สัพเพเหระ ตอนที่ 10 You are not human; you are animal!!!
วันนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัย มันมาแปลก ๆ อีกแล้ว จั่วหัวก็ด่าไอ้ animal เลย ไม่หรอกครับ ใครจะกล้าด่าท่านผู้อ่านทั้งหลาย จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ผมว่าจะเขียนตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่มันวุ่น ๆ นิดหน่อย ไม่มีเวลาเขียน ตอนนี้มีเวลาแล้วก็เลยได้ฤกษ์เขียนซะที

ประมาณ 4-5 วันที่แล้ว ผมได้ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่ง มีแขกรับเชิญเป็นคุณ นิรุท ศิริจรรยา (ขออภัยถ้าผมสะกดชื่อนามสกุลผิด) รายการนี้จริง ๆ แล้วคุณนิรุจก็เป็นผู้ร่วมจัดการการท่านนึงเหมือนกัน แต่เป็นลักษณะของการ "โฟนอิน" เข้ามาในรายการ

สำหรับรายการในวันนั้น ผมไม่รู้ว่าเค้าพูดถึงเรื่องอะไรกันมาก่อนหน้านี้ เพราะว่าเปิดมาฟังไม่ทัน เปิดมาเจอตอนที่คุณนิรุจเล่าเหตุการณ์ที่สุวรรณภูมิให้ฟัง ซึ่งผมฟังแล้วผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วย 100% เพราะเป็นการสรุปเอาจากประสบการณ์แค่ครั้งเดียวของคุณนิรุจ เรื่องมีประมาณนี้ครับ

คุณนิรุจเดินทางทางเครื่องบิน จากเชียงใหม่ กลับมากรุงเทพฯ ระหว่างที่กำลังรอกระเป๋า จากสายพาน คุณนิรุจก็สังเกตุเห็นแล้วว่ากระเป๋าของคุณนิรุจขึ้นมาแล้ว กำลังจะไหลมาหา แต่เนื่องจากว่าบริเวณที่คุณนิรุจรอกระเป๋าอยู่ เป็นบริเวณปลาย ๆ สายพาน ดังนั้นก็ต้องใช้เวลาระยะนึงก่อนที่กระเป๋าจะเลื่อนมาถึงตัว

รอแล้วรอเล่า นานผิดสังเกตุ คุณนิรุจก็เลยลองเดินออกจากที่รอมาดูว่ามีเกิดอะไรขึ้น แล้วก็มีจริง ๆ คุณนิรุจเห็นกระเป๋าของตัวเองไปอยู่กับฝรั่งคนนึง คุณนิรุจก็เลยเข้าไปที่ฝรั่งท่านนั้น ขอโทษอย่างสุภาพพร้อมแจ้งว่า "กระเป๋าใบนี้เป็นของผม" พร้อมแสดงป้ายหมายเลขกระเป๋าว่าสามารถตรวจสอบได้ว่าตรงกัน

ฝรั่งคนนั้นก็แสดงอาการไม่พอใจ ไม่ยอมให้เช็คป้ายหมายเลข พร้อมกับยืนยันว่ากระเป๋าเป็นของเค้า คุณนิรุจก็เลยต้องให้พนักงานที่ยืนอยู่แถว ๆ นั้นไปเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมา เพราะว่าต้องยืนเฝ้ากระเป๋าเอาไว้ ไม่ให้ฝรั่งคนนี้เอาออกไปไหนได้

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ก็เลยได้ตรวจเช็คป้ายหมายเลขที่แปะกระเป๋ากัน พอฝรั่งคนนี้เห็นแล้วว่าไม่ใช่กระเป๋าของตัวเอง ก็แสดงอาการโมโหออกมา แล้วก็เหวี่ยงกระเป๋าของคุณนิรุจกลับขึ้นสายพานไป คุณนิรุจก็ฟิวส์ขาดทันที แล้วก็พูดออกมาว่า "You are not human; you are animal."

จากนั้นคุณนิรุจก็พูดกับผู้ดำเนินรายการในห้องส่งประมาณว่า คนไทยนี่แหละ เจริญทางด้านจิตใจมากกว่าฝรั่ง พวกฝรั่งมีแต่วัตถุ ..... บลา ๆๆๆๆ .....

โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่กล้ายืนยันว่าพวกฝรั่งที่เจริญทางด้านวัตถุ จะจิตใจแย่กว่าคนไทย แต่ที่แน่ ๆ ผมกล้ายืนยันว่าที่คุณนิรุจพูดมาว่าพวกคนไทยเจริญทางด้านจิตใจมากกว่าใคร ๆ นั้น ไม่จริงแน่นอนครับ

จากเหตุการณ์ที่คุณนิรุจเล่าให้ฟัง มันก็เลยทำให้ผมนึกย้อนกลับไป ผมก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ว่าเจอถึงสามครั้ง และที่เจอทุกครั้ง คู่กรณีก็เป็นคนไทยทั้งนั้นซะด้วย เจอที่ซิดนี่ย์ซะครั้งนึง อีกสองครั้งเจอที่ดอนเมืองครั้งนึง กับสุวรรณภูมิครั้งนึง

ขอพูดถึงครั้งที่ผมเจอที่ซิดนี่ย์ก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าเป็นครั้งแรก ก็เลยประทับใจมากหน่อย แถมยังโดนต่อหน้าต่อตาซะด้วย วันนั้นผมลงเครื่องที่ซิดนี่ย์ แล้วก็มารอกระเป๋าตรงสายพาน เห็นแต่ไกลเช่นกันว่ากระเป๋ามาแล้ว

ขณะที่อีกประมาณห้าเมตร กระเป๋าจะมาถึงตัวผม ก็มีคุณนายท่านนึงพูดขึ้นมาว่า "มาแล้ว" ทันใดนั้น เด็กผู้ชายคนนึง (เดาว่าเป็นคนรับใช้ที่ตามมาด้วย) ก็จัดแจงยกกระเป๋าผมออกจากสายพานทันที

ผมยืนมองอยู่แล้ว ก็เลยเข้าไปทันทีเหมือนกัน พร้อมกับพูดว่า

"ขอโทษครับ กระเป๋าใบนี้ของผมครับ"

คุณนายปรายตามองมา พร้อมกับพูดว่า "กระเป๋าชั้นต่างหาก อย่ามาอ้าง"

ผมก็เลยเปิดหน้าพาสปอร์ทให้ดู พร้อมกับบอกว่า "ข้างกระเป๋าจะมีนามบัตรของผมสอดอยู่ เอามาเช็คได้ว่าตรงกันมั๊ย แล้วผมมีผ้าแถบสีเขียวผูกติดกับหูจับด้วยครับ รับรองว่าของผมแน่นอน"

คุณนายกล่าวว่า "อ๋อเหรอ ชั้นก็ผูกผ้าไว้เหมือนกัน แหม เห็นกระเป๋าชั้นสวยเลยอยากได้ล่ะสิ Samsonite นะเนี่ย ชั้นไม่สนล่ะ กระเป๋าใบนี้ของชั้น" เสียงดังจนเริ่มดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่สนามบิน

คุณเจ้าหน้าที่สนามบินก็เข้ามาพร้อมกับถามว่า "Any problem?"

ผมก็เลยเล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟัง คุณเจ้าหน้าที่ก็เลยหันไปทางคุณนายพร้อมกับบอกว่า "I don't see the reason why you shouldn't let him check whether it is belong to him or not."

แล้วคุณเจ้าหน้าที่สนามบินก็ไม่ฟังเสียง พร้อมกับดึงกระเป๋าผมออกจากมือเด็กยกกระเป๋าของคุณนาย แล้วก็ดึงเอานามบัตรของผมออกมา ข้อมูลชื่อนามสกุลทุกอย่างตรงกับในพาสปอร์ทผม

คุณนายเรื่มออกอาการหน้าแหก แต่ก็ยังรักษาฟอร์มด้วยการยืนยันว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของเค้าเช่นเดิม คุณเจ้าหน้าที่สังเกตุเห็นว่ากระเป๋าล๊อคด้วยกุณแจแบบใช้รหัส ก็เลยหันไปบอกให้คุณนายเปิดกระเป๋าให้เค้าดูหน่อย คุณนายก็เลยจัดแจงหมุนรหัสของตัวเอง

เปิดไม่ออก แน่นอนอยู่แล้ว ก็มันไม่ใช่กระเป๋าของคุณนายนินา แล้วเจ้าหน้าที่ก็หันมาทางผม บอกให้ผมเปิดกระเป๋าออก ผมก็ก้มลงหมุนรหัสเปิดออกอย่างง่ายดาย

คุณนายหน้าแหกแบบไม่เหลือชิ้นดี แต่ก็ยังอุตส่าห์หันมามองผมแบบให้รู้เลยว่ากำลังโมโห อย่าให้เจออีกนะ อะไรประมาณนี้ แล้วก็บ่นพึมพัม ๆ ไปเรื่อย ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าแบบเซ็งในหัวอก

ชั่งกล้านะเนี่ย คนไทยที่เห็นเหตุการณ์ยืนอยู่ตรงนั้นเยอะแยะเลย

สรุปครับ อย่างที่ผมบอกไป ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคนไทยจะเจริญทางด้านจิตใจมากกว่าฝรั่ง อย่างน้อยที่สุด ฝรั่งที่ผมเจอ (ในออสเตรเีลีย) เค้าก็รู้จักคำว่าน้ำใจกันแล้ว เป็นน้ำใจแบบที่หาไม่ได้ในกทม. เด็ดขาด

พูดแล้วก็เสียอารมณ์อ่ะนะครับ งั้นจบดื้อ ๆ เลยดีกว่า ไม่อยากให้ใคร ๆ มาเครียดกับผมครับ



Create Date : 23 มีนาคม 2553
Last Update : 23 มีนาคม 2553 18:16:41 น.
Counter : 810 Pageviews.

4 comments
  
เห็นด้วยค่ะ

มันเอามาเทียบกันไม่ได้หรอกเนอะ เรื่องแบบนี้
โดย: ผิง IP: 60.240.27.27 วันที่: 23 มีนาคม 2553 เวลา:18:24:35 น.
  
อืมมมมมม คุณนายเธอนี่ร้ายยจิงแถมปากคอเราะร้าย หน้าหายเหงิบไปเลยย
โดย: ลูกปลาน้อยย้งยี้ IP: 125.26.53.90 วันที่: 24 มีนาคม 2553 เวลา:20:50:48 น.
  
มานก็ทุกประเทศมีคนดีคนเลวคละกันไปตัดสินไม่ได้หรอกว่าอันไหนดีกว่า
โดย: maneki^neko IP: 112.142.149.155 วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:21:19:30 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

The Queenslander
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



มีนาคม 2553

 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog