Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
5 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
2. เก้าอี้ ... ตรงที่เดิม(2)

“สึงาราชิ อาทิตย์นี้ มีวันไหนไม่ต้องอยู่เวรตอนกลางคืนบ้างมั้ย” ทัตซึยะถามขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังทานอาหารเช้าด้วยกัน

“พรุ่งนี้ ทำไมเหรอ” ฮารุตอบด้วยเสียงอิดโรย ศีรษะซบอยู่กับม้วนทิชชู เพราะเมื่อคืนร่างบางยืนผ่าตัดคนไข้ฉุกเฉินเกือบตลอดคืน

“ร้านขายเนื้อลดราคา เลยว่าจะชวนทำสุกี้กินกัน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”

“ขอบคุณ แต่เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไร”

“ผล Lab ฉัน OK แล้ว หลังจากพยายามมาตลอด 5 เดือน”

ฮารุยกศีรษะจากม้วนทิชชู มองหน้าคมเข้มได้รูปที่กำลังยิ้มกว้าง

“ฉันยินดีด้วยจริงๆ” ฮารุรู้ดีว่า คนตรงหน้าทุ่มเทกับงานมากแค่ไหน

“งั้นฉันช่วยถือของกับเก็บล้างแล้วกันนะ” ฮารุส่งยิ้มโรยๆ

“ตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้วขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน”


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


“เฮ้ย..คาวามูระ ทำไมวันนี้เก็บของเร็วจัง” อากิระที่เพิ่งกลับมาจากทานข้าวกลางวัน ทักทัตซึยะด้วยความแปลกใจ เพราะปกติจะออกจากห้องวิจัยพร้อมกันตอนค่ำๆ เมื่อเห็นเพื่อนไม่ตอบและยังคงง่วนกับการเก็บของ อากิระอดที่จะล้อเล่นตามประสาชายหนุ่มอารมณ์ดีไม่ได้

“เอ๊...ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่ามีเดทล่ะซิ” อากิระทำเสียงล้อเลียน ชายหนุ่มตรงหน้าที่แสร้งทำเป็นขรึมเพราะกำลังกลบเกลื่อนความเขิน

“ไปแล้ว” ทัตซึยะ เดินตัวปลิวผ่านอากิระที่กำลังหัวเราะหึ..หึ ในลำคอ อย่างพยายามเก็บอาการให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

ทัตซึยะกลับมาถึงห้องก่อนเวลาที่นัดไว้กับฮารุ เขาเดินเข้าห้องส่วนตัวเพื่อนำของไปเก็บ ก่อนจะรินเครื่องดื่มให้กับตัวเอง หยิบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด แล้วเดินไปนั่งตรงมุมประจำของคนตัวเล็กกว่าที่เขากำลังคิดถึง

เขาแปลกใจตัวเองไม่น้อย ที่รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าการไปเดทครั้งแรกกับดาวโรงเรียนสมัยเมื่อเรียนมัธยมปลาย เขาไล่สายตาไปตามตัวหนังสือแต่ข้อมูลที่เข้าไปในสมองมีไม่ถึงครึ่ง

จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ เขามองเห็นฮารุหอบของพะรุงพะรังกำลังวิ่งตัดสวนสาธารณะมา ร่างบางหยุดยืน ก่อนจะโบกมือให้ทัตซึยะ เขายิ้มกับตัวเอง เพราะเหมือนว่าเขาได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ก่อนจะโบกมือตอบกลับไป

“กลับมาแล้ว รอนานมั้ย นี่รีบวิ่งมาเลยนะ ขอเก็บของแป๊บนึง” ฮารุทักเสียงใสร่าเริง ร่างบางวิ่งเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องรีบหรอก นี่เพิ่งบ่าย 3 เอง”

ความร่าเริง เสียงหัวเราะที่สดใส เขาอยากให้วันเวลาเหล่านี้ยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถ้าฮารุเป็นผู้หญิง เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะบอกความรู้สึกตอนนี้ที่อยู่ในใจออกไป

ระหว่างที่ทัตซึยะและฮารุเดินเคียงกันไปซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นวันนี้

“ฮารุ” สาวน้อยร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก ผมยาวสีน้ำตาล ดัดเป็นลอนเล็กน้อย กอดแขนฮารุอย่างสนิทสนม

“อ้าว ริคาโกะ สวัสดี ไม่คิดว่าจะเจอเธอแถวนี้เลยนะเนี่ย”

สายตาของริคาโกะมองร่างสูงที่ยืนเคียงข้างคนที่เธอกำลังเกาะแขนอยู่ ทำให้ฮารุรับรู้ถึงความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อน

“ริคาโกะ นี่ คาวามูระ ทัตซึยะ และ คาวามูระ นี่คุนิฮารุ ริคาโกะ”

“สวัสดีครับ คุนิฮารุซัง” ทัตซึยะเอ่ยอย่างเป็นมิตร

“เช่นกันค่ะ ยินดีที่รู้จักนะคะ” ริคาโกะกล่าว สายตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประเมิน หันกลับมามองหน้าคนที่เธอเกาะแขนยังไม่ยอมปล่อย ก่อนจะหันไปพูดกับทัตซึยะ

“ขอยืมตัวฮารุสักครู่นะคะ” พูดจบ ก็ลากฮารุ ห่างออกไปจากจุดที่ทัตซึยะยืน แค่พอให้ไม่ได้ยินเสียงทั้งสองคุยกัน

“คนนี้เหรอ ที่มาแชร์ห้องกับเธอน่ะ” ริคาโกะกระซิบถาม เพราะเกรงว่าทัตซึยะจะได้ยิน

“อืม ใช่”

“ท่าทางเป็นคนเปิดเผย จริงใจดีนะ ดีกว่าที่ฉันคิดไว้ตั้งเยอะ แล้วเธอกับเขา ตกลงเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกฉัน” ริคาโกะกระซิบอีกครั้ง น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเล็กน้อยปนกับความรู้อยากเห็น

“เฮ้ย ใครบอกเธอ ฉันกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย” ฮารุหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ยังทำเสียงดุเพื่อข่มความเขินอาย

“อ้าว ก็เห็นเขามองเธอแบบห้วง ... หวง นี่นา แล้วสายตาที่เธอมองเขาก็อ่อนโยนเชียว ไม่ได้มองแบบ ‘สายตาคุณหนูฮารุ’เหมือนที่เธอมองผู้ชายคนอื่น”

ฮารุอดยิ้มกับคำศัพท์ที่ไม่ได้ยินมานาน ‘สายตาคุณหนูฮารุ’ ที่ริคาโกะ เคยอธิบายให้เจ้าตัวฟังว่า เป็นสายตาแบบไร้อารมณ์ ปนเหม่อๆ ซึ่งฮารุเองก็นึกไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร

“เธอคิดมากไปเองล่ะมั้ง ริคาโกะ มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขายังเข้าใจว่าฉันเป็นผู้ชายอยู่เลย ฉันกับเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องกันธรรมดา เรายังไม่ได้แลกเบอร์มือถือกันด้วยซ้ำ” ฮารุอดรู้สึกใจหายขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้เมื่อเกิดคำถามกับตัวเองว่า ‘ถ้าเขารู้ว่าฉันเป็นผู้หญิงสิ่งที่เขามีให้ฉันจะเปลี่ยนไปมั้ยนะ’

“ถึงแม้ว่าเวลานี้เธอจะบอกว่า มันไม่มีอะไร แต่เราคบกันมานานนะ ฮารุ ฉันมองดูก็รู้ว่าเธอรู้สึกดีกับสุดหล่อนั่น” ฮารุที่บัดนี้หมดคำพูดที่จะแก้ตัวกับริคาโกะ และ หัวใจตัวเอง มองสบตาตรงๆกับเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า

“และฉันก็รู้จักผู้ชายมาเยอะพอที่จะรู้ว่า เขารู้สึกดีๆกับเธอด้วยแน่นอน ก็เหลือแต่เธอทั้งสองคนแล้วล่ะ ว่าจะทำยังไงต่อไป ฉันเป็นห่วงเธอนะ ฮารุ อยากให้เธอเรียนรู้เขาให้ดีๆก่อนที่จะตัดสินใจ”

“ฉันไม่รู้หรอกว่ามันจะต้องเป็นยังไง”

ริคาโกะกอดปลอบโยนคนตรงหน้า ไออุ่นที่ถ่ายทอดให้กันคงจะสามารถให้ความอุ่นใจเหมือนเมื่อวันวานที่ยังนอนด้วยกันสมัยอยู่หอพักในโรงเรียน

“ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ความรักมันไม่ได้สื่อสารด้วยคำพูดอย่างเดียวหรอกนะ แต่มันสามารถส่งผ่านจากหัวใจของคนสองคนที่รักกันได้ ถ่ายทอดจากหัวใจของคนที่มีความรัก ไปถึงหัวใจของคนที่เขารักได้เสมอ แล้วเธอค่อยปล่อยให้ความรักมันตอบคำถามของหัวใจเธอเองก็ได้” มือเล็กสัมผัสแก้มนวลของคนตัวสูงกว่า ที่ยังคงแดงก่ำ

“ขอให้เธอสมหวังกับรักครั้งแรกนะจ๊ะ” มือเล็กตบแก้มเบาๆ ส่งยิ้มทะเล้น ก่อนวิ่งจากไป

“ไปก่อนนะ แฟนฉันรอแล้ว” ริคาโกะตะโกนกลับมาพร้อมกับโบกมือให้ฮารุและทัตซึยะ ฮารุส่ายหน้าน้อยๆกับเพื่อนตัวแสบ ที่นิสัยชอบแกล้งปั่นหัวเธอไม่เคยเปลี่ยนจากเมื่อก่อน รวมทั้ง คำพูดปลอบโยน และความห่วงใยนั่นด้วย

ฮารุเดินกลับมาหาทัตซึยะที่ยังยืนดูของอยู่ที่หน้าร้านเดิม ความรู้สึกของทัตซึยะนาทีนี้ เขารู้สึกไม่พอใจที่ริคาโกะทำเหมือนยังต้องการสานความสัมพันธ์ที่มันควรจะจบไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่กับคนรักคนใหม่ เขารู้สึกทั้งหวงและห่วงฮารุขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่จะเห็นทั้งสองกอดกัน

“เป็นอะไรรึเปล่า” ฮารุ หยุดยืนเพื่อสบตากับคนข้างตัว เมื่อรู้สึกว่าทัตซึยะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งริคาโกะอาจจะเป็นต้นเหตุ

“ไม่มีอะไรนี่”

“เกี่ยวกับริคาโกะ ใช่มั้ย”

“ฉันแค่แปลกใจว่า คุนิฮารุมีแฟนอยู่แล้วใช่มั้ย แล้วเขาไม่ว่าเหรอที่มากอดกับนายที่เป็นแฟนเก่าแบบนี้”

ด้วยความสูงที่แตกต่างกันพอสมควร และ การแต่งกาย ก็ไม่น่าแปลกที่คนทั่วไปจะเข้าใจว่าเขากับริคาโกะเป็นคนรักกัน ฮารุได้แต่ยักไหล่น้อยๆ แล้วตอบว่า

“ไม่เป็นไรหรอก แฟนริคาโกะเขาเข้าใจ”

ฮารุรู้จักแฟนคนนี้ของริคาโกะดี ตั้งแต่ทั้งสองคนยังเป็นเพื่อนกัน และแฟนของริคาโกะก็รู้ว่าฮารุเป็นผู้หญิง

สักครู่ใหญ่อารมณ์ขุ่นมัวของทัตซึยะก็จางหายไป เนื่องจากความเพลิดเพลินจากบทสนทนากับร่างบางที่เดินเคียงข้าง

“ถือไหวมั้ย” ร่างสูงเอ่ยยิ้มๆ เขาต้องชะลอฝีเท้าลงเพื่อให้ร่างเล็กที่ทั้งสองมือถือถุงหลายขนาดที่ใส่ของที่จะลงหม้อสุกี้เย็นนี้ และ ของกิน ของใช้อื่นๆ เดินตามทัน

“ไหวซิ แต่ฉันว่านายซื้อของเยอะไปหน่อยนะ” ฮารุบ่นหอบๆ แต่ยังมีรอยยิ้มแจ่มใสส่งมาให้

“ฉันช่วยถือมั้ย” ทัตซึยะถามอย่างเป็นห่วง เพราะแม้อากาศจะเย็น แต่เขาสังเกตเห็นอาการหอบน้อยๆ และ เหงื่อที่ซึมชื้นที่ไรผม และคอ ที่กลายเป็นสีชมพูจางเพราะต้องออกแรง เมื่อรวมเข้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มาจากร่างบางที่เดินเคียงอยู่กับเขา มันอดไม่ได้ที่จะทำให้เขาไขว้เขว

‘ห้ามคิดอกุศล’ ทัตซึยะบอกกับตัวเอง พร้อมกับเบนสายตาไปมองร้านค้าต่างๆที่อยู่สองข้างทาง ตั้งสมาธิอยู่กับของใช้ที่กำลังจะหมด และ เขาจะต้องซื้อเพิ่ม เพื่อดับอารมณ์บางอย่างที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายใน

“ไม่เป็นไร ฉันบอกแล้วไงว่า วันนี้ฉันจะช่วยถือของกับเก็บล้าง” ฮารุพูดพร้อมกับเงยหน้ามองร่างสูงที่เดินข้างๆ

“เฮ้ย!!!”

โครม!! เสียงที่ดึงสายตาของทัตซึยะกลับมามองคนที่เดินข้างตัว ที่ล้มลงไปกองกับพื้น ส้มกลิ้งออกมานอกถุงเกลื่อนถนน ชายหนุ่มรีบช่วยฮารุเก็บของ ก่อนที่จะพยุงร่างบางให้ลุกขึ้น

“นายนี่เดินยังไง” ทัตซึยะพูดกลั้นยิ้ม

“ขอโทษ ...”

“มา ฉันถือของเองดีกว่า ขืนให้นายถือ กว่าจะได้กินสุกี้พอดีผักช้ำหมด” พูดจบทัตซึยะก็รวบของทั้งหมดไปถือไว้ในมือเดียว

“ขอโทษนะ แค่ถือของ ฉันยังไม่ได้เรื่องเลย ทั้งๆที่รับปากว่าจะช่วยแท้ๆ” ฮารุเงยหน้าสบตาร่างสูง

“จริงจังไปได้กับเรื่องแค่นี้เอง” แขนแข็งแกร่งโอบไหล่บางเขย่าเบาๆ ฮารุสบตาร่างสูงที่ตอนนี้เข้ามาใกล้จนตัวชิดกัน ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดจากร่างกาย และจากมือที่กำลังจับที่ไหล่ เร่งให้หัวใจของฮารุเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ฮารุได้แต่ค่อยๆแกะมือของอีกฝ่ายออก แล้วเดินนำหน้าไปเงียบๆ เพื่อซ่อนดวงหน้าที่บัดนี้แดงก่ำ

ทัตซึยะไม่เข้าใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้น เขาได้แต่เดินตามร่างบางนั้นไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงห้องพัก

“สุกี้ เสร็จแล้วนะ ฮารุ” ทัตซึยะเคาะประตูห้องเบาๆ

ฮารุเปิดประตูออกมายิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมสบตา

ทั้งสองนั่งกินสุกี้กันอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มเหลือบมองริมฝีปากบางสีชมพูเรื่อที่กำลังอ้าปากน้อยๆ เพื่อส่งผักเข้าปากด้วยจิตใจฟุ้งซ่าน

เสียงความคิดที่ตะโกนก้องในสมองทัตซึยะในตอนนี้คือ

‘นายน่ารักเกินไปแล้วฮารุ แล้วจะให้ฉันทำยังไง’

ทัตซึยะได้ถอนหายใจเป็นคำตอบ ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่เงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีก

หลังจากมื้อเย็นอันเงียบเชียบผ่านไป

“เดี๋ยวฉันเป็นคนเก็บล้างเอง” ฮารุเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

“อืม...มม ก็ดี ฉันมีงานที่ต้องทำค้างอยู่” ถ้าเป็นปกติเขากับฮารุจะต้องช่วยกันทำ แต่เวลานี้เขาพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจจะทำให้ฟุ้งซ่านจนอาจทำให้ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ดังนั้นทัตซึยะจึงตัดสินใจเดินหันหลังเข้าห้องของตัวเองไป

ภายในห้อง ทัตซึยะนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้องานวิจัยของเขา ถูกเปิดค้างไว้หน้าเดิมตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน เพราะเจ้าของห้องกำลังหลับตา พลางฟังเสียงต่างๆที่เกิดขึ้นภายในครัว แล้วกำลังนึกถึงคนตัวเล็กว่ากำลังทำอะไร

ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินออกมาจากห้อง มาหาอะไรดื่ม เผื่อจะเรียกสมาธิให้กลับมาอยู่ที่งานขึ้นมาได้บ้าง

ทัตซึยะยืนพิงตู้เย็นมองด้านหลังของฮารุที่กำลังล้างจานอย่างเงียบๆ

เสื้อแขนยาวที่เจ้าตัวใส่อยู่จนเขาคุ้นชินถูกถลกขึ้นสูงเผยให้เห็นแขนขาวเรียวเล็ก ทำให้เขานึกถึงตอนที่จับต้นแขนเล็กของร่างบาง มือที่กำลังเช็ดจาน ทำให้เขานึกถึงหลายๆครั้งที่ได้จับมือนุ่มเรียวบางคู่นั้น

เสื้อตัวโคร่งถูกมัดด้วยผ้ากันเปื้อน แม้ว่าจะเจ้าตัวจะมัดไว้อย่างหลวมๆ แต่ก็ทำให้เห็นว่าร่างบางนั้นเล็กกว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่มาก เขามองไล่จากปมของผ้ากันเปื้อนไปตามรอยยับของเสื้อเชิ้ต ไปถึงแนวไหล่บอบบาง สายตายหยุดค้างที่แนวเส้นโค้งของลำคอเรียวเล็ก ขาวละเอียด

คืนนี้...คืนที่เขาและฮารุยืนไม่ห่างกันมากเช่นนี้ ทำให้ทัตซึยะได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างบาง ความปรารถนาที่เขาไม่อาจจะควบคุมได้ ดึงดูดให้เขาเข้าไปดอมดมและสัมผัส

ทัตซึยะโอบกอดร่างบางจากด้านหลัง ก้มลงสูดดมความหอมจากเรือนผมนุ่ม หลังหู และ ซอกคอนวลเนียน พร้อมกับสอดมือหนาผ่านชายเสื้อเข้าไปสัมผัสผิวหน้าท้องที่เนียนละเอียด แบนราบ

สัมผัสจากทัตซึยะทำให้ร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดตื่นตระหนก ก่อนที่จะพยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการถูกสัมผัส ฮารุรวบรวมแรงทั้งหมดผลักร่างสูง ส่งผลให้เขาลงไปกองกับพื้น ก่อนจะส่งจานที่อยู่ในมือขว้างใส่ร่างสูงเต็มแรง

“โอ๊ย!!” ความเจ็บปวดที่ศีรษะแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ ทัตซึยะเงยหน้าขึ้นมองร่างบาง ที่บัดนี้ดวงหน้าหวานเป็นสีแดงก่ำถึงลำคอ ดวงตาคมหวานเอ่อด้วยน้ำตา มือทั้งสองข้างกำแน่นสั่นระริก ก่อนจะเค้นเสียงรอดริมฝีปากบาง

“ทำไมนายทำกับฉันแบบนี้” ร่างบางวิ่งเข้าห้อง ล็อคประตู ก่อนที่ทัตซึยะจะตามทัน

ปัง!! ปัง!! ปัง!! ทัตซึยะทุบประตูห้องฮารุ โดยไม่ได้สนใจเลือดที่ซึมย้อยลงมาจากปากแผล

“สึงาราชิ ผมขอโทษ ออกมาคุยกันก่อนได้มั้ย”

ดวงตาที่บ่งบอกความเจ็บปวดของการถูกหักหลังจากความไว้ใจ นั้นทำให้ทัตซึยะปวดปลาบในใจมากกว่าบาดแผลบนศีรษะมากนัก

ร่างบางยังตัวสั่นด้วยความตกใจ นั่งกอดเข่าพิงประตู โดยไม่รับรู้เสียงใดๆ แม้ว่าเสียงทุ้มภายนอกห้องจะอ้อนวอนเท่าไรก็ตาม

หลังจากเรียกอยู่พักใหญ่ จนทัตซึยะแน่ใจว่า ถ้าเขายังยืนอยู่ตรงนี้ ฮารุจะไม่มีวันออกมา เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าห้องของเขาเพื่อเก็บของจำเป็นเล็กน้อยยัดใส่เป้ ก่อนจะทิ้งโน้ตสั้นๆ แล้วเดินออกไป

เขาหันกลับไปมองห้องที่สว่างอยู่อีกครั้ง

‘ช่วงเวลาที่อบอุ่น ที่เขาเป็นคนทำลายมันลงกับมือ’

เวลาเที่ยงคืนภายในห้องพักยังคงเงียบสงัด ฮารุค่อยๆแง้มประตูห้องออกมา ร่องลอยความเสียหายภายในห้องยังคงเหมือนเดิม นอกจากกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆที่ติดอยู่หน้าตู้เย็น

“สึงาราชิ ....... ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเรื่องแย่ๆกับคุณแบบนี้ ผมรู้ดีว่า ผมได้ทำลายความรู้สึกดีๆ และความไว้วางใจทั้งหมดที่มีที่คุณให้ผมในฐานะเพื่อน ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษของผมในครั้งนี้.........คาวามูระ ทัตซึยะ”

น้ำตาของฮารุค่อยๆ ไหลออกมาอีกครั้ง รอยเลือด 2 -3 หยดบนพื้น ทำให้ฮารุนึกถึงร่างสูงที่ตัวเองเป็นคนทำให้บาดเจ็บ

‘... คาวามูระ คงจะไม่ได้ตั้งใจ เพราะถ้าตั้งใจ ฉันคงหนีไม่พ้น’

ทัตซึยะไขกุญแจห้องวิจัย เปิดไฟ แล้วเริ่มลงมือทำแผลที่ตอนนี้ก็ยังคงมีเลือดซึมออกมาจากปากแผลที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรัง

‘มันก็สมควรแล้ว ที่นายจะโดนแบบนี้’ ทัตซึยะนึกสมน้ำหน้าตัวเองในใจ

“ฉันยอมเจ็บตัวมากกว่านี้ ถ้ามันจะทำให้ความโกรธ เกลียดในดวงตาของนายลดลงบ้าง สึงาราชิ” ทัตซึยะพูดกับตัวเองในกระจกอย่างเลื่อนลอย

ทัตซึยะนอนฟังเสียงนาฬิกาจนกระทั่งได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่เขาตั้งเวลาไว้ ชายหนุ่มลุกขึ้นเก็บเครื่องนอนที่ใช้ประจำยามค้างที่ห้องวิจัย ก่อนที่เพื่อนร่วมห้องวิจัยจะมา เขาล้างหน้าเพื่อหวังให้ความสดชื่นขับไล่ความอิดโรยจากการนอนไม่หลับทั้งคืน

“ทำไมวันนี้มาเช้าจัง” เสียงทักทายจากอากิระ เพื่อนในห้องวิจัยที่ทัตซึยะสนิทด้วยที่สุด

“ปกติเห็นไม่ 8 โมง ก็ยังไม่มา”

“เฮ้ย... หัวแตกเหรอ ไปทำอะไรมาวะ”

“เมื่อคืนฉันนอนที่นี่” ทัตซึยะตอบเนือยๆ

“ทำไมมานอนนี่ล่ะ เห็นเมื่อวานเก็บ Lab ตั้งแต่บ่าย นึกว่าไปเดท ไหงกลับมาหัวแตก”

“....” ในเมื่อคำตอบกลับมาเป็นเพียงความเงียบ อากิระได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ

“ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกันนะ”

1 อาทิตย์แล้วที่ทัตซึยะไม่กลับมาที่ห้องเลย ฮารุมองประตูห้องของร่างสูงที่เธอคิดถึง ก่อนจะก้มมองแจ๊คเก็ตที่ทัตซึยะเคยห่มให้ที่พาดไว้ที่พนักเก้าอี้

ฮารุอดเป็นห่วงร่างสูงเจ้าของห้องไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่ควรจะเป็นห่วงเลย หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา 1 สัปดาห์ ฮารุได้รับรู้หัวใจตัวเองว่า ไม่ได้รังเกียจสัมผัสจากทัตซึยะ แต่ยังไม่พร้อมกับสัมผัสที่ลุกล้ำเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งตัวอย่างนั้น

เมื่อนึกถึงการปฏิบัติที่อบอุ่น และอ่อนโยน และเอาใจใส่ที่ผ่านมาทำให้ความโกรธของฮารุลดลงไปมากกว่าครึ่ง

‘ทำไมไม่กลับมาคุยกับให้รู้เรื่องนะ’ ฮารุถอนหายใจ ก่อนจะสลัดความหนักใจแล้วเดินออกจากห้องไปโรงพยาบาล

“คาวามูระ คาวามูระ เฮ้ย....คาวามูระ”

“อะไร เรียกอยู่ได้” ทัตซึยะมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างตัวด้วยอารมณ์เศร้าซึม เหมือนที่เป็นมาตลอดทั้งอาทิตย์

“มันล้นตั้งนานแล้ว ไม่รู้สึกตัวเลยหรือไง”

ทัตซึยะก้มลงมองแก้วที่กำลังรองน้ำ ซึ่งน้ำล้นลงไปเจิ่งนองเต็มพื้นตามที่อากิระว่า อากิระส่งไม้ถูพื้นให้ แล้วทั้งสองคนก็ช่วยกันถูพื้น โดยที่ไม่มีคำพูดใดออกจากปากทัตซึยะ

“ฉันทนไม่ไหวแล้วว่ะ ขอพูดอะไรหน่อยเถอะนะ” อากิระพูดขึ้นทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด

“ฉันรู้ว่านายมีปัญหา แต่นายไม่ยอมเล่าอะไรให้ฉันฟัง ฉันก็คิดว่านายจะดีขึ้นเอง แต่นี่นายกลับแย่ลง แย่ลง”

ทัตซึยะเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อน เขาเห็นความกังวลใจอยู่ในตาคู่นั้น ทัตซึยะได้แต่ถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าเล่าแล้วฮารุจะต้องเสียหายเพราะเขา เขาจะรู้สึกแย่ไปกว่านี้

“นายมีปัญหาอะไรก็ไปคุยกับคนของนายให้เข้าใจเถอะว่ะ ปล่อยไว้อย่างนี้มันจะได้ประโยชน์อะไร นายจะมัวแต่หลบแบบนี้ตลอดไม่ได้หรอกนะ” อากิระบีบไหล่เพื่อนเบาๆ

จากสีหน้าของทัตซึยะ อากิระรู้ว่าเขาเดาถูกทาง

“สงสัยจะทะเลาะกับแฟนแล้วแฟนไม่ให้เข้าห้อง แต่ถ้าแฟนนายทำนายหัวแตกขนาดนี้ แฟนนายโหดว่ะ”

“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยขนาดนั้นหรอก ฉันแค่เดาเอา” อากิระเปลี่ยนจากน้ำเสียงพูดเล่น มาเป็นน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะเอื้อมมือตบไหล่หนาของทัตซึยะเบาๆ

“ฉันไม่ได้อึดอัดนะที่นายมานอนที่ห้องฉัน แต่ตอนนี้งานนายช้าแล้ว โปรเฟสเซอร์ทากามิยะก็เตือนนายแล้วไม่ใช่เหรอ”

ทัตซึยะตัดสินใจที่จะกลับไปห้องพักคืนนี้ อย่างน้อยถ้าฮารุไม่ให้อภัย เขาจะได้เก็บของออกมาหาที่อยู่ใหม่

ขณะที่เขาเดินผ่านสวนสาธารณะ เพื่อมุ่งหน้ากลับไปห้องพัก ทัตซึยะมองเห็นห้องของฮารุกับเขาเปิดไฟสว่าง แสดงว่าคืนนี้เขาคงได้คุยกับฮารุแน่ๆ แต่ไม่เห็นเงาของคนที่เขากำลังคิดถึงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เมื่อทัตซึยะเดินถึงหน้าห้อง เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนเคาะประตูห้อง เพียงอึดใจเดียว ประตูก็เปิดออก สายตาทั้งสองสบกันอยู่ชั่วครู่ ทัตซึยะพยายามค้นหาความโกรธ เกลียดในดวงตาคู่งาม

“ขอเข้าไปได้มั้ย” ทัตซึยะเอ่ยขึ้นก่อนทำลายความเงียบ

ฮารุพยักหน้าน้อยๆ ดวงหน้ายังจับจ้องกับร่างสูงที่เดินเข้ามายืนตรงหน้า ซึ่งทิ้งระยะห่างพอสมควร

“ผมขอโทษสึงาราชิ ยกโทษให้ผมได้มั้ย” สายตาของทัตซึยะจับจ้องไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่บัดนี้มีน้ำตาคลอตา ร่างเล็กก้มหน้า

“ยกโทษให้ผมเถอะนะ ต่อไปผมจะไม่แตะตัวคุณอีก หรือจะให้ผมทำอะไรเพื่อเป็นการไถ่โทษก็ได้”

ฮารุนึกโกรธตัวเอง ที่จริงๆแล้วเธอควรจะโกรธเขาไม่ใช่หรือ ทำไมเธอถึงรู้สึกดีใจมากมายนักเมื่อร่างสูงที่ไม่พบหน้ากับเกือบ 2 อาทิตย์ มายืนอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกนี้เรียกว่าความรักหรือเปล่า ฮารุไม่มั่นใจ และไม่คิดจะหาคำตอบ อาจจะเป็นเพราะฮารุยังไม่รู้จักคนตรงหน้าดีพอ

“นั่งก่อนซิ” คำตอบที่มาจากฮารุทำให้ทัตซึยะงงไม่น้อย แต่ก็เดินไปนั่งที่โซฟาอย่างว่าง่าย

‘สงสัยจะมีอะไรคุยยาว’ ทัตซึยะกังวลในใจ แต่แค่ยอมคุยด้วยเขาก็ดีใจมากแล้ว

ฮารุเดินหายเข้าไปในห้อง ก่อนจะถือยาและอุปกรณ์ทำแผลออกมา แล้วนั่งคุกเข่าบนโซฟา นิ้วเรียวยาวเสยผมของทัตซึยะขึ้น ค่อยๆแกะผ้าก็อตที่ปิดแผลไว้ ร่างบางมองดูบาดแผลจะเริ่มแห้ง แต่ยังเป็นรอยนูนช้ำอยู่มาก แม้ว่าฮารุเช็ดทำความสะอาดแผลอย่างเบามือ แต่ทัตซึยะก็ยังต้องขมวดคิ้วด้วยความเจ็บแผล แต่ไม่ได้ปริปากบ่นอะไรออกไป

เมื่อสัมผัสแผ่วเบานั้นหยุดไป ทัตซึยะเหลือบตามองร่างบางที่นั่งคุกเข่าอยู่ห่างออกไปด้านข้าง ซึ่งขณะนี้นั่งก้มหน้านิ่ง ดวงหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา น้ำตาที่ไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่ทราบ น้ำตาค่อยๆหยดลงบนหน้าตักของร่างบางที่เริ่มสั่นน้อยๆด้วยแรงสะอื้น ทัตซึยะเอื้อมมือไปจับศีรษะของคนขี้แยให้ค่อยๆโน้มลงมาซบกับไหล่กับหนา

“อย่าร้องไห้ซิ ยิ่งคุณร้องไห้ ผมยิ่งรู้สึกผิด” ทัตซึยะพูดเสียงเครือด้วยความสะเทือนใจ น้ำตาของฮารุที่เปียกที่ไหล่สร้างความปวดใจให้เขามากกว่าแผลที่ศีรษะมากนัก

“ฉันขอโทษ” เสียงอู้อี้ ปนมาพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยังไม่หยุดลงง่ายๆ

“ผมไม่เป็นไรหรอก ขอโทษผมทำไม ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ ฮารุ” น้ำเสียงอ่อนอุ่นที่กระซิบข้างหู มือหนาลูบผมเบาๆ เพื่อปลอบโยน ครู่ใหญ่ร่างบางที่ปล่อยให้ศีรษะซบอยู่กับไหล่กว้างจึงเริ่มสงบ

เมื่อทัตซึยะแน่ใจว่าฮารุหยุดร้องไห้แล้ว เขาจึงจับไหล่ของฮารุให้นั่งตรงๆ พร้อมกับเขยิบตัวออกเพื่อทิ้งระยะห่าง

“ทั้งๆที่ผมเพิ่งสัญญาไปว่าจะไม่แตะตัวคุณ” ทัตซึยะส่งทิชชูให้ฮารุเพื่อซับน้ำตาที่ยังเปียกขนตาที่หนาเป็นแพ

“แผลใหญ่ขนาดนี้ ตอนนั้นน่าไปหาหมอ ถ้าเย็บแผล แผลจะได้หายเร็วขึ้น แต่ตอนนี้ก็เริ่มแห้งแล้วนะ” ฮารุพูดเหมือนกับไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้า พร้อมกับลงมือทำแผลต่อ

ทัตซึยะไม่แน่ใจในความรู้สึกของฮารุ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนกับสัมผัสอันอ่อนโยนที่ฮารุมอบให้ เขาอดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ฮารุคงยกโทษให้เขาแล้ว

“ฮารุ ยกโทษให้ผมได้มั้ย” ทัตซึยะตัดสินใจถามฮารุอีกครั้ง เมื่อฮารุเก็บอุปกรณ์การทำแผล

ดวงตาที่มีรอยแดงช้ำเนื่องจากผ่านจากการร้องไห้ สบตรงๆ กับดวงตาที่มีแววสำนึกผิดอย่างล้ำลึก

“อือ ก็ได้ แต่สำหรับเรื่องไถ่โทษฉันยังนึกไม่ออก เอาไว้นึกออกแล้วจะบอกแล้วกัน” ฮารุตอบคำถามแต่ก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไป


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แม้ว่าเรื่องรุนแรงจะผ่านไปแล้ว ...กิจวัตรประจำวันกลับมาเหมือนเดิม แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิม

ทัตซึยะ .... แม้ว่ายังมีความอบอุ่น ห่วงใย ดูแล เช่นเดิม แต่เขายังคงรักษาระยะห่างที่เขาสัญญาไว้ ....

ฮารุ ... แม้ว่ายังตอบรับความอบอุ่น ห่วงใย ดูแลนั้น ด้วย ความอบอุ่น ห่วงใย และอ่อนโยน เช่นเดิม แต่ความร่าเริง สดใส ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นความเกรงใจ และ เขินอายเป็นส่วนใหญ่

จนกระทั่ง.....

เย็นวันหนึ่งขณะที่ทัตซึยะกำลังขึ้นบันไดเกือบจะถึงห้องพัก ฮารุวิ่งกระหืดกระหอบตามขึ้นมา แล้วลากเขาเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว แล้วดันเขาให้ออกไปหลบที่ระเบียงที่มีกระถางต้นไม้เล็กๆอยู่สองสามกระถาง

“นายหลบอยู่นี่นะ อย่าให้ใครเห็น จนกว่าฉันจะบอกให้ออกมาได้” ฮารุพูดหน้าตาตื่น

“ทำไม”

“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลยนะ ถือว่าฉันขอร้อง” ท่าทางฮารุร้อนรนจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้ แม้ว่าอากาศยามนี้ในฤดูหนาวจะหนาวมากก็ตาม

ยังไม่ทันที่ทัตซึยะจะซ่อนตัวให้แนบเนียน เขาก็ได้ยินเสียงสนทนาที่ดังขึ้น

“เชิญค่ะ นายแม่”

“ขอบใจจ้ะ” อากิโมโต้ โชโกะ นายหญิงแห่งคฤหาสน์ อากิโมโต้ เดินเข้ามา พร้อมกับกวาดสายตามองความเป็นอยู่ภายในห้องพักของลูกสาวที่รักปานดวงใจ แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของเธอก็ตาม

“เชิญนายแม่นั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูไปชงน้ำชาให้นะคะ นายแม่จะได้อุ่นๆ”

“นายแม่มาที่นี่ยังไงคะ”

“ให้โชตะขับรถมาให้จ้ะ”

“นายแม่ไม่สบายเหรอคะ ถึงมาโรงพยาบาล”

“ไม่หรอก แม่สบายดี แต่อยากมาเยี่ยมลูกสาวแม่หน่อย เป็นไงบ้างลูก พักนี้เรียนหนักเหรอ ไม่ค่อยกลับบ้านเลย”

“เทอมนี้เรียนหนักจริงๆค่ะ เพราะทั้งเรียน ทั้งอยู่เวรเลยค่ะ นายแม่” ฮารุวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนพรม พร้อมกับซบหน้าลงบนตักของนายแม่ที่รักและเคารพเหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก มืออุ่นที่โอบอุ้มฮารุ ตั้งแต่ที่แม่แท้ๆของฮารุเสีย ลูบผมร่างบางอย่างอ่อนโยน แล้วปัดผมที่ปรกหน้าออก

“หนูเป็นสาวแล้วนะยังแต่งตัวแบบบรรดาพี่ๆ เหมือนสมัยเด็กๆอีกเหรอ”

“นายแม่ไม่ชอบเหรอคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตา

โชโกะพินิจดวงหน้าหวาน น่ารัก ที่ดูอ่อนวัยกว่าหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เหมือนถอดแบบมาจากทาเอะ หญิงสาวอาภัพ แม่แท้ๆของเธอ

“ไม่หรอก แม่ไม่ได้ว่าอะไร แต่เป็นห่วงว่า หนุ่มแบบไหนจะมาจีบลูกสาวแม่น้า” น้ำเสียงของคนสูงวัย เจือกับเสียงหัวเราะ

“พี่โชอิจิ เอาอะไรแปลกๆไปบอกนายแม่รึเปล่าคะ” ดวงหน้าหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อ

“ก็ไม่ได้เล่าอะไรมากหรอกจ้ะ แค่บอกแม่ว่าหนูอาจจะมีแฟนแล้ว แต่ยังไม่ยอมบอก”

“นายแม่ เชื่อพี่โชอิจิเหรอคะ”

“แม่ยังไม่อยากจะเชื่อยังไงล่ะ ถึงได้มาหาหนูเอง”

“หนูยังไม่มีใครจริงๆค่ะนายแม่”

“ถ้าหนูมีใครแล้ว แม่ไม่ว่าหรอกนะจ๊ะ แม่แค่อยากจะช่วยดู ช่วยเลือก คนที่ดีที่สุดให้กับหนูเท่านั้นเอง แม่กับแม่ทาเอะจะได้สบายใจ” โชโกะพูด พลางรำลึกถึงวันที่รับ ทาเอะ เด็กสาวหน้าตาสะอาดสะอ้านมาเป็นเด็กรับใช้ในบ้าน โดยที่เด็กสาวไม่ต้องการรับเงินเดือนและจะขอรับใช้ไปชั่วชีวิต แต่ขอร้องให้ช่วยรักษาบิดาที่กำลังป่วยหนักของเธอแทน จากกริยามารยาทที่งดงาม ขยันขันแข็ง และความกตัญญู ทำให้โชโกะ รักทาเอะ เสมือนน้องสาวของเธอ และ ในวันนี้โชโกะก็รัก ฮารุ เด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้า เสมือนลูกสาวแท้ๆของเธอเช่นกัน

ฮารุชันตัวขึ้นกอด และ ซุกตัวเข้าอ้อมอกอุ่น ที่มอบความอบอุ่นแทนมารดาแท้ๆของเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยไม่รังเกียจว่าเธอเป็นเพียงลูกของเด็กรับใช้ในบ้าน

“วันนี้นายแม่อยู่ทานข้าวเย็นกับหนูนะคะ”

“ได้ซิจ้ะ ถ้าหนูทำซุปสูตรพิเศษให้แม่ทาน แม่ไม่ได้ทานนานแล้วนะ”

“นายแม่รอซักครู่นะคะ”

ฮารุสวมผ้ากันเปื้อน แล้วเดินเข้าครัวอย่างทะมัดทะแมง เพียงครู่เดียว ซุปสูตรเฉพาะของฮารุ ผัดผัก และ ปลาย่างซีอิ้ว ก็ถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะอาหาร

“อาหารง่ายๆ ไม่ทราบว่านายแม่จะทานได้มั้ยคะ”

“ได้ซิจ้ะ หลายเดือนแล้วที่ไม่ได้ทานฝีมือลูกสาว”

ฮารุเลื่อนเก้าอี้ให้โชโกะนั่ง ก่อนจะเดินไปนั่งด้านตรงข้าม

อาหารมื้อเย็นผ่านไปพร้อมกับบทสนทนาอันอบอุ่นระหว่างคุณแม่กับลูกสาว ฮารุเหลือบมองนาฬิกา รู้สึกเป็นห่วงคนที่ตากลมหนาวอยู่ที่ระเบียงเป็นเวลา 4 ชั่วโมงกว่าแล้ว

“แม่คงต้องกลับซะที เพราะบอกกับเจ้าโชอิจิว่าจะไปค้างด้วย เดี๋ยวเขาจะเป็นห่วง”

“นายแม่รักษาสุขภาพนะคะ ถ้าหนูหยุดช่วงไหน หนูจะกลับไปหานายแม่ค่ะ”

“รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก”

ฮารุกอดนายแม่ของเธออีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูรถให้ แล้วยืนส่งจนรถยนต์ของนายแม่ลับตาไป ฮารุรีบวิ่งกลับไปที่ห้อง เมื่อเปิดประตูระเบียงออกไป ลมหนาวกรูเข้าไปภายในห้อง ลมหนาวกรีดผิวหน้า ร่างบางก้มลงมองทัตซึยะที่กำลังขดตัวหลับพิงกำแพง

“คาวามูระ ตื่น .... คาวามูระ” เมื่อเสียงเรียกไม่เพียงพอที่จะปลุก ฮารุเอื้อมมือไปจับเพื่อจะเขย่าตัวปลุกให้ตื่น ทันทีที่สัมผัส ฮารุก็รับรู้ถึงความร้อนเนื่องจากพิษไข้

ทัตซึยะปรือเปลือกตาที่หนักอึ้ง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเบลอๆ หูของเขาอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร เขาพยายามลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดของร่างบาง ก่อนจะพาร่างกายที่ปวดปลาบไปทั่วด้วยพิษไข้ เข้าไปห้องพักที่อบอุ่น

ฮารุเปิดประตูห้องของทัตซึยะ เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาห้องนี้ ตั้งแต่ทัตซึยะย้ายมาอยู่แทนริคาโกะ แม้ว่าร่างสูงจะพยายามให้ความร่วมมือเต็มที่ แต่ด้วยไข้สูงทำให้การทรงตัวเดินของทัตซึยะเป็นไปอย่างยากลำบาก ทำให้ฮารุต้องออกแรงพยุงร่างสูงมาที่เตียง แล้วปล่อยให้ร่างสูงล้มตัวลงนอน

ฮารุนำผ้าห่มหนาหลายผืนมาห่มให้ทัตซึยะ ผ้าขนหนูหมาดน้ำถูกวางบนหน้าผากมนได้รูปของชายหนุ่ม ฮารุพยายามปลุกให้ทัตซึยะกินยาลดไข้ แต่ยังไม่สำเร็จเพราะชายหนุ่มยังไม่รู้สึกตัว

สัมผัสอ่อนโยน เย็นสบาย ที่ใบหน้าและซอกคอ ทำให้ทัตซึยะปรือตาขึ้นอีกครั้ง มือเย็นเรียวเล็ก สัมผัสที่แก้ม

“คาวามูระ กินยาก่อน อย่าเพิ่งหลับ” เสียงเรียกพยายามดึงสติของคนไข้สูง

ร่างบางที่เคยนั่งข้างเตียง ขยับขึ้นมานั่งบนเตียง แขนเรียวของฮารุสอดใต้คอเพื่อพยุงทัตซึยะขึ้น นิ้วเรียวส่งยาเข้าปาก ก่อนจะป้อนน้ำอุ่นให้กับร่างหนา

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ฮารุยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง คอยเปลี่ยนผ้าขนหนูและวัดไข้ ... ไข้เริ่มลดลงแล้ว อาการปวดตามร่างกายของคนป่วยก็น่าจะลดลงไปด้วย เพราะตอนนี้ร่างหนานอนนิ่ง ไม่กระสับกระส่ายอย่างที่ผ่านมา นิ้วเรียวของฮารุ เขี่ยผมบางส่วนที่ปรกหน้าผากของทัตซึยะที่ยังนอนซมด้วยพิษไข้ ฮารุพิศดูใบหน้าด้วยความรู้สึกเป็นห่วง กังวล ท่วมท้นใจ แม้ว่าวันนี้เธอจะเหนื่อยมาทั้งวันแต่ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเดินกลับไปนอนพลิกไปมาอยู่บนเตียง

นาฬิกาบอกเวลา 6 โมงเช้า ฮารุมองออกไปนอกหน้าต่าง อากาศหนาวขนาดนี้อีกไม่นานหิมะคงตก ทัตซึยะยังคงหลับสนิท ฮารุจึงออกไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะออกไปเรียน เธอตัดสินใจแลกเวรคืนนี้กับเพื่อน เพราะเป็นห่วงคนที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง

หลังการฟังบรรยาย แบบไม่มีสมาธิ ฮารุรีบวิ่งกลับห้องพักที่มีคนที่เธอเป็นห่วงตลอดเวลานอนอยู่

ฮารุค่อยๆเปิดประตูห้องทัตซึยะอย่างเบามือ เกรงว่าเสียงจะทำให้คนบนเตียงตื่น เมื่อเธอทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อย

ทัตซึยะปรือตาขึ้นเล็กน้อย ภาพที่เข้ามาในประสาทรับรู้ยังคงไม่ชัดเจน

“เป็นยังไงบ้าง” เสียงอ่อนโยนดังแว่วมา ภาพของฮารุปรากฏชัด มือเรียวบางสัมผัสใบหน้าของทัตซึยะอย่างแผ่วเบา

“ยังปวดหัวอยู่มั้ย” ทัตซึยะสบตากับดวงตาคู่โตที่มีแววห่วงใยฉายชัดอยู่ในนั้น

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ แค่มึนๆนิดหน่อย ขอน้ำหน่อยได้มั้ย” ฮารุประคองทัตซึยะให้เลื่อนตัวขึ้นนั่งก่อนจะส่งแก้วน้ำให้

“เดี๋ยวกินอะไรซักหน่อยนะ จะได้กินยาแล้วนอนต่อ” ร่างบางลุกออกไปแล้ว อาการไข้ทำให้ทัตซึยะยังมึนงง เหมือนกับเขาลืมสิ่งสำคัญไปบางอย่าง ทัตซึยะมองตามร่างบางที่กำลังจะเดินออกจากห้องเขา แล้วสมองก็สว่างวาบ.....

ฮารุเดินหายไปสักครู่ แล้วเดินกลับเข้ามาพร้อมกับชามข้าวต้ม สายตาของทัตซึยะจับจ้องอยู่ที่ร่างบางที่กำลังเดินประคองชามข้าวต้มเข้ามา จับจ้องทุกฝีก้าว จนกระทั่งเธอเดินมานั่งข้างเตียง ถ้าเป็นปกติ ฮารุคงถามแล้วว่า ‘จะจ้องทำไมนักหนา’ แต่สายตายามนี้ของทัตซึยะทำให้ฮารุอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้

ฮารุยื่นชามข้าวต้มให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง

“ผมยังไม่ค่อยมีแรง คุณป้อนหน่อยได้มั้ย” ทั้งสายตา และสรรพนามที่เรียก เปลี่ยนจาก ‘นาย’ กลายเป็น ‘คุณ’ทำให้ฮารุเขินอย่างบอกไม่ถูก ความอิดโรยเมื่อครู่หายไปกับจังหวะหัวใจที่เต้นแรง แต่เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะเธอเองไม่ใช่หรือที่ทำให้เขาต้องป่วยแบบนี้

ฮารุตักข้าวต้มเป็นคำน้อยๆ ก่อนเป่าให้เย็น ค่อยๆป้อนคนป่วย

“ฮารุ มองผมหน่อยก็ได้ ไม่อย่างนั้นจะเห็นได้ยังไงว่า ข้าวต้มมันเลอะปากผมหมดแล้วน่ะ” ฮารุมองร่างสูงที่บัดนี้ ยิ้มทั้งปากและดวงตา ก็แววตาประหลาดที่เต้นระริกอยู่ในดวงตาแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้เธอไม่กล้าสบตา เพราะสาเหตุใด เธอก็ไม่อาจรู้ได้

“ขอโทษ” ฮารุหยิบทิชชูขึ้นซับมุมปากที่เลอะ คนป้อนแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยการโฟกัสสายตาไว้ที่ปากของทัตซึยะเท่านั้น

ข้าวต้มอุ่นๆทำให้ชายหนุ่มมีแรงมากขึ้น เมื่อฮารุเดินออกไป ทัตซึยะขยับร่างกายที่ยังเมื่อยล้า เนื่องจากพิษไข้ พยายามลุกจากเตียง

“อย่าเพิ่งลุกเลย จะเอาอะไรเดี๋ยวฉันหยิบให้” ฮารุ รีบถามเมื่อเห็นทัตซึยะลุกขึ้นแล้วมีการอาการเซเล็กน้อย

“จะเข้าห้องน้ำ หยิบให้หน่อยซิ” แววตายั่วล้อ ทำให้ฮารุอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ ‘อย่างน้อยถ้าพูดเล่นแบบนี้ได้แล้ว ก็น่าจะเกือบหายดีแล้ว’

“หยิบไม่ได้ งั้นช่วยพยุงมั้ย”

“อืม ช่วยหน่อยนะ ผมยังมึนๆน่ะ”

ทัตซึยะวางแขนบนไหล่ของคนตัวเล็กกว่า ร่างสูงหันมองคนข้างตัว ที่เมื่อเปรียบเทียบรูปร่างแล้ว ถ้าเขาล้มลงไปจริงๆ คงจะพยุงเขาไม่อยู่ เวลานี้ที่เขากำลังสัมผัสกับไหล่เล็กบาง ทำให้เขาอดนึกถึงแขนเรียว ต้นแขนนุ่มนิ่มที่เขาได้สัมผัสโดยบังเอิญก่อนหน้านี้

‘ทำไมนะ เราถึงไม่เฉลียวใจเลย’ เขามองร่างบางด้วยความรู้สึกหลากหลาย

เมื่อได้ล้างหน้า ทัตซึยะสดชื่นขึ้นมาก ถ้าไม่นับความอ่อนเพลียและความเมื่อยล้า เขาก็เกือบจะหายสนิท ฮารุพยุงเขากลับมาที่เตียง

“พักผ่อนมากๆจะได้หายเร็วๆนะ ฉันไม่กวนแล้ว”

ขณะที่คนตัวเล็กหมุนตัวจะเดินออกไปจากห้อง ทัตซึยะลุกขึ้นจากเตียง คว้าแขนของฮารุไว้ แต่เขาลุกเร็วเกินไป เมื่อรวมกับความอ่อนเพลียของร่างกายที่เพิ่งหายไข้ ทำให้ทัตซึยะเสียหลักล้มลงบนเตียง พร้อมกับฉุดร่างบางให้ล้มลงมาพร้อมกัน

ร่างของฮารุบัดนี้ทาบทับแนบสนิทอยู่บนร่างหนา ร่างบางพยายามยันกายลุกขึ้นจากแผ่นอกกว้าง แต่วงแขนแข็งแรงของทัตซึยะรั้งร่างบางไว้ในอ้อมกอด ทัตซึยะรับรู้ถึงทรวงอกนุ่มนิ่มที่เบียดอยู่กับแผ่นอกกว้างของเขา อ้อมกอดกระชับทำให้เขารู้ว่า คนตัวเล็กจริงๆแล้ว ตัวเล็กกว่าที่เห็นมากนัก มิน่าน้ำหนักที่กดทับบนตัวเขาถึงได้น้อยนัก แต่เมื่อเทียบกับน้ำหนักของเจ้าตัวที่อยู่ในใจของเขามานาน มันกลับมีค่ามากอย่างที่เขาเองยังนึกแปลกใจ

“ปล่อยฉันนะ นายอย่าเล่นอะไรบ้าๆ” ร่างบางดิ้นรนโวยวายกลับมา ฮารุรับรู้เสียงหัวใจเต้นแรงของตัวเอง เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่า นั่นคงเป็นเพราะเธอออกแรงดิ้น

“ผมขออยู่แบบนี้ซักพักได้มั้ย ได้โปรด ผมไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก”

เมื่อฮารุพยายามยกศีรษะขึ้น ดวงตาของเธอสบตากับดวงตาของร่างที่อยู่ข้างใต้ ที่มีแววประหลาดที่เธอไม่เข้าใจ แต่มันเร่งจังหวะของหัวใจของเธอที่เต้นแรงอยู่แล้วให้เต้นแรงขึ้นอย่างที่ห้ามไม่ได้

เมื่อใบหน้าของเธอสัมผัสกับลมหายใจอุ่นๆของทัตซึยะ ความรู้สึกบนใบหน้าที่ร้อนจนแทบไหม้ ฮารุตัดสินใจซ่อนใบหน้าไว้กับแผ่นอกกว้าง เมื่อฮารุซุกตัวนิ่งอยู่ในอ้อมกอดและไม่ยอมสบตา ทัตซึยะคลายวงแขนออก ยกมือข้างหนึ่งลูบผมฮารุอย่างอ่อนโยน

“ผมขอโทษที่ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าคุณเป็นผู้ชาย อะไรที่ผมทำแย่ๆกับคุณ คุณยกโทษให้ผมนะ”

“ฉันยกโทษให้หมดนั่นแหละ ปล่อยซะที” เสียงอู้อี้ตอบกลับมาจากอกของทัตซึยะ แล้วร่างบางก็เริ่มพยายามหนีจากอ้อมกอดอีกครั้ง

“ผมรักคุณ สึงาราชิ” เสียงทุ้ม หนักแน่น กระซิบแผ่วเบา ที่ข้างใบหูเล็กมนที่ตอนนี้เป็นสีแดงก่ำ

ประโยคนั้นจากร่างหนาที่กำลังกอดเธอไว้แนบกาย ทำให้ฮารุหยุดดิ้น อารมณ์หลายหลากเกิดขึ้นภายใน ตกใจ เขินอาย ดีใจ ทัตซึยะรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของฮารุที่เต้นแรงไม่ต่างจากของเขา หัวใจที่ในวันนี้ปลอดโปร่ง เพราะได้บอกในสิ่งที่เขาคิด กับ คนที่เขารัก โดยไม่ต้องกังวลว่า เขาควรจะทำอย่างไร ในเมื่อฮารุเป็นผู้ชาย

“ผมรักที่คุณเป็นคุณ ประทับใจตั้งแต่ตอนที่คุณเปิดประตูให้ผม”

“ผมอยากรู้จังว่าคุณคิดเหมือนผมบ้างมั้ย?” คำตอบที่ได้จากฮารุในเวลานี้คือ ความเงียบ

“คุณยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้ คุณอาจจะยังไม่เชื่อใจผม ผมอยากให้คุณค่อยๆมองดูผมไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะมั่นใจ แล้วคุณค่อยบอกผมก็ได้” ยังคงมีเพียง ความเงียบ ที่ตอบกลับมาจากร่างบาง

“สึงาราชิ เป็นอะไรรึเปล่า” ทัตซึยะรับรู้จังหวะการเต้นของหัวใจของร่างนุ่ม ที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

‘บางทีคำบอกรักของเขา อาจจะไม่มีอิทธิพลต่อหัวใจของฮารุเลยหรือ’ ทัตซึยะค่อยๆพลิกตัว อ้อมแขนแข็งแรงยังคงประคองร่างในอ้อมกอดไว้อย่างทะนุถนอม วางร่างบางลงข้างๆตัวเขา ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าหวานเนียนสงบนิ่ง ลมหายใจสม่ำเสมอ

‘สึงาราชิ..หลับไปแล้ว’ ทัตซึยะอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้

กลิ่นกาย และไออุ่นที่คุ้นเคย เสียงทุ้มที่อ่อนโยน สัมผัสที่นุ่มนวล และเสียงหัวใจเต้นประสานกัน เป็นเหมือนเพลงกล่อม ทำให้คนที่นอนน้อยติดต่อกันมาหลายคืน และตลอดคืนที่ผ่านมาไม่ได้นอนเพราะความกังวล เมื่อไม่มีความกังวล ฮารุหลับสนิท

ทัตซึยะตั้งใจจะไปนอนบนโซฟารับแขก เพราะสำหรับเตียงที่นอนคนเดียวแบบนี้ การนอนเบียดกับเขาอาจจะทำให้ฮารุรู้สึกไม่สบายตัว เขาขยับตัวออกเพื่อให้ฮารุได้นอนสบายๆบนเตียง ขณะที่เขากำลังจะลุก ฮารุพลิกตัวเข้ามาซุกกับอกกว้าง มือข้างหนึ่งจับเสื้อของทัตซึยะไว้ ชายหนุ่มใจเต้นแรง หน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขากุมมือของฮารุที่จับเสื้อของเขาไว้ ก่อนจะก้มลงจุมพิตที่หน้าผากมนได้รูปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดึงผ้าห่ม ขึ้นห่มคลุมร่างทั้งสองไว้ ก่อนจะเข้าสู่นิทรารมย์

ฮารุขยับตัวเล็กน้อย ทำให้ทัตซึยะรู้สึกตัวตื่น ความร้อนจากร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เมื่อเขาลองใช้มืออังหน้าผากและคอของฮารุ สัมผัสความร้อนที่เขารับรู้ทำให้หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง

“สึงาราชิ สึงาราชิ” มือใหญ่ลูบแก้มนวลด้วยความห่วงใย

“อืม...ฉันปวดหัวจัง” ฮารุปรือตาขึ้นมองหน้าทัตซึยะ ที่ห่างออกไปเพียง 2 คืบ เขาค่อยๆช้อนศีรษะของฮารุที่หนุนอยู่บนแขนของเขาให้วางบนหมอนก่อนจะรีบลุกไปนำน้ำและผ้าขนหนูมาเพื่อเช็ดตัวลดไข้ของร่างบาง

เมื่อเขากลับเข้ามาพร้อมกับน้ำและผ้าขนหนู ฮารุกลับฝืนลุกขึ้นมานั่งบนเตียง พยายามทำสีหน้าเป็นปกติ แต่ใบหน้านวลแดงก่ำด้วยพิษไข้

“ฉันไม่เป็นไรหรอก แค่กินยาก็หายแล้ว” ร่างบางพยุงตัวลุกขึ้น แต่ทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง ฮารุพยายามฝืนเต็มที่ ร่างบางต้องการกลับห้องไปนอนพักบนเตียงของเธอ เพราะตอนนี้ภาพที่เธอเห็นเริ่มเบลอไปหมด

“ถ้าคุณอยากกลับห้องของคุณ ผมจะพาไป” ทัตซึยะช้อนร่างของคนที่เป็นไข้สูงขึ้นจากเตียง แนบไว้กับอก ก่อนจะเดินลิ่วไปยังห้องข้างๆ ฮารุถูกวางลงบนเตียงก่อนที่จะทันต่อว่าหรือขัดขืน หญิงสาวรู้สึกว่าความร้อนที่หน้าเพิ่มสูงขึ้นอีก

“นี่คุณทานอะไรรึยัง ตอนที่ผมทานข้าวต้ม คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลยใช่มั้ย”

ฮารุพยักหน้า เธอไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า อาจจะเป็นเพราะอดนอน และความกังวล ทำให้ไม่รู้สึกหิว

“จะทานอะไรซักหน่อยมั้ย แล้วค่อยนอน เดี๋ยวผมทำให้”

“ไม่เอา ฉันคลื่นไส้จัง”

“งั้นก็นอนซะ” ทัตซึยะ ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าอย่างแผ่วเบาเหมือนเกรงว่าผิวที่ละเอียดเหมือนกระเบื้องเนื้อดีนั้นจะช้ำ ก่อนจะเลื่อนไปเช็ดที่ซอกคอ เร่งให้สีที่หน้าฮารุแดงขึ้นอีก กว่าทัตซึยะจะสังเกตเห็น ฮารุก็ตัวแดงเป็นกุ้งต้ม ด้วยความเขินอายในสัมผัสที่ทัตซึยะมอบให้

“ผมว่าคุณไข้สูงขึ้นอีกนะ ไปโรงพยาบาลมั้ย”

“ไม่ต้องหรอก แค่นายช่วยโทรหาริคาโกะให้หน่อยได้มั้ย”

ทัตซึยะพยักหน้า ก่อนเดินไปหยิบมือถือฮารุ แล้วโทรหาริคาโกะ

“ว่าไงจ๊ะ ฮารุ” เสียงใสดังมาตามสาย

“ผมคาวามูระครับ”

“อ้าว คาวามูระซัง ทำไมโทรมาด้วยมือถือของฮารุล่ะ ฮารุเป็นอะไรรึเปล่า” จากน้ำเสียงรื่นเริง เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงแฝงความกังวล

“ฮารุป่วยครับ ให้ผมโทรตามคุณ รบกวนช่วยมาหน่อยได้มั้ยครับ”

“ตาย นานๆหมอจะป่วย ได้ๆ เดี๋ยวฉันไปเดี๋ยวนี้แหละ”

เพียงอึดใจเดียว เสียงออดหน้าประตูก็ดังขึ้น ทัตซึยะเปิดประตูรับริคาโกะด้วยสีหน้าร้อนรน

“ฮารุ เป็นไข้ แต่เช็ดตัวแล้วไข้ยิ่งสูงขึ้น แล้วเธอก็ให้ผมโทรตามคุณ”

คำว่า ‘เธอ’ ในประโยคของทัตซึยะสะดุดหูริคาโกะมาก เธอตั้งใจจะถามตัวต้นเรื่องที่นอนป่วยอยู่ในขณะนี้

“คุณรอข้างนอกก่อนนะ” ริคาโกะพูดกับร่างสูงที่กำลังก้าวตามเธอเข้ามาในห้องนอนของฮารุ

ริคาโกะมองเพื่อนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้ สัมผัสเย็นสบายทำให้ฮารุปรือตาขึ้นมองคนที่กำลังเช็ดตัวให้

“ริคาโกะ”

“ว่าไงจ้ะ คนเก่ง ชายหนุ่มข้างนอก เขาทำอะไรเธอเหรอถึงได้ป่วยขนาดนี่เนี่ย” ริคาโกะอดแซวเพื่อนสนิทไม่ได้ และ ประโยคของเธอก็ทำให้หน้าที่แดงอยู่แล้วด้วยพิษไข้ แดงขึ้นอีก

“ฉันแค่ไม่ค่อยได้นอน กับ ไม่ค่อยได้กินเท่านั้นเอง” ฮารุตอบกลับด้วยเสียงแผ่วๆ พร้อมกับรอยยิ้มแห้งโหย

“ฉันเป็นห่วงเธอนะ เขารู้แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงนี่นา ฉันสงสัยว่าเขารู้ได้ยังไง หวังว่าเขาคงไม่ได้ลวนลามเธอคนรู้หรอกนะ”

“ไม่ใช่ เขาได้ยินฉันคุยกับนายแม่ ตอนที่นายแม่มาที่นี่”

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง” ริคาโกะหันไปจัดการกับน้ำและผ้าขนหนูก่อนจะหันมาเลือกเสื้อผ้า เสื้อหนาแต่เนื้อผ้าสบายตัวถูกนำมาวางบนเตียง

“เปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยนะ จะได้สบายตัว ใส่แค่ตัวเดียวพอแล้ว ไม่ต้องใส่ สามสี่ตัวแบบปกติหรอก ไม่ต้องเปิดหน้าต่างนะ แล้วหลับได้เลย เดี๋ยวเธอตื่นแล้ว ฉันจะทำอะไรให้ทาน” ริคาโกะพูดยืดยาวตามนิสัย ระหว่างที่ช่วยฮารุเปลี่ยนเสื้อผ้า

“อ้อ ไม่ต้องกังวลเรื่องงานนะ ฉันโทรไปลาให้แล้วเรียบร้อย”

“ขอบคุณมาก ต้องลำบากเธอเลย เธอกลับบ้านไปก่อนก็ได้ ข้างนอกหิมะตกเดี๋ยวเธอจะกลับลำบาก”

“เอาน่ารีบๆนอนซะ หลับให้สบายนะ ตื่นมาจะได้ค่อยยังชั่ว” ริคาโกะรอให้ฮารุหลับสนิท แล้วจึงค่อยๆเดินออกจากห้อง แล้วปิดประตูอย่างแผ่วเบา

“ฮารุเป็นอะไรมากมั้ยครับ” คำถามที่ถามขึ้นแทบจะทันทีที่เธอปิดประตูลง ริคาโกะจ้องหน้าทัตซึยะ ใบหน้าและแววตาของชายหนุ่มเกลื่อนไปด้วยความกังวล เธอมองหน้าเขาด้วยสายตาที่ต้องการค้นหาความจริงบางอย่าง ก่อนจะเดินไปที่ครัว

“ก็ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เป็นไข้น่ะ”

ริคาโกะเดินถือแก้วกาแฟของตัวเองกลับมานั่งที่โซฟา สายตาจับจ้องที่ดวงหน้าได้รูปของทัตซึยะ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ชายหนุ่มไม่คุ้นเคย

“คุณดูแลฮารุยังไง ทำไมถึงปล่อยให้เธอป่วย”

นั่นซินะ เขาน่าจะสังเกตได้ตั้งแต่ เขากอดหญิงสาวไว้แนบชิดทั้งร่าง หรือ เขามัวแต่กังวลและตื่นเต้นที่จะบอกความในใจกับเธอ จนไม่ได้รู้สึกถึงอาการไข้ของหญิงสาว

“ผมคงกังวลเรื่องของตัวเองมากไป”

ริคาโกะถอนหายใจ ‘เรื่องของตัวเอง’ หมายความว่าอย่างไร เธอไม่อยากจะถามซอกแซก เธอรู้เพียงว่า สายตาของฮารุที่มองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอขณะนี้ เป็นสายตาของหญิงสาวที่อบอุ่น อ่อนโยน ไม่มีส่วนเสี้ยวของ ‘สายตาคุณหนูฮารุ’ ที่เย็นชาและว่างเปล่าแม้แต่น้อย นั่นก็เป็นการบอกอะไรได้เพียงพอแล้ว ที่จะตัดสินใจให้เธอพูดอะไรบางอย่างออกไปในตอนนี้

“ฉันรู้ คุณมีใจให้เธอ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันจะมากหรือน้อย และมันจะยาวนานเท่าไร ถึงแค่เท่าที่คุณจะอยู่ที่นี่รึเปล่า”

ใช่ว่าคำถามที่ริคาโกะถาม เขาเองจะไม่เคยถามกับตัวเอง เพียงแต่ตอนที่เขาถามคำถามนี้กับตัวเอง เป็นตอนที่เขายังไม่รู้ว่า ฮารุเป็นผู้หญิง เมื่อบางสิ่งที่สำคัญเปลี่ยนไป คำถามนี่เขาคงต้องนำกลับมาถามกับตัวเองใหม่ แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะตอบคำถามที่ริคาโกะถาม หญิงสาวก็เป็นฝ่ายขัดขึ้นเสียก่อน

“ฉันไม่ได้อยากรู้คำตอบ เพราะมันเป็นเรื่องของคุณกับฮารุ ไม่จำเป็นต้องบอกฉันก็ได้ ฉันขอให้คุณดูแลฮารุให้ดีๆ ถ้าคุณจะรักก็รักเธอให้มากๆ ฉันเชื่อว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด”

สายตาของทัตซึยะ สบตรงๆกับ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความจริงใจ ต่อให้ริคาโกะไม่พูด ใจเขาก็รู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร

“ผมสัญญา”

สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้ายิ้มกว้าง

ทัตซึยะเคยแปลกใจที่ทำไมผู้หญิงสองคนที่ไม่เหมือนกันเลยอย่างฮารุกับริคาโกะถึงได้คบกันได้ นั่นคงเป็นเพราะเขามองความต่างที่ภายนอก ไม่ได้มองความห่วงใย และ ความผูกพัน ที่ทั้งสองมีให้กัน

“งั้นฉันฝากฮารุด้วยนะ หวังว่าคุณคงรักษาสัญญา”

“ครับ คุนิฮารุไม่ต้องเป็นห่วง” ทัตซึยะยิ้มให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความจริงใจ ริคาโกะมองเห็นถึงความตั้งใจจริงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

หญิงสาววางแก้วลงก่อนลุกขึ้น “ฉันกลับล่ะ” เธอตัดสินใจกลับก่อน แม้ว่าเธอจะห่วงเพื่อนสนิทมากก็ตาม บางทีการให้เวลากับคนทั้งคู่คงเป็นการดี เพราะเวลาเป็นสิ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจ ทั้งไม่ว่ารักหรือเลิก

“กี่โมงแล้ว ริคาโกะ” ฮารุพยายามขยับตัว หน้าผากรับรู้ถึงสัมผัสอ่อนโยนจากมือที่อบอุ่น

“คุณริคาโกะกลับไปแล้ว นี่ผมเอง” แพขนตาหนาขยับขึ้นลงถี่ๆ เพื่อให้ภาพเบื้องหน้าปรากฏชัดเจนขึ้น

“คุณยังมีไข้อ่อนๆอยู่นะ ผมเตรียมซุปร้อนๆไว้ให้ ทานซักหน่อย แล้วค่อยพักผ่อนต่อ”

ทัตซึยะกลับเข้ามาพร้อมซุปร้อนๆ กลิ่นกรุ่น เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงของคนป่วย ตักซุปขึ้นมาเป่าให้เย็นลงก่อนที่จะยื่นช้อนไปจรดกับริมฝีปากหญิงสาว ฮารุรู้สึกร้อนวูบที่หน้าก่อนที่จะเบือนหน้าหลบ

“ไม่เป็นไรฉันกินเองได้ ส่งชามมาซิ” เสียงแผ่วของคนไม่สบายที่พยายามฝืน เพื่อปฏิเสธชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้า

“ก็คุณป้อนผม ก็ให้ผมป้อนคุณคืนบ้างซิ” ดวงตาคู่คมของทัตซึยะจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้ารูปไข่ที่หลบตาเสไปมองทางอื่น

ในที่สุดคนป่วยก็ต่อรองอะไรไม่ได้มาก ต้องยอมให้ร่างสูงป้อนซุปอย่างสงบ ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมสงบ


Create Date : 05 ตุลาคม 2550
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 8:58:40 น. 0 comments
Counter : 282 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่ก้อนหินที่อยากบินได้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอมี Blog กับเค้าด้วยคนนะคะ ^ ^

Friends' blogs
[Add แค่ก้อนหินที่อยากบินได้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.