Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
8 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 

วิวาห์ร้าย พ่ายรัก - 6 - เรื่องยุ่ง




“รอแป๊บนึงนะคะลุง”

เมขลายื่นหน้าไปบอกคนขับก่อนก้าวลงจากรถแท็กซี่ที่เข้ามาส่งเธอจนถึงหน้ามุขของคฤหาสน์วรเสนา เจอมารดาที่สวนข้างบ้านพอดีจึงวิ่งไปยืมเงินมาจ่ายค่าโดยสาร

“นี่มันอะไรกันยายเม” ผู้เป็นแม่มุ่นคิ้ว เอ่ยถามอย่างสงสัย

“เดี๋ยวค่อยคุยนะคะแม่ ขอเมไปจ่ายตังค์ลุงใจดีก่อน”

หญิงสาวรบเร้าเสียงอ่อน เมรีจึงควักธนบัตรในกระเป๋าเสื้อส่งให้เท่าที่มีติดตัวอยู่ไม่กี่ร้อย

“ขอบคุณค่ะแม่”

เธอว่าแล้ววิ่งกลับไปหาเจ้าของรถพร้อมเงินค่าโดยสาร

“ขอบคุณมากนะคะลุง ขอให้โชคดี ได้ผู้โดยสารตลอดทั้งวันเลยนะคะ”

หญิงสาวโบกมือลาชายวัยกลางคนที่เป็นสารถีขับรถแท็กซี่เก่าๆ มาส่งเธอถึงบ้านด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ด้วยรู้ตัวดีว่าวันนี้เธอแต่งตัวมอซอได้ใจแถมไม่มีเงินติดตัวแม้แต่สตางค์เดียว หากลุงไม่เชื่อใจเธอมากพอจะให้ขึ้นรถมาตัวเปล่าแล้วเก็บค่าโดยสารปลายทาง ป่านนี้เธออาจจะยังเดินเป็นตัวประหลาดอยู่กลางถนนก็เป็นได้

เพราะนายบ้านั่นคนเดียวเลย ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!

“ว่ายังไงล่ะเม เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงกลับบ้านมาพร้อมแท็กซี่ในเสื้อผ้าแบบนี้ แม่จำได้ว่าเมื่อคืนเมก็กลับบ้านนี่ลูก”

เสียงร้อนรนห่วงใยของเมรีปลุกให้เมขลาตื่นจากความพยาบาทในหัวใจ หญิงสาวหันมาสบตาแม่ด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อนสำนึกผิด ก่อนจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังโดยละเอียด

เมรีมีสีหน้าซีดเผือดมากยิ่งขึ้น ยกมือทาบอก พยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อให้อากาศเข้าปอดได้สะดวก ส่ายหน้าช้าๆ แววตาเศร้าหม่นชวนใจหาย

“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ อีกแค่สองอาทิตย์เท่านั้น เขาจงใจจะไล่เราออกไปจริงๆ หรือยังไงกัน คนตั้งหลายสิบชีวิต จะไปอยู่ที่ไหน”

เมขลาน้ำตาคลอขณะมองท่าทีเสียอกเสียใจของมารดา อดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นความผิดของเธอด้วย

“เมขอโทษนะคะแม่ เมไม่น่าเข้าไปคุยกับผู้ชายหน้าเลือดคนนั้นเลย เสียเวลา เสียความรู้สึก”

เมรีหันไปสบตาบุตรสาว น้ำตาตกในเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นทุกข์ใจด้วยเรื่องที่ตัวเองไม่ใช่คนก่อ เอื้อมไปบีบมือเล็กอย่างปลอบโยน

“อย่าโทษตัวเองเลยเม มันไม่ใช่ความผิดของลูกหรอกนะ แม่เองก็ชอบตีตนไปก่อนไข้ เรื่องนี้ยังพอมีทางแก้ไข ถ้าคุณมิ้นจะ...”

เธอพูดได้เพียงเท่านั้น ประโยคต่อมาก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอด้วยความขมขื่นใจ

“แต่ผู้ชายคนนั้นนิสัยไม่ดี หน้าเลือด ไร้เหตุผล ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เขาบ้าอำนาจมากเกินไป ถ้าให้คุณมิ้นแต่งงานกับผู้ชายแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็นเลยนะคะ ต่างคนต่างแรง ท่าจะไม่รอดแน่ๆ”

เมขลาขัดแทรกด้วยความเห็นอกเห็นใจมินตราอย่างลึกซึ้ง แม้ไม่ได้ผูกพันทางสายเลือด ไม่ได้ผูกพันทางจิตใจ หากก็เป็นคนรู้จักมักคุ้น และอยู่ในฐานะ ‘น้องสาว’ ซึ่งผู้เป็นมารดามักจะเอ่ยย้ำเสมอ

ที่สำคัญมินตราเป็นผู้หญิงเหมือนเธอ มีเลือดเนื้อความรู้สึก รักเป็น เจ็บเป็น หากต้องแต่งงานกับผู้ชายที่หล่อแต่หน้า หาดีอย่างอื่นไม่ได้ ก็คงต้องทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมเป็นแน่

“แต่เราไม่มีทางเลือกแล้วนะเม” เมรีแย้งเสียงอ่อน ความรู้สึกผิดกดทับหัวใจทำให้เกิดอาการหายใจติดขัดเป็นระลอก

“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็อย่ารู้สึกผิดอีกเลยค่ะ เรามีทางเลือกสองทางในขณะที่คนอื่นไม่มี แต่เราเลือกที่จะไม่ทิ้งทุกคน แบบนี้แล้วเรายังต้องรู้สึกผิดด้วยเหรอคะ”

หญิงสาวกระชับมือของมารดาอย่างให้กำลังใจ

ใช่ เธอกับแม่มีทางเลือกในขณะที่คนอื่นไม่มี แม้ต้องบังคับฝืนใจมินตรา แต่อย่างน้อยพวกเธอก็เลือกที่จะไม่ทิ้งใคร



มินตราเดินกลับขึ้นมาที่ชั้นเดิมด้วยสติที่เลื่อนลอยไร้ทิศทาง พรรษาเห็นเข้าจึงทักทายด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง

“อ้าวคุณมินตราอยู่นี่เอง หายไปไหนมาคะ คนที่มากับคุณถูกยามลากออกไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง”

หญิงสาวหันไปสบตาอีกฝ่าย ชั่วเสี้ยววินาทีที่สมองเหมือนจะถูกตีด้วยของแข็งเข้าอย่างจัง ส่งผลให้สติสัมปชัญญะที่กระจัดกระจายกลับมาเข้าที่เข้าทางเช่นเคย

“ถูกยามลากออกไป หมายความว่ายังไง”

พรรษาอึกอัก ไม่กล้าตอบ

มินตราชักสีหน้า เอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เสียงต่ำ ตาวาวจนน่ากลัว “บอกเจ้านายของคุณว่าฉันขอพบเดี๋ยวนี้!”

สาวใหญ่ยิ่งมีสีหน้าเผือดซีดมากขึ้นเมื่อหญิงสาวก้าวฉับๆ ไปที่ประตูเหมือนอยากจะพังเข้าไปเสียด้วยซ้ำจึงรีบตอบตะกุกตะกัก

“ไม่อยู่ค่ะ ออกไปหลังจากคุยกับคนของคุณได้ไม่นาน”

เธอยังไม่กล้าบอกอีกเช่นเคยว่าสีหน้าสีตาผู้เป็นนายเดือดจัด พร้อมจะทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบคาบ

มินตราชักสีหน้า สบตาเลขานุการสาวใหญ่อย่างไม่พอใจกับคำตอบนัก

อีกฝ่ายส่งกระเป๋าสะพายที่เธอปาใส่อติยะคืนให้ด้วยท่าทีหวาดๆ

หญิงสาวรีบฉวยกลับมาพร้อมกล่าวขอบคุณตามมารยาท จากนั้นก็หมุนตัว เดินจากไปโดยเร็ว



จี๊ปเชโรกีสีเทาควันบุหรี่แล่นมาจอดหน้าคฤหาสน์อัครเกียรติ แม้สภาพขะมุกขะมอมของตัวรถซึ่งถูกใช้งานอย่างทรหดและไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลาร่วมเดือนจะทำให้เจ้าสี่ล้อหมองลงไปเยอะ หากก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าในความเป็นรถยี่ห้อดังลงแต่อย่างใด

อติยะก้าวลงจากรถพร้อมโยนกุญแจให้เด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งยืนยิ้มแป้นคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว

“ล้างด้วยนะ เอาให้เอี่ยม หล่อเฟี้ยวเหมือนเจ้าของเลยนะปูน”

ปูนรับกุญแจรถได้อย่างแม่นยำ ยืนเท้าชิดกัน ตะเบ๊ะท่ารับคำสั่งอย่างกับนายทหารชั้นผู้น้อย “ครับผม”

อติยะหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน ถอดแว่นกันแดดเสียบไว้บนกระเป๋าเสื้อ ก้าวยาวๆ เข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่แสนคุ้นเคย

ชายหญิงวัยทำงานคู่หนึ่งเดินสวนออกมาด้วยสีหน้าประหลาด ทำให้คิ้วเข้มขมวดเป็นปมขณะกวาดสายตาเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็วแล้วเสียงของขจรก็แว่วมาให้ได้ยิน

“ไม่ลองคิดใหม่อีกซักครั้งเหรอครับคุณใหญ่ ทำแบบนี้มัน...”

“ผมตัดสินใจดีแล้วครับ” เสียงห้าวเรียบขัดแทรกขึ้น

อติยะเลิกคิ้ว เข้าไปสมทบพี่ชายกับทนายประจำตระกูลด้วยสีหน้างุนงง เลือกที่จะหันไปถามขจรมากกว่าชายหนุ่มที่มีใบหน้าเหมือนตัวเองราวพิมพ์เดียว

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอครับคุณอา ท่าทางซีเรียสจัง แล้วสองคนเมื่อกี้เป็นใครครับ ผมไม่เคยเห็นหน้า”

ขจรหันขวับ ถึงกับผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หันไปฟ้องชายหนุ่มอีกคนในทันที

“คุณเล็กมาพอดี ช่วยผมพูดกับคุณใหญ่ทีเถอะครับ สองคนที่เพิ่งเดินออกไปเป็นคนของเวดดิงสตูดิโอ คุณใหญ่ให้มาคุยเรื่องการจัดงานแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้นต้นเดือนหน้า ผมไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว”

อติยะเลิกคิ้ว ในขณะที่อชิระเหลือบหางตามองน้องชายเพียงเล็กน้อย

“นึกว่านายจำทางกลับบ้านไม่ได้ซะแล้ว” คนเป็นพี่แขวะเสียงเรียบตามสไตล์

น้องชายหัวเราะร่วน หันไปยักคิ้วให้ขจรก่อนทิ้งร่างลงบนโซฟาเดี่ยว ไขว่ห้างด้วยท่าทีผ่อนคลาย ตอบกลับทีเล่นทีจริง

“ถ้าคุณอาไม่เรียกตัวกลับมาแบบด่วนๆ ก็อาจจะหลงทางอยู่ในกรุงเทพฯ อีกหลายวัน”

“ไม่ยักรู้ว่านายเชื่อฟังคุณอามากกว่าเราซะอีก ไหนบอกยังไม่อยากกลับไง” พี่ชายย้อนเสียงห้วน

ตอนอติยะไปพบเขาที่ตึกอัครเกียรติ พ่อน้องชายตัวดีบอกขอเที่ยวเมืองหลวงให้ฉ่ำใจก่อนจะกลับเข้าบ้าน นี่ยังไม่ทันข้ามคืนก็โผล่หน้ามาเสียแล้ว

อีกฝ่ายไหวไหล่ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พูดเอาดีใส่ตัวได้หน้าตาเฉย

“ก็เราไม่อยากปวดหัวเกินความจำเป็น นี่ถ้าไม่เกิดเรื่องกับนาย เราไม่รีบกลับมาขนาดนี้หรอก”

อชิระแค่นยิ้ม เหลือบหางตาคมราวลูกธนูเพลิงไปยังน้องชาย

“เราจัดการได้ นายไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า”

แฝดผู้น้องรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขยับนั่งตรงๆ อย่างตื่นตัวเต็มที่ แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นราวเสียงเพรียกจากนรก

“อาร์ตี้ขา...ลูกหมีคิดถึงอาร์ตี้ที่สุดเลยค่ะ”

เพียงเท่านั้นอติยะก็กัดฟันกรอด ถลึงตามองพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างแค้นเคือง อีกฝ่ายน่ะหรือ ก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยกลับมาน่ะสิ

หญิงสาวรูปร่างอวบอิ่ม ใบหน้าจัดจ้านด้วยสีสันแต่ลงตัว ถลาเข้ามากอดคอหอมแก้มอติยะด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ สองมือประคองใบหน้าคมของชายหนุ่มไว้อย่างทะนุถนอม ทำตาวิบวับ ตัดพ้ออย่างน้อยอกน้อยใจ

“อาร์ตี้หายไปนานจังเลยเที่ยวนี้ ลูกหมีมารออาร์ตี้ทุกวันเลยนะคะ ไม่คิดถึงกันบ้างเลยหรือไง คนใจร้าย”

อติยะฉีกริมฝีปากยิ้มสุดความสามารถ หากดวงตายังคงวาววับ จ้องหน้าพี่ชายอย่างคาดโทษ

“คิดถึงสิลูกหมี ทำไมผมจะไม่คิดถึงคุณล่ะ แต่ผมมีงานต้องทำนี่ครับ กลับมานี่ก็ทำให้งานที่โน่นหยุดชะงัก”

ปากบอกคิดถึง หากมือกำลังแกะมือของหญิงสาวออกจากตัวอย่างระมัดระวัง

“งั้นก็ให้ลูกหมีไปด้วยสิคะ เราจะได้อยู่ใกล้กันทั้งวันทั้งคืนไงคะอาร์ตี้” หญิงสาวออดอ้อน ทำสีหน้าวิงวอนสุดพลัง

ชายหนุ่มยิ้มตอบจืดเจื่อน

ลำพังแค่หลบหลีกที่กรุงเทพฯ ก็แทบตาย ใครจะบ้าบอกแหล่งกบดานให้รู้กันล่ะแม่คุณ!

อชิระกลั้นยิ้ม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อาร์ตี้ เราว่านายพาลูกหมีไปคุยกันในพื้นที่ส่วนตัวดีไหม ไม่ได้เจอกันนาน คงมีเรื่องต้องพูดคุยกันเยอะ”

อติยะถลึงตาใส่พี่ชาย แสยะยิ้มที่เหมือนการแยกเขี้ยวมากกว่า

“ขอบใจนายมากนะใหญ่ เราจะจำไว้ว่าคราวนี้นายใจดีกับเรามากแค่ไหน”

รัศมียิ้มร่า หันไปขอบคุณอชิระด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

“ขอบคุณมากนะคะคุณใหญ่ ขอบคุณที่ช่วยส่งข่าวบอกลูกหมีว่าอาร์ตี้จะกลับบ้านวันนี้”

ว่าแล้วก็หันไปส่งยิ้มหวานให้อติยะต่อ

“งั้นเราก็ไปกันเถอะค่ะอาร์ตี้ ลูกหมีหิวแล้ว เราไปหาอะไรทานกันนะคะ คืนนี้ลูกหมีจะพาอาร์ตี้ไปฟังเพลง เพื่อนลูกหมีเพิ่งเปิดร้านใหม่น่ะค่ะ บรรยากาศดีใช้ได้ เราไปฟังเพลงกันนะคะ ลูกหมีคิดถึงอาร์ตี้ที่สุดในโลกเลยค่ะ”

อติยะถอนใจยาว ลบวันแห่งการพักร้อนแสนสุขของตัวเองออกไปในทันทีหนึ่งวัน

สำหรับเขาแล้ว การใช้เวลาร่วมกับรัศมีคือนรกดีๆ นี่เอง ให้ตายเถอะ!



“นี่คุณใหญ่โทร. บอกคุณลูกหมีว่าคุณเล็กจะกลับบ้านวันนี้เหรอครับ”

ขจรตำหนิ หลังจากอติยะถูกรัศมีลากออกไปข้างนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ตัวช่วยเดียวที่เขามีขาดหายไปโดยสิ้นเชิง

อีกฝ่ายกระตุกยิ้มมุมปาก “ก็เหมือนที่คุณอาโทร. เรียกตัวนายเล็กกลับบ้านนั่นแหละ ทีนี้เรื่องทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ผมคุยกับคนของเวดดิงสตูดิโอไว้นะครับ รบกวนช่วยกระจายข่าวให้ด้วย ผมต้องการให้เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ที่สุดในรอบปี”

อชิระผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหกฟุตสามนิ้ว หยิบเสื้อสูทพาดลำแขนแข็งแรง ก่อนเดินจากไปอย่างผู้ที่กำชัยชนะไว้ในมือ

ขจรถอนใจยาว มองตามเจ้านายรุ่นหลานอย่างอ่อนใจ

ทำไมนะ ทำไมเขาต้องช้ากว่าอชิระหนึ่งก้าวเสมอ เฮ้อ!









 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2557
0 comments
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2557 0:10:55 น.
Counter : 836 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.