหน้า

สำหรับเป็นที่รับแขกเป็นทำนองเดียวกับเรือน “พะไล้”

ถ้าเรือนหมู่นี้เป็นของคหบดี มักมีเรือนโถงปลูกขึ้นหลัง

หนึ่งที่ตรงกลางชาน สำหรับเอาไว้นั่งเล่นหรือใช้เป็น

สถานที่เวลามีงาน เช่น สวดมนต์เลี้ยงพระ

สำหรับหอนั่งไม่จำเป็นต้องปลูกอยู่กลางชานเสมอไป

จะใช้เรือนที่ยังไม่มีคนอยู่และเปิดเป็นห้องโถงใช้เป็น

หอนั่งก็ได้ นอกจากนี้อาจมีเรือนหลังเล็กๆ สำหรับเลี้ยง

นก ซึ่งปลูกไว้ตรงไหนก็ได้ตามความเหมาะสมเรือนแบบนี้เรียกว่า

“หอนก” ส่วนด้านหลังของหอนั่งมักปลูกเป็นร้าน

ต้นไม้ ส่วนใหญ่นิยมปลูกไม้เถาที่ดอกมีกลิ่นหอม

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปเรือนไทยภาคกลางนิยมปลูก

เป็น 3 ห้องนอน และไม่นิยมปลูกเรือน 4 ห้อง เพราะถือ

ว่าเรือนอยู่สี่ห้องได้เดือนร้อนรำคาญ ถ้าเป็นคหบดีนิยม

ปลูกเรือนตามตะวันเป็นเรือนแฝด มีชานบ้านแล่นกลาง

หลังหนึ่งเป็นเรือนพักอาศัย 3 ห้อง เป็นห้องนอน

ห้องเก็บของ และห้องพระ

อีกหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นก็ทำแบบเดียวกันให้เป็นที่อยู่

ของบิดามารดา หรือปู่ย่าตายาย กลางชานที่แล่นกลางเรือน

นิยมสร้างเป็นเรือนโปร่ง บนนอกชานนั้นครึ่งหนึ่งเรียกกันว่า

“หอนั่งหรือหอกลาง” ใช้เป็นที่สำหรับนั่งพักผ่อนยามเสร็จ

ธุระการงานในยามเย็นหรือยามค่ำคืนก่อนจะเข้านอน

ส่วนเรือนครัวจะเชื่อมต่อกับเรือนนอนด้วยชาน ชายคา

ของเรือนทำรางไม้รองน้ำฝน ปลายรางมีตุ่มตั้งไว้ 1 ลูก

เรือนครัวนี้มีหน้าต่างด้านข้างและด้านเหนือเตาไฟ

เพื่อเปิดระบายควันไฟยามทำครัว มิให้ควันไฟจับรมควันจนดำ
























 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2550
6 comments
Last Update : 18 กรกฎาคม 2550 23:33:21 น.
Counter : 1578 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ เจี๊ยบเอาของเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ค่ะ
เพราะ Blog เก่าเลิกไปแล้วค่ะ ขอให้เพื่อนๆ มีความสุขกับการทำงานน่ะค่ะ

 

โดย: Jeab (rayasuree2526 ) 25 พฤษภาคม 2550 14:29:32 น.  

 

วันนี้บ๊อกหวานมากๆ นะคะเข้ามามดกัดเป็นแถบเลยล่ะ
อิอิอิ
แวะมาอ่านสาระดีดีที่ จขบ. นำมาฝากเจ้าค่ะ
แจ่ม

 

โดย: อุ้มสี 25 พฤษภาคม 2550 21:56:07 น.  

 

...ถ้าให้เลือกได้ อยากเลือกอยู่เรือนแบบนี้มากกว่าบ้านคอนกรีตค่ะ

รูปสวย น่าอยู่มากๆ เลยค่ะ
คุณเจี๊ยบสบายดีนะคะ

 

โดย: Love_Forget Me Not 25 พฤษภาคม 2550 21:58:28 น.  

 

ลักษณะบ้านทรงไทยนี้ทำให้ผมนึกถึงอาจารย์สถาปนิกจุฬาฯ อ.ดุษฎี เคยทำตึกที่ท่านออกแบบ อาคารเรียนรวมนิติ-นิเทศน์ ที่มีต้นโพธิ์อยู่ตรงกลางมองเห็นจากถนน

โครงการทาวน์เฮ้าส์ของฝรั่งก็มี ผมดูแล้วคล้ายกุฏิพระ ตัวเองชอบอะไรที่ทันสมัย โมเดิร์นๆ กลัวผีด้วย

ไปเที่ยวสวนสามพราน ซีเครทการ์เด้นก็ชอบเดินดูสบายใจ ร่มรื่น และ ร่มเย็นมากครับ

 

โดย: พิรฌาน 25 พฤษภาคม 2550 23:44:28 น.  

 

สวัสดีครับคุณเจี๊ยบ
เข้ามาบ้านนี้ อาโกตาลายหมกเรย อิอิ

 

โดย: smack 26 พฤษภาคม 2550 13:02:39 น.  

 

เขียนได้ยาวจริงๆ ด้วยค่ะ BG มันลายไปนิดนึงค่ะคุณเจี๊ยบ
อยากมีเรือนไทยเหมือนกันค่ะ แต่ไม่มีบุญปลูก

ขอให้มีความสุขนะคะ

 

โดย: Dublina 15 กรกฎาคม 2550 5:02:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


rayasuree2526
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






รายาสุรีย์ (เจี๊ยบ)
ยินดีต้อนรับเพื่อนๆ
ทุกคนที่เข้ามาเยี่ยม
เยียน กันเสมอขอบ
คุณสำหรับจดหมาย
หลังไมค์ยังรักและ
คิดถึงทุกคน
เสมอแล้วจะไปหา
เพื่อนๆ ทุกคนน๊า
ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ
































Start April 2007






Friends' blogs
[Add rayasuree2526's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.