..โลกนี้สวยงาม เมื่อเราเดินช้าลง.... ภาพถ่ายเป็นสื่อกลางของความรู้สึก ...สวยไม่สวยไม่รู้ รู้แต่ มีคุณค่า มากมาย....รักธรรมชาติ ขุนเขา...เดินเท้าย้ำไป ....ท่องทะเลหมอก ..ส่องนกดูไม้ ให้บานฉ่ำ...... ไปกับ.......เรานะ ดาหลา & ปะการัง.... http://daalaamita.multiply.com/
Group Blog
 
<<
เมษายน 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 เมษายน 2549
 
All Blogs
 
เรื่อง กิน....ที่น่าคิด นะ สาว ๆ ๆ

ใช่ว่าจะกินแต่แคลเซียม แล้วจะทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ไม่เป็นสาวกระดุกเปราะ หลังโก่ง เมื่อเป็นคุณยาย เพราะทุกวันนี้คุณอาจเผลอกินอาหารที่ทำลายกระดูกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้

อาหารที่ลดความหนาแน่นของกระดูก

1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย
มีงานวิจัยล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจาก คาเฟอีนในกาแฟ จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ว่าแล้วสาว ๆ ที่ติดกาแฟ ก็ดื่มน้อย ๆ ลงจะดีกว่านะ

2. น้ำอัดลม
มีงานวิจัยล่าสุดพบว่าเครื่องดืมเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้ มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่ายค่ะ โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียวละ อยากให้กระดูกแข็งแรง ดื่มให้น้อยลง จะดีกว่านะ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ คุณไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้คุณกลายเป็นยายแก่ ที่กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวดและทรมานมาก นอกจากนี้ ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียม เมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูเสียปริมาตรของกระดูกลง มาเริ่มต้นสร้างความแข็งแรงให้กระดูกตั้งแต่วัยสาว ๆ หน้ายังใสดีกว่า


วิธีเสริมความแข็งแรงให้กระดูก
นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายความหนาแน่นของกระดูกแล้ว ควรหาวิธีปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้กระดูกกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า

1.ออกกำลังกาย
เป็นวิธีที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงค่ะไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง แอโรบิค เล่นเทนนิส ยกเวท กระโดดเชือก ช่วยเสริมความหนาแน่นให้กระดูกได้ ยกเว้นการว่ายน้ำที่กลับไม่ได้ผลดีนัก

2.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม
แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัที่สุดสำหรับกระดูกและฟัน โดยเฉพาะแคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็งเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี แต่ก็มักได้ไขมันเป็นของแถมหากเลือกเป็นนมพร่องมันเนย ก็น่าจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ อาหารพื้นบ้านเช่นปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว เต้าหู้แผ่น และถั่วเหลือง ก็เป็นเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน โดยเฉพาะถั่วเหลืองนั้นนอกจากช่วยชะลอความเสื่อมของ กระดูกแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย


3.ควบคุมน้ำหนักตัว
การที่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไปจะทำให้คุณเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกผุได้

4.เลิกสูบบุหรี่
สาวๆ ที่ติดบุหรี่ มักมีปัหาโรคกระดูกผุก่อนเวลาได้ เนื่องจากบุหรี่ จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้

5.วิตามินดี
วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาตรของกระดูกได้ โดยเฉพาะนม มีทั้งแคลเซียมและวิตามินดีสูง แต่การซื้อวิตามินดีมารับประทานจะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป และเกิดอันตรายได้
*******************************************************************
พลังมหัศจรรย์ในอาหาร
เป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน..

1.เต้าหู้...คุณภาพคับก้อน
จากเมล็ดถั่วเหลืองซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกัน ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูงอุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล
ดร.แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า การกินเต้าหู้ เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใสผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรรับประทานเต้าหู้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวันนอกจากสุขภาพจะดีแล้ว ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วยเห็นไหมคะ คุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ

2. มะเขือเทศ .....พระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี
ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยงอาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสม สำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะ
ผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิด ได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว

3. กินกระเทียมให้เป็นยาโดยไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์
คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้
ดร.วาร์โรอี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส-ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียม จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวันโรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี
ยังไม่หมดนะค่ะ สำหรับสรรพคุณของกระเทียม ..หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสดๆสัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณนะคะ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว

4. แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต
ดร.เม็ทชนิคอฟแห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะใน ลำใส้ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย
****************************************************************

6 อัศวินสำหรับร่างกาย
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูงระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้น คือ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิ้ลและโยเกิร์ต
วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ
เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน รับประทานกระเทียมสดๆเล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง คุณยังสามารถรับประทานเนยแฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆ ได้ในบางมื้อบางวัน หากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญ ที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น
***********************************************************

เรื่องกล้วยๆ
การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้ ดร.จีนคาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ (dyspepsia) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการศึกษาผู้ป่วย 46คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา
พบว่าผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้


Create Date : 24 เมษายน 2549
Last Update : 24 เมษายน 2549 16:01:53 น. 1 comments
Counter : 492 Pageviews.

 
มาอ่านข้องมูลดีๆค่ะ
ขอบคุณนะจ้ะ


โดย: zaesun วันที่: 24 เมษายน 2549 เวลา:21:41:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปะการังหอม
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชีวิต...เดินได้ ด้วยหัวใจ
หัวใจอยู่ที่ ธรรมชาติ ภาพถ่ายและ กลอน
bg sss
Friends' blogs
[Add ปะการังหอม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.