<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
23 มกราคม 2551
 
 

เอดส์: ประสบการณ์จริง เรื่องที่ไม่ควรประมาท

เรื่องนี้ควีนไปเจอในเน็ตนะคะ เนื้อหาอาจจะยาวววววววไปนิดดด แต่ว่ามีประโยชน์มากๆเลยค่ะ





เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมนี้เป็นเรื่องจริง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะใกล้ตัวได้ขนาดนี้ นั่นก็คือเรื่องของโรคเอดส์ ....

ผมเองก็เป็นคนนึงที่ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย มีแฟนคบกัน เลิกกัน แล้วก็มีแฟนใหม่ ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานกับเพื่อน โดยที่ไม่เคยคิดถึงว่าจะมีเรื่องราวร้าย ๆ ว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นกับตัวเราได้ เพราะผมเองก็เรียนอยู่ในมหาลัยเอกชนชื่อดัง (ขอสงวนนามไม่บอกนะครับ) มีสังคมและกลุ่มเพื่อนที่ดี เที่ยวกลางคืนกันบ้าง ตามสถานที่ ที่วัยรุ่นทั่วไปเค้าไปกัน (แถวทองหล่อ เอกมัย สุขุมวิท)

จนกระทั่งวันนึง ผมก็ได้พบกับ ผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเธอเองก็เป็นคนน่ารัก ยอมรับนะครับว่าเจอกันในที่เที่ยว ซึ่งครั้งนั้นเธอไปเที่ยวในงานวันเกิดของเพื่อน แล้วเราก็ได้รู้จักกัน จนสนิทสนมและก็ได้คบหากัน ซึ่งหลังจากนั้น เราก็มีอะไรกัน ตามประสาคนทั่วไป ... เราคบกันโดยที่ ป้องกันบ้างไม่ได้ป้องกันบ้าง ด้วยถุงยางอนามัย เพราะผมเองมั่นใจในตัวผมก็เพราะว่า ผมเองเป็นคนที่ตรวจเลือดประจำปีอยู่แล้ว และปรกติจะเป็นคนที่ป้องกันตัวตลอดอยู่แล้ว และผมเองก็เชื่อใจเธอ เพราะเธอเองเป็นคน อ่อนหวาน น่ารัก เรียบร้อย และไม่ใช่ ญ ประเภท ที่เที่ยวกลางคืนอย่างช่ำชอง จึงทำให้ผมไว้วางใจในตัวเธอ (ซึ่งนี่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ อย่างมาก อยากให้ทุกท่านได้รู้ไว้เป็นอุทาหรณ์)... แต่ส่วนใหญ่ ผมจะป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยมากกว่า ประมาณ ร้อยละ 90 เพราะไม่อยากเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ และไม่อยากให้เธอทานยาคุมเพราะว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพเธอในระยะยาว (อย่างน้อยนี่ก็คือความคิดของผม) ผมคบกับเธอได้เกือบปี

จนกระทั่งมีอยู่คืนนึง ซึ่งผมนั้นได้ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วก็ไปหาเธอตามปรกติ ซึ่งคืนนั้นผมยอมรับว่าผมเมา เพราะปรกติผมจะไม่ค่อยดื่มเหล้า เพราะเป็นคนคออ่อน จึงทำให้ขาดสติ และไม่ได้ป้องกันกับเธอในคืนนั้น และได้สัมผัสกับประจำเดือนเธอ ... แล้วในวันรุ่งขึ้นซึ่งผมจำได้ว่าเป็นวันเสาร์ ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด จึงมีเหตุที่ทำให้ผมนั้น รู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมาก (รู้สึกไม่สบายใจแบบแปลก ๆ ในวันนั้น) ผมจึงได้ชวนเธอไปตรวจเลือดกัน ซึ่งเธอเอง ก็ยอมไปตรวจแต่โดยดี เพราะคิดว่าไม่มีอะไร โดยที่ผมเองไม่ได้ตรวจด้วย ....


ผมพาเธอไปตรวจที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไปเจาะเลือดปรกติ เจาะ Anti-HIVและรอรับผล ... วันนั้น ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ความกังวลยังมีอยู่อย่างไม่ขาดหาย แต่ผมคิดว่าผมฟุ้งซ่านทำไมเนี่ย เพราะโดยนิสัยส่วนตัวนั้นผมเองก็เป็นคนที่ชอบคิดมากอยู่แล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกิน 1 ชม. แล้ว สังเกตว่าทำไมมันนานผิดปรกติ ผมจึงพาแฟนเข้าไปถามนางพยาบาล ปรากฏว่าคำตอบที่ได้รับ ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ ตอนนี้ ทางแล็ปเค้าต้องนำเลือดไปปั่นเพื่อที่จะตรวจยืนยันผล (เพราะตอนที่ผมเคยตรวจคือ ตรวจแล้วก็รอรับผลเลยไม่เคยมีการยืนยัน) ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มกังวลแต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะผมเองก็ไม่เคยตรวจที่นี่ และคิดว่าอาจเป็นเรื่องของระบบ จนกระทั่งผลเลือดออกมาหลังจากรอผลเป็นระยะเวลา เกือบ 3 ชม. โดยที่แฟนผมเข้าไปนานผิดปรกติ จนเธอเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก และเธอก็ได้บอกผมว่า กลัวมั้ย ทำใจดี ๆนะ

.............ผลเลือดออกมาเป็น บวก ...


ณ วินาทีนั้น ผมรู้สึกช็อคเหมือนสายฟ้าฟาด ตัวชา และมึนไปหมด แต่ก็ฝืนพูดกับเธอไปว่า อย่ามาล้อเล่นน่า บ้าเหรอจะติดมาจากไหน (ตอนที่พิมพ์อยู่นี้ผมยังจำความรู้สึกของวันนั้น และทุก ๆ ถ้อยคำที่เธอกล่าวมาได้) ... แต่เธอก็บอกว่ามันเป็นเรื่องจริง ซึ่งดูจากสีหน้าแล้วจะรู้ได้เลยครับว่าไม่มีทางล้อเล่นแน่นอน ซึ่งวินาทีนั้นผมเสียใจมาก ตอนแรก ๆ คิดด้วยว่า ผมเองเป็นคนที่อาจทำให้เธอติด หรือถึงจะไม่ใช่ก็ตาม แต่ผมก็เคยมีอะไรกับเธอโดยที่ไม่ป้องกัน จึงคิดว่าคงจะไม่รอดแน่นอน ผมจึงตัดสินใจขับรถออกจากรพ. ซึ่งตอนนั้นเรา 2 คนก็ได้นั่ง เงียบ ๆ อยู่ในรถ โดยที่ผมได้แต่ขอโทษเธอ จนกระทั่งผมลองมาคิดไตร่ตรอง ว่าผมเองก็ได้ตรวจเลือดครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้มา เป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่จะได้มาคบกัน และคิดว่ามันเป็นไปได้เหรอที่ว่าเราเป็นตัวต้นเหตุ


ณ วินาทีนั้น ผมจึงตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไปรพ.เดิม เพราะยังไงความจริงก็คือความจริง ผมจึงขอเจาะเลือดด้วย ปรากฏว่าหลังจากรอผลเพียงแค่ 30 นาที หมอก็ได้เรียกตัวผมเข้าไปแล้วบอกว่า ผลเลือดผมเป็นปรกตินะ ตอนแรกผมงงมาก ผมจึงถามหมอว่าเป็นไปได้ยังไง หรือว่าคุณหมอตรวจแฟนผมผิดพลาด และ
ผมเองก็ได้เล่าความเสี่ยงให้หมอฟัง (แต่หมอผู้ที่ดูผลเลือดของผมและแฟน เป็นหมออายุรกรรมนะครับ ไม่ใช่หมอด้านโรคติดเชื้อ) คุณหมอก็ตอบว่า ทางแล็ปเค้าได้ตรวจยืนยันแล้ว ไม่น่าจะผิดพลาด แล้วเค้าก็ได้อธิบายว่า การที่มีอะไรกับผู้ติดเชื้อนั้น โดยที่ไมได้ป้องกัน ถือว่าเป็นความเสี่ยง(สูง) ซึ่ง คุณอาจติดหรือไม่ติดก็ได้ ซึ่งตอนนั้นผมก็พูดไรไม่ออก เพราะว่าผมพึ่งมีอะไรกับเธอไปเมื่อวาน และสัมผัสประจำเดือนเธอเต็ม ๆ .... หลังจากที่นั่งซักพัก ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า โดยปรกติ จะมียาต้าน(ที่ผู้ติดเชื้อทานกัน) ซึ่งเค้าให้ทานภายใน 24 ชม. นับจากความเสี่ยงที่มี โดยส่วนใหญ่แพทย์จะจ่ายให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำชำเรา หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเข็มทิ่มตำ (ในต่างประเทศเรียกว่า PEP) ผมจึงได้ถามคุณหมอว่าเป็นไปได้ไหม ที่จะจ่ายยาให้ผมเพื่อที่จะทานป้องกัน เพราะผมได้สัมผัสกับเลือดเธอเต็ม ๆ คุณหมอก็ได้บอกว่า ไม่มีประโยชน์เพราะผมเอง ไม่ได้ป้องกันกับเธอประมาณ 1-2 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนก่อนที่ จะมาตรวจ ...

ผมจึงได้เถียงกับคุณหมอว่า ก่อนหน้านั้น ผมเองก็ไม่ได้ป้องกัน จึงอาจเป็นไปได้ว่า 1-2 ครั้งนั้น ที่ไม่ได้ป้องกันล่าสุด ถือว่าอาจจะไม่ติด แต่ครั้งล่าสุด ซึ่งผมได้สัมผัสกับเลือดเต็ม ๆ นั้น ถือว่ามีความเสี่ยงมาก จึงอยากให้หมอจ่ายยาต้านให้ผม และคุณหมอจึงได้ตัดสินใจโทรปรึกษาหมอด้านโรคติดเชื้อ และได้ตกลงจ่ายยาต้านให้กับผม (อาจเป็นเพราะเป็น รพ.เอกชน ... เพราะโดยปรกติ รพ.รัฐ จะไม่จ่ายยาต้านให้คนปรกตินะครับ)


ผมเองก็ได้ทานยาเป็นระยะเวลา 1 เดือนครึ่ง (จริง ๆ หมอเค้าให้ทานแค่ 28 วันน่ะครับ) ในช่วงเวลาที่จะรอผลเลือดในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้า เป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจผมอย่างที่สุด แทบไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้ ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องเช่นนี้ จะใกล้ตัวเราขนาดนี้ เป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นบทเรียนชีวิตที่สุด ๆ จริง ๆ ในเรื่องของความประมาท เพราะผมเองก็ศึกษาในเรื่องพวกนี้มาพอสมควร และคิดว่าการที่เราอยู่ในสังคมเช่นนี้ คบผู้หญิงโดยดูเพียงแค่ภายนอก รูปร่างหน้าตา สถานะ เลยทำให้คิดว่าน่าจะเป็นคนที่สะอาดปลอดโรค เป็นสิ่งที่คิดผิดมหันต์

จนกระทั่ง ระยะเวลาผ่านไป เธอเองก็เริ่มทำใจได้ ในขณะที่ตัวผมเอง ก็เครียดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความฟุ้งซ่าน ทำงานแทบไม่ได้ (บางครั้งก็อาศัยเรื่องงานนี่แหละครับ ที่ทำให้มันลืม ๆ ไปบ้าง) จนกระทั่ง หลังจากนั้น 6 และ 10 สัปดาห์ ผมก็ได้ไปตรวจแบบ Rapid test ที่คลินิกนิรนาม (ซึ่ง มันยังไม่ถึงเวลาแต่ผมก็ดันทุรังไปตรวจ เพราะฟุ้งซ่านมาก ๆ ) ผลออกมาเป็นลบ แต่ก็เท่ากับว่าเสียเงินฟรี เพราะมาเร็วไป และผมเองก็ได้ไปตรวจ PCR มาตอนระยะเวลา 1 เดือน นับจากวันที่หยุดยาต้าน ตามที่เคยมีหมอแนะนำไว้ (ผมหาหมอด้านโรคติดเชื้อหลายคนมาก) ผลออกมาเป็นลบ ซึ่งก็ทำให้รู้สึกเบาใจได้อย่างมาก เพราะว่าเป็นการตรวจหาเชื้อในกระแสเลือดโดยตรง แต่มีคุณหมอบางท่านก็บอกว่ายังเบาใจไม่ได้ เพราะว่าผมเป็นเคสที่ ทานยาต้านป้องกัน (โดยปรกติ แทบจะถือได้ว่า 100% แล้วนะครับ เพียงแต่ผมเป็นเคสที่ได้รับยาต้าน) ประกอบกับ PCR นั้น ไม่ใช่การตรวจซึ่งใช้ในการวินิจฉัย คุณหมอจึงได้นัดผมมาตรวจอีก นั้นก็คือ ตอน 3 เดือนนับจากหยุดยาต้าน (นี่คือโทษของการหา หมอหลายคน เวลาทับซ้อนกันครับ) เพราะหมอบางคน ก็บอกว่า 3 เดือน และ 6 เดือน นับจากเสี่ยง บางคนก็บอกว่า 3 เดือน 6 เดือน นับจากหยุดยา ....


สรุปก็คือ ผมทำตาม หมอทั้ง 2 ท่านที่แนะนำ และทำตามคำแนะนำของ CDC (กรมป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ ของอเมริกา) คือ ตรวจ 3 เดือน 4 เดือนครึ่ง และ 6 เดือน โดย ผลที่ 4 เดือนครึ่งของผม ทั้ง PCR Antibody P24Antigen ผลออกมาเป็นลบหมด และผลเลือดที่ 6 เดือนครึ่ง คือ PCR และ Antibody นั้น ผลก็ออกมาเป็นลบ ก็ทำให้โล่งใจเป็นอย่างมาก อยากบอกว่าความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่เลยนะครับ (จริง ๆ นะ) มองท้องฟ้า มองหมา มองต้นไม้ มองผู้คน มองอะไรต่าง ๆ รู้สึกดีไปหมด รู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ว่าชีวิตนั้นมีค่าขนาดไหน เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนใจเย็นลงมาก ๆ แล้วครับ จากที่เมื่อก่อนเป็นคนใจร้อน


อืม ... ขออธิบายเรื่องตรวจเลือดนิดนึง เพื่อความเข้าใจอะครับ โดยปรกติที่เราไปตรวจ HIV นั้นหมอเค้าจะให้ตรวจแบบ หา Antibody นั่นคือ ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นต่อเชื้อ HIV โดยมากรอ 3 เดือน ซึ่งหากผลเป็นลบ ก็หมายความว่าไม่เจอภูมิคุ้มกัน หรือว่าอาจมาตรวจเร็วไป ซึ่งภูมิยังไม่ได้สร้าง .... ส่วนการตรวจ PCR นั้นเป็นการตรวจหาเชื้อในกระแสเลือดโดยตรง ตรวจได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป (หมอบอก) ตรวจได้ตามรพ.ใหญ่ ๆ ที่มี Lab PCR เท่านั้น ค่าตรวจค่อนข้างแพงความไวสูง หากได้ผลบวกอาจช็อคได้ และไม่ได้นับเป็นการตรวจแบบวินิจฉัย (ถ้าผลออกมาเป็นลบ ก็ถือว่าแนวโน้มดี) ข้อดีคือรู้ผลเร็ว ไม่ต้องรอ 3 เดือนสำหรับคนที่เครียดมาก ๆ (แต่ยังไงหมอเค้าก็จะนัดมาตรวจยืนยันด้วย Antibodyที่ 3 เดือนอยู่ดีล่ะครับ) ข้อเสียอีกอย่างคือผลอาจคลาดเคลื่อนได้ หากมีการทานยาต้านป้องกัน เพราะยาต้านจะไปฆ่าเชื้อในกระแสเลือด แม้ผู้ติดเชื้อที่ทานยาต้าน ยังอาจสามารถตรวจออกมาผลเป็นลบได้

************************


ส่วนแฟนของผมนั้น หลังจากที่รู้ผลเลือดผ่านไปอีกเดือน เธอก็เริ่มออกอาการโดยที่มีอาการเป็นไข้บ่อย และ พอผ่านไปซักพัก ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วยด้วยโรคปอดอักเสบ (อาการแทรกซ้อนของคนที่ติดเชื้อ) เนื่องจาก CD4 ของเธอหรือระดับภูมิคุ้มกันเธอต่ำมาก ซึ่งตอนนั้นผมสงสารเธอมาก เพราะเธอต้องออกจากงาน และแถมยังป่วยหนัก และเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเธอและผมก็ว่าได้ เพราะตอนนั้นผมเองก็เครียดมาก ไม่สามารถปรึกษาใครได้ ผมเองก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะคนในครอบครัว แค่คิดก็ทุกข์มากแล้ว นอกจากคนในเว็บของผู้ติดเชื้อ ซึ่งทุกวันนี้ ก็อยากขอบคุณมากที่เป็นกำลังใจและที่ปรึกษาให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ....

พอผ่านไปได้ประมาณ 2 เดือน แฟนผมก็อาการดีขึ้น เพราะโรคแทรกซ้อน ไม่หนักมาก ถือว่ายังโชคดี ประกอบกับเธอได้รับยาต้านแล้ว ซึ่งก็ทำให้เธอแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ ก็กลับเป็นเหมือนปรกติ แต่ก็ยังมีอาการเศร้าหมอง เป็นบางครั้ง เพราะว่าเธอยังคงต้องกินยาจำนวนมาก (ยาวัณโรค เพื่อป้องกันวัณโรคแฝง + ยาต้าน) ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เธอท้อบ้าง แต่ตอนนี้ก็เริ่มไม่เป็นไรแล้ว เข้มแข็งขึ้นมากพอสมควร

************************



ของผมเอง แต่ในช่วงเวลาที่มืดมิดของผมนี้ ผมได้เรียนรู้สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งอยากบอกให้ท่านผู้อ่าน ได้รับรู้เอาไว้ เพราะเท่าที่เคยอ่าน หนังสือธรรมมะ (จากที่ไม่เคยแตะมาก่อน) และได้คุยกับคนหลาย ๆ คน ก็คือ ว่าในช่วงระยะเวลาที่เรารู้สึกว่าชีวิตเรา กำลังจะถึงจุดจบ เราจะนึกถึงอดีต และเรื่องที่เราเคยทำมา เพราะมันทำให้เราเห็นภาพอย่างชัดเจนเลยว่า เรื่องราวบางอย่างที่เราหลงไปกับภาพมายาของมัน วัตถุ แสงสี เสียง ความทะเยอะทะยาน ทั้งหลายนั้น มันหายไปหมดในพริบตา ผมแทบไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้ สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงในเวลาที่ รู้สึกแย่ที่สุดท้อแท้ที่สุด เพราะตอนนั้นคิดว่าตัวเองไม่รอดแน่นอน และอาจอยู่ได้อีกไม่นาน (ตอนนั้นฟุ้งซ่านมาก ๆ เลยครับ ชนิดที่ใครไม่เจอกะตัวเองคงนึกภาพไม่ออก) สิ่งที่ผมนึกถึงนั้นก็คือ ครอบครัวของผม โดยเฉพาะคุณแม่ เป็นความรู้สึกผิดอย่างที่สุด รู้สึกเหมือนตัวเองอกตัญญูอย่างมาก ว่าบางครั้งเราเคยพูดจาไม่ดีกับท่านทำให้ท่านผิดหวังในบางเรื่อง ดื้อบ้างตามประสาวัยรุ่น และสิ่งที่นึกถึงรองลงไปก็คือเรื่องที่อยากทำในชีวิต และเรื่องที่เราเคยทำแล้วทำไม่ดี ทำไม่เต็มที่ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะคิดว่าเรายังมีวันพรุ่งนี้ และมีเวลาอีกเหลือเฟือ (พึ่งค้นพบสัจธรรมเลยครับ ว่าความตายนั้นอยู่ใกล้ตัวมาก ๆ ไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงจริงหรือเปล่า) ประกอบกับ ได้เจอได้พูดคุยกับผู้ติดเชื้อบางท่าน ซึ่งถ้าเดินสวนกัน เราไม่มีทางได้รู้เลยครับ ว่าเค้าคนนั้นติดเชื้อ เพราะแฟนผมนั้น ทุกวันนี้ ยังอุตส่าห์มีคนมาจีบ โดยที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรนะครับ
แต่ก็มีคนนึง ซึ่งรู้ว่าเธอนั้นเป็นอะไร เพราะเป็นคนคนแรก ที่เธอบอกว่าเธอป่วยด้วยโรคนี้ และเธอก็บอกว่าเค้าเป็นคนดีไว้ใจได้ ไอผมเองก็สงสัยมานานแล้วว่า มันมีไรในกอไผ่ป่าววะ จนตอนหลังเธอก็บอกว่า คนคนนี้ มาชอบเธอนานแล้วแต่เธอคิดแค่เพื่อน และ ช คนนี้ยังเคยมาขอคบกับแฟนผม (ทุกวันนี้เราก็ยังคบกันอยู่นะครับ และเค้าก็รู้นะครับว่าเรายังคบกัน แต่เราไม่ได้มีอะไรกันแล้ว ไม่กล้าอะ) เลยทำให้รู้สึกว่า ในโลกนี้ยังอุตส่าห์มีคนดีขนาดนี้หนอ รู้ทั้งรู้ว่าแฟนผมเป็นอะไร
ยังมาขอคบกันดื้อ ๆ ทำเอาผมยอมรับเลยครับ ว่าคนดีขนาดนี้ยังมีหลงเหลือ


************************


จะว่าไป ตลอดหลายเดือนที่เข้าออกเว็บ เกี่ยวกับโรคเอดส์ทั้งไทยและเทศ เพื่อหาข้อมูลก็ได้พบว่า เรื่องพวกนี้มันอยู่ใกล้ตัวจริง ๆ และกลุ่มของผู้ติดเชื้อนั้น เริ่มเด็กลงเรื่อย ๆ และมีทุกชนชั้นสังคม และต่อไปนี้เป็นเรื่องราวต่าง ๆ (ของผู้ที่โชคดีนะครับ คือมีไรกับผู้ติดเชื้อแล้วตัวเองไม่ติด) คนแรกที่ผมได้รู้จักนั้น คือคุณนิกกี้ (อายุ 25 ปี) เค้าเคยมาตอบคำถามให้ผม ในเว็บ aidsaccess ซึ่ง เค้าเองก็เป็นคนที่มีแฟนเป็นผู้ติดเชื้อ ไม่ได้ป้องกัน กันเป็นเดือน จนกระทั่งแฟนเค้าไปตรวจสุขภาพแล้วตรวจเจอ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ผ่านพ้นไปได้ แต่ก็ต้องทรมานอยู่ 1 ปี เต็ม ๆ กับการรอลุ้นผลเลือด ....


คนที่สองนั้น คือคุณ oh ซึ่งเป็นหนุ่มวัยกลางคน (อายุประมาณ 32-33 ปี) โดยคุณ oh นั้น ได้ซื้อบริการจากเด็ก Pirch และประมาทไม่ได้ใช้ ถุงยางอนามัยด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้ (อาจเพราะเห็นว่าเด็กมันเอาะ อะป่าวก็ไม่รู้) สุดท้ายหลังจากนั้น 2-3 วันแก เกิดไม่สบายใจ พาเด็กคนนั้นไปตรวจเลือด ปรากฏว่าเจอแจ็คพ็อตครับ นั่งเครียดไป อีก 3 เดือนเหมือนกัน แถมหมดค่าตรวจไปเป็นหมื่น เพราะแกเล่นตรวจ PCR ที่รพ.กรุงเทพไป 3 รอบ (รอบละไม่ต่ำกว่า 3000บาท) จะว่าไปผมเองก็เสียค่าตรวจเลือดเป็นหมื่นเหมือนกันมั้งครับ เพราะไหนจะ PCR 2-3 รอบ แล้วไหนจะตรวจ ไวรัสตับ A B C ไหนจะภูมิคุ้มกันไวรัสตัอักเสบ A และ B ... ซิฟิลิส ... มะเร็งไทรอยด์ .. มะเร็งอื่น ๆ ที่สามารถใช้เลือดตรวจได้ ระดับน้ำตาล ระดับไขมัน คุณภาพเม็ดเลือด ที่ตรวจนี่เพียงเพื่อเหตุผลเดียวนะครับ คือว่ากังวลร่างกายเราปรกติหรือเปล่า เพราะสภาพร่างกายมีผลต่อความเร็วในการสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะโดยปรกติ Antibody ต่อเชื้อ HIV สร้างเร็วสุดตั้งแต่ 3 สัปดาห์เป็นต้นไป ตรวจพบได้ที่ 8 สัปดาห์ แต่ที่เค้าบอกกัน 3 เดือน นี่ คือเพื่อให้ครอบคลุมคนส่วนใหญ่อะครับ (ประมาณ 99%) และ 6 เดือน เพื่อที่จะชัวร์ 100% (บางข้อมูลบอกว่าต้อง 1 ปี ไม่รู้ข้อมูลเก่าอะป่าว) แต่เอาเป็นว่า CDC และหมอด้านโรคติดเชื้อที่ผมเคยปรึกษาบอกว่า 6 เดือน ...


มาต่อกันกับคนที่ 3 ที่ผมรู้จักนั่นก็คือ คุณเป็ด อายุตอนนี้ ประมาณ 22 ปี เรียนมหาลัยรัฐชื่อดังครับใกล้จะจบแล้ว ส่วนแฟนของเป็ดก็เรียน มหาลัยเอกชนชื่อดังคนละที่กะผม เอาเป็นว่า เคสแกก็จะคล้าย ๆ กับผมครับ แต่แฟนแกเจ้าชู้ กิ๊กเยอะ และเป็ดเองก็ไม่เคยยุ่งกับแฟน แต่ก็ยอมทนในความเจ้าชู้ของแฟน จนกระทั่งวันนึง ได้มีอะไรกันขึ้นมา โดยที่เป็ดนั้น ได้ป้องกันแล้ว แต่แฟนแกไม่ยอมและได้ถอดถุงยางทิ้งไป แล้วมีอะไรกัน เพราะเธอคิดว่าการใช้ถุงยางเป็นการดูถูกเธอ จนผ่านไปไม่กี่วัน เป็ดแกก็ไม่สบายใจ เพราะรู้ว่าแฟนนั้นกิ๊กเยอะ เลยพาไปตรวจ ซึ่งก็ได้ทะเลาะกันพอสมควรก่อนที่จะยอมไปตรวจ แต่ที่ฝ่าย ญ ไปตรวจก็คงเพราะว่ามั่นใจว่าตัวเองนั้นไม่ได้เป็นอะไร ปรากฎว่าแจ็คพ็อตครับ ฝ่าย ญ เลือดบวก ... น้องเป็ดบอกว่าตอนนั้น เครียดแทบบ้าเลยครับ (ผมก็เข้าใจความรู้สึกเค้าอะครับ) แต่ตอนนี้ ก็ครบ 1 ปีแล้ว ผลเลือดของน้องเป็ดเค้าเป็นลบ (ถือว่าปลอดภัยแล้ว) เพียงแต่ว่า หลังจากรู้ผลเลือดแกก็ไม่ได้ติดต่อกะแฟนแกอีกเลยครับ ซึ่งผมกะเค้าก็คิดกันว่า กลัวแฟนเป็ดเค้าจะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น เพราะว่ามีกรณีอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งข้อมูลตรงนี้ มาจากผู้ที่ทำงานคลุกคลีกะผู้ติดเชื้อ


และก็มีคนที่เจอมากะตัวจัง ๆ แต่ตอนนี้ผลเลือดยังเป็นลบอยู่ นั่นคือคุณ y เคสนี้ คือ แฟนฝ่าย ญ เค้ารู้อยู่แล้วนะครับ ว่าตัวเองมีเชื้อ แต่ไม่ยอมบอกฝ่าย ช แถมยังไม่ป้องกัน เพราะจงใจทำให้ติดไปด้วย แกบอกว่า แฟนแกบอกตรง ๆ เลยครับ หลังจากที่คบไปได้ 2-3 เดือน (ที่บอกอาจคิดว่า ฝ่าย ช คงไม่รอดแล้วมั้ง) แต่ทุกวันนี้ คุณ y ยังรอผลเลือดอยู่ ซึ่ง เดือนหน้า ก็จะครบ 3 เดือน ก็ได้แต่หวังว่า เค้าจะโชคดีผ่านพ้นไปได้



นอกจากนี้ผมเองยังได้คุยกับผู้ติดเชื้ออีกหลายท่าน ผ่านทาง MSN ซึ่งก็ทำให้ได้รู้เรื่องราวว่า ส่วนใหญ่นั้น หลายท่านมาก ๆ ครับ ที่เป็นคนที่ไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงใด ๆ เลย แต่ก็โชคร้าย ติดมาจากสามี หรือ ภรรยา หรือ แฟนตอนสมัยเรียนซึ่งแต่ละคนก็เข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนา แต่ก็ประมาท เพราะไม่ได้ตรวจเลือดก่อนแต่งงาน จึงอยากบอกให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายรับทราบว่า เกินกว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อนั้น ไม่ได้เป็นคนสำส่อน หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงแต่อย่างใน หากแต่ประมาทเพราะไว้ใจในคู่ของตัวเอง และความคิดที่ว่าเรื่องพวกนี้นั้นห่างไกลจากตัวเอง ...

และอีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งจากการที่ได้รับรู้ข้อมูลจากคนที่ได้ทำงานด้านนี้ นั่นก็คือ เด็กสมัยนี้มีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุยังน้อย และมีพฤติกรรมที่ชอบเปลี่ยนคู่นอน โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกัน ประกอบกับ เนื่องด้วยปัจจุบัน ทางการแพทย์มีตัวยามากมายที่ช่วยยืดอายุของผู้ติดเชื้ออยู่ได้จนแก่เฒ่า จึงทำให้มีเด็กที่เป็นผู้ติดเชื้อ (ติดเชื้อมาตั้งแต่ตอนคลอด จากแม่ที่มีเชื้อ) ซึ่งเด็กเหล่านี้บางคนเป็นเด็กมีปัญหา เพราะว่าถูกกดดันจากสังคม ถูกคนรอบข้างที่ไม่เข้าใจเค้ารังเกียจ ไหนบางคนพ่อแม่ก็เสียชีวิตไปก่อนด้วยโรคแทรกซ้อน และพอแกโตเป็นวัยรุ่นก็กลายเป็นเด็กวัยรุ่นใจแตก ต้องการความรักความอบอุ่น บางครั้งจึงง่ายต่อการที่จะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งหากมีเด็กคนไหนไปยุ่งด้วย แล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมา ก็มีแนวโน้มว่าจะติดกันไปเป็นทอด ๆ เพราะเด็กเหล่านี้ เปลี่ยนคู่กันบ่อย

และที่ร้ายแรงที่สุด คือเด็กมีโอกาสได้รับเชื้อที่ดื้อยา นั้นหมายถึงเชื้อที่มีความรุนแรงกว่าปรกติ ... ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า สถิติของผู้ติดเชื้อหลัง ๆ จะพบว่าเป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ จึงอยากให้ทุกท่านได้โปรดมีความเข้าใจ และอย่ารังเกียจผู้ติดเชื้อเพราะ HIV นั้นไม่ได้ติดต่อกันง่าย ๆ ทางอากาศ หรือ ทางสัมผัสง่าย ๆ ทั่วไป (โดยไม่มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำคัดหลั่ง เข้ามาเกี่ยวข้อง) ผู้ติดเชื้อต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายกลัวคนปรกติ เพราะว่าภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อนั้นน้อยกว่าเป็นทุนเดิมจึงทำให้เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่านัก

************************


สำหรับจุดประสงค์ที่ผมมาเขียนบอกเล่าเรื่องราวให้ทุกท่านได้อ่าน ก็คือ อยากให้บทเรียนและประสบการณ์ของผมนั้น เป็นประโยชน์กับตัวของทุก ๆ คน โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่ยังอยู่ในวัยเรียน และผู้ที่มีความคิดอย่างผม ที่ว่าไม่น่าจะอยู่ใกล้เรื่องพวกนี้ อยากบอกว่าเป็นความคิดที่ผิด ๆ นะครับ เพราะผมเองก็ถือว่าที่บ้านมีฐานะ อยู่ในสังคมเดียวกับ พวกคุณนั้นแหละครับ เที่ยวก็เที่ยวตามที่วัยรุ่นทั่วไปเค้าไปกัน เพราะว่า เรื่องอย่างนี้ หากคุณได้ไปคุยกับคุณหมอด้านโรคติดเชื้อหรือคนที่ทำงานด้านนี้ จะรู้ว่ามันไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด และมีทุกระดับชนชั้น ตั้งแต่กรรมกร ยันระดับ ผู้บริหาร เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ มันยังไม่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม คนจึงไม่ค่อยเปิดเผย ยิ่งคนที่มีฐานะและมีหน้ามีตายิ่งไม่เปิดเผย แถมผู้ติดเชื้อบางคน (ส่วนน้อยมาก ๆ นะครับ) ยังมีเจตนาที่จะแพร่เชื้อ และบางคนก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน ใช้ชีวิตอย่างเสี่ยง ๆ ต่อไป ทั้ง ญ ..ทั้ง ช และ เกย์ จึงอยากให้ทุกท่านอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท เพราะเหตุการณ์แบบนี้ หากพลาดไปแล้วไม่มีโอกาสได้แก้ตัวนะครับ และผมเองก็อยากขอบคุณ ทุก ๆ ท่านที่เคยให้คำปรึกษาและเป็นกำลังใจให้ผม ในยามที่ผมเครียด ท้อแท้ และสิ้นหวัง


กระผม Tatee อยากจะขอขอบคุณ

คุณหมอT…Com และ คุณหมออภิภู จากเว็บ thaiclinic.com

คุณหมอรุ่งโรจน์ ตรีนิติ จากเว็บ clinicrak.com

คุณหมอ 075 จากเว็บ sirirajonline.com

คุณแก้ว จาก เอดส์ไดอารี่ และ คุณ MT แก้ว จากเว็บ kaewdiary.com

คุณตะวัน คุณแม่ธิดา คุณ POP คุณก้าป้าก้อยคุณลูซี่คนสวยจากเว็บittirak.com

คุณนิกกี้ .. คุณน้ำตกหมู .. คุณ krissthและคุณPaperจากเว็บ aidsaccess.com

คุณ kiss และคุณ devil จากเว็บ hadviser.com

และทุก ๆ ท่าน ที่เคยได้มีโอกาสพูดคุย ตอบคำถามผม และเป็นกำลังใจให้ผม



สุดท้ายนี้ ผมอยากบอกว่า ผมยังจำความรู้สึกตอนนั้น(ตอนที่รอผลเลือด)ได้อย่างไม่ลืมเลือน มันทรมานมาก ๆ เลยนะครับ ทั้งเครียดทั้งฟุ้งซ่าน ทุกวันนี้ยังไม่เคยลืมเลือน ผมนั้นอาจจะยังถือว่าโชคดี แต่ถึงกระนั้น ก็อาจมีคนมากมายที่ไม่ได้รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือเปล่า เลยทำให้มีพฤติกรรมที่ประมาท ซึ่งหลายคนนั้นได้พลาดพลั้งโชคร้าย ติดเชื้อมา และมันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถจะขอแก้ตัวได้อีกเป็นครั้งที่ 2 ... และที่น่าสงสารที่สุดคือ คนบางคนซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อาจเป็นสามี หรือ ภรรยา หรือ ลูก หรือแฟนใหม่ หรือ คนที่คุณรัก ต้องมารับเคราะห์กรรม นั่นคือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ต่อจากคุณไปอีก ไหนจะทำให้คนที่บ้านหรือคนที่รักคุณต้องเสียใจไปกับคุณด้วย ...
ดังนั้นผมจึงอยากเตือนว่า เรื่องพวกนี้มันใกล้ตัวจริง ๆ ครับ อย่าประมาทดีกว่า แม้ว่าคุณเองนั้น อาจไม่ใช่คนสำส่อน มีแฟนมากหน้าหลายตา หรือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน เพราะตราบใด ที่คุณมมีเพศสัมพันธ์ แม้เพียงครั้งเดียวแล้วไม่ได้ป้องกัน ตราบนั้นก็ถือว่าคุณเป็นคนที่มีความเสี่ยงครับ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี (ร้ายแรงพอกัน) หรือ เริม (อันนี้ป้องกันด้วยถุงยางอนามัยไม่ได้นะครับ) และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้ามีเวลาจะสรุปจากข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านต่อไปนะครับ รวมถึงเรื่องราวและระยะเวลาของการตรวจเลือดด้วยครับ
ดังนั้นผมจึงอยากรบกวนท่านผู้อ่านช่วยเผยแพร่บทความนี้ต่อ ๆ กันไป เพื่อให้เป็น บทเรียน...ความรู้...เป็นอุทาหรณ์...ช่วยเพิ่มความระมัดระวังในการมีเพศสัมพันธ์ หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เพียงเท่านี้ ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจ หรือรู้สึกผิดกับความประมาทของตัวเองทีหลังเหมือนผม เพราะไม่ใช่ว่าใครจะโชคดีกันได้ทุกคน พลาดเพียงครั้งเดียวอาจเสียใจไปตลอดชีวิต ... ขอบคุณครับ




เรื่องนี้สำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะ
( อยากให้อ่านกันทุกคน )




 

Create Date : 23 มกราคม 2551
11 comments
Last Update : 29 มีนาคม 2551 9:51:41 น.
Counter : 8107 Pageviews.

 

อ่านไม่จบหรอกครับ
แต่คิดว่า เข้าใจสภาพจิตใจของคนเขียนดีครับ

 

โดย: redPoTatO 23 มกราคม 2551 11:14:54 น.  

 

ให้กำลังใจครับ

 

โดย: แวะผ่านมา IP: 58.8.169.203 23 มกราคม 2551 11:28:23 น.  

 

เข้ามาอ่าน ขอบคุณจขblogค่า

 

โดย: Cere IP: 202.29.83.65 23 มกราคม 2551 11:59:49 น.  

 

คนที่แฟนคุณต้องการที่สุดคือคุณ คุณต้องเป็นกำลังใจให้เขา และขอเป็นกำลังใจให้ทั้งสองนะคะ อย่าท้อ

 

โดย: ApPleNarak999 23 มกราคม 2551 13:37:16 น.  

 

ดีใจด้วยค่ะ ที่ยังมีคนเข้าใจแบบนี้ ริซซ่อนเป็นหนึ่งคนที่มี น้องเอชในร่างกาย
อดีตมันย้อนไม่ได้อีกแล้ว ปัจจุบันต่างหาก ที่ต้องอยู่กับมันให้ได้
ไม่มีใครอยากเป็นหรอกค่ะ แต่เมื่อเป็นแล้วจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเนี่ยสำคัญ

 

โดย: rizzonte 23 มกราคม 2551 14:59:04 น.  

 

ขอร่วมให้กำลังใจกับผู้ป่วยทุกๆคนด้วยนะครับ

 

โดย: ปืนแก๊ป 23 มกราคม 2551 16:48:24 น.  

 

เพื่อนเราก้อเป็นเพราะติดจากแฟนเหมือนกัน แต่ตอนนี้เค้าไม่อยู่แล้วล่ะค่ะ ที่ยังอยู่ก้อคือแฟนเค้าค่ะ ยังไงก้อขอเป็นกำลังใจให้แฟนคุณด้วยนะคะ สู้สู้ค่ะ

 

โดย: มะนาวหวาน IP: 124.120.18.236 13 มกราคม 2552 16:20:51 น.  

 

ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจคนที่ป่วยค่ะ

 

โดย: ตั๊กกี้ IP: 125.26.101.253 24 กุมภาพันธ์ 2552 10:55:52 น.  

 

เราได้อ่านเกือบหมด เราว่านายได้ผ่านช่วงที่แย่มาล่ะ

เราดีใจกับนายจริงๆ ครับ เราก็ผ่านตอนนั้นมาล่ะ

ตอนที่รอจะตรวจ แต่ผลเป็นลบ

เป็นกำลังใจให้ๆ

 

โดย: เจมส์ IP: 58.8.98.130 11 มกราคม 2553 23:32:44 น.  

 

ดีครับได้ความรู้ได้รู้ว่าชีวิตมันมีค่ามากแค่ไหนจงใช้ชีวิตที่มีค่านี้ให้คุ้มมีความสุขกันทั่สหน้าครับ

 

โดย: นาจา IP: 171.100.230.107 26 มีนาคม 2559 19:27:54 น.  

 

แฟนผม ติดจากผมเนี่ยครับ ง้อแทบตาย ตอนนี้ดีกันแล้วครับ ทุกวันนี้ออกงานยังมีคนมาจีบเค้าเต็มเลย เค้าเป็นMC

 

โดย: แง่ม IP: 115.87.152.35 31 ธันวาคม 2559 19:14:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ควีนโพธิ์ดำ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Fit&Firm
[Add ควีนโพธิ์ดำ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com