Determination ตอนที่ 2
Determination Part 2 CHANGE อันนี้ จริงๆเป็นblogที่ทำไว้นานแล้วครับ คิดว่าจะอัพได้ควรจะมีความสำเร็จต่างจากเดิมไปบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็คือสมัครได้ที่เรียนปีหน้าแล้ว ตอนนี้นิ้วหักเลยเอามาอัพซะเลย อ่ะแฮ่มๆ และแล้วก็ถึงเวลาได้อัพบลอกต่อ จริงๆแล้ว หลังจากตอนที่แล้วอัพไป มันเหมือนเล่าอัตชีวิตประวัติยังไงไม่รู้ เหมือนเป็นพวกบ้าEGOเรื่องตัวเอง เลยลังเลนิดหน่อย ต่อจากตอนที่แล้ว คือ ช่วงครึ่งแรกของปีทำงานที่ 2 เริ่มจาก ไปทำงานรพ.เอกชนซึ่งจริงๆแล้ว ได้ไปทำคลินิกซะมากกว่า คำตอบที่ได้ก็คือ งานสบายกว่า เงินเดือนดีกว่า เสียภาษีน้อยกว่า แต่สิ่งที่สูญเสียไป คือใจ เหมือนใจเราไม่บริสุทธิ์ เราไม่ได้ทำเพื่อคนไข้เท่าไหร่ เหมือนเราก็แค่ทำงานหาเงิน แต่ว่ามันก็เป็นช่วงที่มีค่าในการหาคำตอบของชีวิตครับ หลังจากที่ล่องลอยมาเรื่อยๆ เพราะมีเวลาเป็นของตัวเอง ผมจึงเริ่มทำสิ่งต่างๆที่ตัวเองอยากทำได้ ช่วงนั้นผมทำงานตั้งแต่7โมงครึ่งถึง2ทุ่มวันจันทร์ถึงศุกร์โดยพักที่รพ. กลับบ้านวันเสาร์ กลับมาทำงานรพ.เช้าวันอาทิตย์ถึงเย็น เป็นแบบนี้ตลอดหกเดือน และยังมีอยู่เวรห้องฉุกเฉินคืนวันพุธอีก2ทุ่มถึงตี4 แต่ระหว่างนั้นก็หาคำตอบต่างๆไปด้วยบ้าง ในเดือนแรก อ่านหนังสือพบว่า ชีวิตเกิดมาเพื่อเจอทุกข์ ให้แก้ไขปัญหาให้พ้นทุกข์ และจบลงที่การหลุดพ้น ผมรู้สึกเหมือนได้คำตอบที่ตามหามา ในวันเดียวกันนั้น ผมเจอหนังสือของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี เค้ากลับผลักดันความคิดผมไปในทางตรงกันข้าม ชีวิตที่ปล่อยวาง มันยังไม่ใช่ทางที่คนหนุ่มอย่างผมจะเลือกในเวลานี้ ผมอ่านหนังสือต่อไป ผมพบว่า ถ้าอยากมีอิสระ อยากรวย ผมได้เลือกมาผิดทางซะแล้ว ชีวิตนี้ไม่มีอิสระ ผมควรจะเลือกเป็นนักลงทุนแทน การเรียน การศึกษาในเมืองไทย ไม่เคยสอนทางให้เรารวยเลย ส่วนใหญ่เราเรียนตามเกณฑ์ สุดท้ายจบมาก็เป็นลูกจ้าง การทำธุรกิจขายตรงก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี หากต้องการชีวิตที่มั่นคง มีฐานะ มีเวลา แต่ว่ามันมีหลายอย่างเหลือเกินที่เราต้องการในชีวิต เราควรเลือกทางนี้แน่รึเปล่า มีพี่หมอท่านนึง ชวนผมทำแอมเวย์ มันเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง เค้าบอกว่ามันเป็นโอกาสที่ดี ผมควรไขว่คว้าไว้ แต่ผมบอกว่า ผมคิดว่ามันดี ผมเชื่อว่าสามารถทำมันได้ดี แต่ผมมีสิ่งอื่นที่ควรต้องทำมากกว่า เวลาของเรามีจำกัด ผมขอเป็นคนโง่ที่ไม่เลือกทางที่ดี ชีวิตที่สบายนั้น ถ้าพูดถึงงาน ถ้ามีงานใดดี แล้วทุกคนแห่กันไปทำ ประเทศคงไม่เป็นประเทศ เพราะประเทศต้องการคนทุกกลุ่มงาน เพราะฉะนั้นการที่ผมยอมเป็นคนโง่ ทำในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตผมสบาย มันอาจจะดีกว่าสำหรับประเทศก็ได้ ผมเริ่มมองการเมืองและเศรษฐกิจ ผมก็อยากเปลี่ยนแปลงสังคมเหมือนกันครับ แต่มันอาจจะเปรอะเปื้อนเกินที่ผมจะอยู่ได้ เวลามีจำกัด ผมเล่นหมากล้อม บัญญัติข้อนึง คือ งานด่วนมาก่อนงานใหญ่เสมอ แต่ที่สำคัญคือ เราต้องรู้ว่าอะไรคืองานด่วนที่จำเป็นต้องรีบทำ อะไรคืองานใหญ่ที่ต้องทำเสมอ อะไรคืองานด่วนที่ไม่จำเป็นต้องทำ และอะไรที่ทั้งไม่จำเป็นและไม่เร่งด่วน ถ้าเราแยกมันได้ และจัดแจงมันอย่างถูกต้อง เราถึงจะรู้ว่าเราควรทำงานอะไรในแต่ละวัน เมื่อค้นหาต่อไป ชีวิตเรานอกจากตัวเอง นอกจากครอบครัวแล้ว ชีวิตนี้เราควรทำเพื่อผู้อื่นด้วย ทำไมผมจะไม่ควรอยู่รัฐบาลที่เงินเดือนน้อยกว่าหล่ะ เมื่อผมมีโอกาสทำบุญได้มากกว่าด้วยซ้ำ ความสำเร็จ ถ้าผมปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ อยู่คลินิกหาเงินมีตังค์เก็บมากๆ แบบนั้นชีวิตคงไม่เรียกว่าประสบความสำเร็จ มีเงินมากจนวันหนึ่ง ไม่ต้องทำงานแล้ว แล้วเราจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองอย่างเดียวหรือ ไม่ได้หรอก ชีวิตมันไม่ควรเป็นแบบนั้น ดังนั้น เราควรจะสู้ต่อ ต่อสู้กับอะไรสักอย่าง เพื่อความสำเร็จของชีวิต ชีวิตมันต้องมีเป้าหมายซิ ความพยายาม ผมเริ่มจากที่ปล่อยปะละเลยให้น้ำหนักตัวเองขึ้นไป4Kg แล้วจะแก้ปัญหาด้วยการไปรักษากับSlim up center ตอนนั้นผมกำลังผลักดันสิ่งที่ตัวเองควรจะดูแล ร่างกายของผมซึ่งจะอยู่กับผมไปตลอดชีวิตให้ผู้อื่นดูแล เพราะเห็นว่ามีเงินพอจะจ่าย แต่ผมลองเริ่มจากตัวเองก่อน น้ำหนักผมลดลงโดยการออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก ครึ่งกิโลต่อสัปดาห์ น้ำหนักลงไปได้ 6Kg มันไม่มากหรอก แต่ผมก็ภูมิใจกับมันทีเดียว ภูมิใจที่ลดได้ด้วยตัวเอง (และตอนนี้มันก็ลงมา 8 kgแบบแน่นิ่ง โดยนอกจากไขมันจะลดลง กล้ามเนื้อก็มากขึ้นด้วย ทำอะไรกระฉับกระเฉงมากขึ้น)
Create Date : 10 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 10 สิงหาคม 2552 14:38:42 น. |
|
8 comments
|
Counter : 435 Pageviews. |
|
|
อ่านดูแล้ว..คุณหมอก็ได้ถามตัวเองและก็ตอบตัวเองไปในตัวแล้ว..
ถูกต้องจริงๆว่าชีวิตมันคืออะไร..
ถามว่าต้องปฎิบัติธรรม แล้วหลุดพ้นในตอนนี้เลยรึเปล่า..
ไม่จำเป็นหรอกครับ..การปฎิบัติธรรมที่ถูกต้องก็คือทำตลอดเวลา
ไม่ใช่รู้สึกไม่ดีก็ไปวัดทำบุญ หรือ รู้สึกดีก็ลืมๆมันไปซะงั้น..
ทำตลอดเวลาคือ รักษาตั้งมั่นใน ศีล5 ดูสิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบจิตแล้วก็ไป
ลองดูๆไปเรื่อยๆ..แล้วเราจะควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นนะครับ..
ส่วนเรื่องอื่นๆที่ผ่านเข้ามาเราก็ไม่ต้องถึงกับปฎิเสธเรียนรู้แล้วเราก็จะรู้เองว่า
อะไรดีไม่ดีครับ..ผมชอบแนวคิดของคุณหมอนะครับ..
เรื่องเงิน..ไม่ได้สำคัญจริงๆหรอกครับ..
เพราะเราหาเงินไปซื้อความสุขอีกทีนะครับ..
เราน่าจะทำอะไรที่เรามีความสุขจริงๆ นั้นแหละ..สุขกายสบายใจดีทีเดียวเลย..
อิอิ..มีความสุขมากๆนะครับ..