Deep Value Investing
สิ่งแรกที่นักลงทุนเน้นคุณค่าแบบสุด ๆ ที่เรียกตัวเองว่า Deep Value Investor (DVI)
จะทำ ในการประเมินมูลค่าของกิจการที่ตนสนใจก็คือการ ศึกษางบดุลอย่างละเอียด
งบดุลเปรียบเสมือนสมุดรายงานสุขภาพของกิจการ
ไม่ต่างอะไรกับคนเรา ไม่ว่าเราจะเก่งกาจมีความความรู้มากมายสักเพียงใด
สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานสู่ความสำเร็จของชีวิตย่อมมาจากการมีสุขภาพที่แข็งแรงเสียก่อน
นักลงทุนแบบ DVI นี้คือกลุ่มที่ยังคงยึดมั่นในหลักการดั้งเดิมของเบนจามิน เกรแฮม
ที่มุ่งหาซื้อหุ้นสามัญในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์ของมัน
เช่นหลักการ Net-Nets ที่หาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนหักด้วยหนี้สิน
หากทำแบบนี้ได้ก็คือการรับประกันว่านักลงทุนจะได้กำไรตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว
และมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นมาในอนาคตจากการดำเนินธุรกิจที่ไปได้ดีก็จะเป็นโบนัสแถมเข้ามาเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้น่าพอใจยิ่งขึ้นไปอีก
นักลงทุนที่มีชื่อเสียงที่ยังคงใช้หลักการนี้ได้แก่ Peter Cundill ชาวแคนาดาที่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15%
ในช่วงระยะเวลา 30 ปี มูลค่าสินทรัพย์ในการบริหารเติบโตจาก 10 ล้านเหรียญในปี 1974
มาเป็น 2 หมื่นล้านเหรียญในปี 2006
แม้ว่าในปัจจุบันการหาหุ้น Net Nets คงเป็นไปได้ยากเต็มที ชาว DVI
จึงอาจต้องผ่อนปรนความเข้มข้นในการต่อรองลงมาบ้าง
แต่โดยรวม (ผู้เขียนสรุปจากบทสัมภาษณ์ Jeroen Bos ลูกทีมและลูกศิษย์ของ Peter Cundill)
หลักของ DVI คือการมองที่งบดุลเป็นอย่างแรก ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับการหาหุ้น P/Eต่ำ
หรือ เข้าซื้อที่ราคาต่ำกว่า BV แบบผิวเผิน
พวกเขามองที่งบดุลเพื่อตรวจสุขภาพของบริษัทว่ามีความแข็งแรงหรือไม่
มีธรรมชาติของมันเป็นอย่างไร
เมื่อมั่นใจว่ามันสุขภาพดีมีศักยภาพ โอกาสที่มันจะถดถอยไปกว่าที่เป็นอยู่ไม่น่าเกิดขึ้นได้
แต่มีปัจจัยอะไรบางอย่างมาทำให้ขณะนี้ราคาหุ้นถูกเทรดอยู่ในระดับที่ต่ำ
พวกเขาก็จะเข้าถือหุ้นไว้ให้นาน จนกระทั่งวันคืนอันสดใสมาเยือน
ความสามารถพิเศษหนึ่งที่ชาว DVI จำเป็นต้องมีก็คือความอดทนและระยะเวลาการถือหุ้นที่ยาว จากความแข็งแกร่งของงบดุลและความเข้าใจในโมเดลธุรกิจที่ตนลงทุนอย่างลึกซึ้ง
นักลงทุนมั่นใจว่าราคาจะต้องขึ้นอย่างแน่นอนในสักวัน
แต่ไม่สามารถมั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วิธีคิดแบบนี้มองต่างมุมกับนักลงทุนเน้นคุณค่าอีกกลุ่ม
ที่โฟกัสลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงอย่างยั่งยืน
เพราะจุดโฟกัสของ DVI คือความแข็งแกร่งของงบดุล
แต่สุดท้ายสองแนวทางนี้ก็มีโอกาสมาบรรจบกันได้ เพราะอาจมีบริษัทที่มีคุณสมบัติครบถ้วน
เมื่อมองจากทั้งสองมุมมอง
หุ้นที่ชาว DVI ชอบจึงมักเป็นหุ้นวัฐจักรที่โดยธรรมชาติของมันมีวันที่เลวร้าย
ยอดขายและรายได้หดจากช่วงตกต่ำของวงจร
แต่หากมองที่งบดุล เราอาจเห็นว่ามันกำลังสะสมเงินสดที่ถูกปลดปล่อยออกจาก
Working Capital อันเป็นผลจากการหดตัวของขนาดธุรกิจ
หรืออาจเป็นธุรกิจที่มียอดขายสูงแต่อัตรากำไรต่ำมากหรือกำไรสลับขาดทุนแบบลุ่มๆ ดอนๆ
แต่เมื่อเจาะดูงบดุลกลับพบว่าสุขภาพของบริษัทยังดีทุกประการ
โครงสร้างหนี้สินและทุนถูกออกแบบไว้เพื่อป้องกันสถานการณ์นี้ไว้ได้ดีแล้ว
สิ่งที่นักลงทุน DVI ต้องการก็คือวัฏจักรขาขึ้นที่จะช่วยพลิกสถานการณ์
ส่งเสริมให้บริษัทมีอัตรากำไรเพิ่มสูงกว่าก่อน และนายตลาดก็จะลืมภาพร้าย ๆ ในวันเก่า
ทุ่มเข้าไล่ราคาบริษัทของเราราวกับว่ามันจะพุ่งขึ้นไปต่อเนื่องอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
โดยสรุป ชาว DVI ไม่ชอบเสี่ยงกับการทำนายอนาคต
ไม่ให้ราคากับการเติบโตที่เกิดจากฝีมือของบริษัทมากเท่า VI กลุ่มที่เน้น DCA
แต่ชาว DVI ก็ศึกษาบริษัทอย่างลึกซึ้งไม่แพ้กัน
พวกเขาไม่ได้ซื้อหุ้นแค่เพราะมันถูกเมื่อดูจากอัตราส่วนต่าง ๆ
พวกเขาต้องมั่นใจว่าสุขภาพของบริษัทนั้นดีเลิศ
แต่ราคาถูกอันเกิดจากธรรมชาติของธุรกิจที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง
แต่คนส่วนใหญ่ไม่อดทนพอจึงละทิ้งมันเมื่อเข้าสู่ขาลงในราคาที่ต่ำเกินจริง
จุดอันตรายหนึ่งก็คืออย่าไปสับสน DVI กับการลงทุนในหุ้น Turnaround
ที่ต้องการซุปเปอร์แมนหรือการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างขนานใหญ่เพื่อพลิกฟื้นบริษัท
ชาว DVI รอแค่ Tailwind มาช่วยก็ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ
พวกเขาไม่ได้หวังไกลถึงขั้นต้อง Modify เครื่องบิน
ขอบคุณบทความดีดีจาก fanpage OutOfMyMind on Value Investment ^^
Stock2morrow