มาต่อที่ส่วนอื่นๆรอบคันของ Mitsubishi Attrage รุ่น GLS สีดำรองท๊อปคันนี้กันอีกครั้ง หลังจากที่ค้างคาไว้จาก "พาสำรวจรอบคัน Mitsubishi Attrage (แอททราจ) รุ่น GLS รองท๊อปสีดำ ตอนที่ 1" เนื่องจากกลับไปธุระที่บ้านต่างจังหวัด เลยไม่มีเวลามาอัพรีวิวต่อให้ต้องขออภัยในความล่าช้าด้วยนะครับ หัวข้อนี้ขอเน้นรูปเยอะๆละกัน ^^





เริ่มกันที่บริเวณที่เปิดประตูแอททราจกันก่อน ที่เปิดประตู Attrage รุ่นรองท๊อป GLS นี้ ฝั่งคนขับจะเป็นแบบปุ่มเปิดประตู ที่ใช้ร่วมกันกับกุญแจรีโมทอัจฉริยะ KOS เพียงแค่คุณพกกุญแจใส่กระเป๋าติดตัวไว้ แล้วเดินมากดปุ่มเปิดประตู ภายในระยะรัศมี 70 cm ก็สามารถเปิดประตูเข้าไปได้โดยง่าย ยกเว้นฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าข้างคนขับ ซึ่งที่เปิดประตูเป็นแบบธรรมดาใช้กุญแจไข แต่ก็ไม่แปลกอะไรเพราะในมิราจก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว

แต่จะแตกต่างก็ที่คู่แข่งอย่าง Almera รุ่นท๊อปที่ราคา 599,000 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่จะได้รับกุญแจ Immo และมีปุ่มเปิดแบบนี้ โดยที่อัลเมร่านั้นเขามีปุ่มเปิดมาให้ทั้งสองข้าง ทั้งฝั่งคนขับและฝั่งผู้โดยสาร แต่ก็ต้องพกกุญแจติดตัวเหมือนกันนะ ส่วนในอเมซนั้นไม่มีออฟชั่นนี้ แต่แอททราจได้เปรียบกว่าตรงที่คุณสามารถสัมผัสออฟชั่นปุ่มเปิดประตูพร้อมกุญแจรีโมทอัจฉริยะของ Attrage ได้ในราคาเพียง 530,000 บาท (ราคาแนะนำช่วงเปิดตัว 520,000)







มาต่อที่ล้อและยางของ Attrage กันบ้าง เริ่มจากล้อก่อนเลยแล้วกัน ล้อของ Attrage รุ่น GLS จะมาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ ขนาด 15 นิ้ว แบบ 12 ก้าน ซึ่งจะจัดเป็นชุดละ 3 ก้าน จำนวน 4 ชุด ใกล้เคียงกับตัวต้นแบบ Concept G4 ซึ่งก็เป็นแบบ 12 ก้านเช่นกัน แต่ไม่ได้ถูกจัดเป็นชุดๆเหมือนในแอททราจ รูยึดน๊อตก็เป็นแบบ 4 รู ส่วนในรุ่น GLX เป็นล้อกระทะพร้อมฝาครอบ ขนาด 14 นิ้ว

สำหรับยางของรุ่น GLS นั้นเป็นยางยี่ห้อ Dunlop รุ่น Sports 230 สเป็คที่ติดไว้กับยางเป็น 185/55/R15 ส่วนรุ่น GLX สเป็คยางจะเป็น 175/65/R14 จะว่าไปลายล้อก็คล้ายๆกับ vios โฉมที่แล้วเหมือนกันนะเนี่ย แค่ดีไซน์ต่างกันเล็กน้อย ใครไม่ชอบลายนี้ ก็เตรียมติดต่อร้านรับเทินร์ล้อกับยางไว้ได้เลยครับ ออกจากศูนย์ปุ๊บจัดเปลี่ยนรองเท้ากันไปสำหรับคนที่อยากหล่อกว่า ^^ เพราะจะได้ราคาเทิร์นค่อนข้างดีกว่า




ที่ปัดน้ำฝน Attrage ก็เป็นแบบ 2 ก้าน เหมือนปกติทั่วไป ส่วนที่ฉีดล้างกระจกหน้าก็มีมาให้ 2 หัวเช่นกัน แต่ในอเมซจะมีมาให้เพียงแค่หัวเดียวเท่านั้น จึงทำให้ฉีดน้ำล้างกระจกหน้าเพื่อทำความสะอาดได้ช้ากว่า ตรงนี้ทั้งแอททราจ และอัลเมร่าก็ได้เปรียบอเมซกันไป




เสาอากาศวิทยุ Attrage ที่มีมาให้นั้น เป็นแบบเสาสั้น โดนใจพวกเราแน่นอน เพราะรถในระดับนี้ส่วนใหญ่ก็จะให้เสายาวมาเกือบทั้งนั้น อัลเมร่าก็เสายาว ขนาดในมิราจ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของแอททราจก็ยังเป็นเสายาวเลยครับ




โลโก้ด้านท้าย Attrage ก็มีแค่ชื่อรถ กับป้ายโลโก้ มิตซูบิชิ เท่านั้น ไม่มีชื่อรุ่นเหมือนสมัยก่อนกันแล้ว หากจะแยกแยะว่าเป็นรุ่นไหน ก็คงต้องคงต้องเป็นคนรู้รายละเอียดของรถรุ่นนั้นๆ ว่าแตกต่างกันที่ออฟชั่นอะไรบ้าง ถึงจะแยกแยะออก สำหรับผมคงมองง่าย ถ้ามีปุ่มเปิดประตูก็ GLS ชัวร์ ส่วนจะเป็นรุ่นไหนก็ต้องไปส่องกล้องมองหลัง กับ DVD GPS Navigator กันเอาอีกที ^^






ห้องสัมภาระด้านท้าย Attrage หรือกระโปรงท้ายแอททราจ ในรุ่น GLS ก็ยังมีฟังก์ชั่นปุ่มเปิดที่ใช้ร่วมกับกุญแจรีโมทอัจฉริยะ KOS เหมือนกันกับในมิราจเช่นเดิม เมื่อเปิดออกมาดูก็จะพบกับห้องสัมภาระขนาด 450 ลิตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลาง เป็นรองอัลเมร่าอยู่ 60 ลิตร แต่ก็มากกว่าอเมซถึง 50 ลิตร ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับผู้ที่ประสงค์จะใส่ถังแค๊ปซูลเพื่อนวางแผนติดพลังงานทางเลือกอย่าง LPG ในอนาคต ส่วนใครกลัวพื้นที่ใช้งานจะหายไปก็คงต้องยอมถอดยางอะไหล่ออกเพื่อวางถังโดนัทในช่องยางอะไหล่แทนละครับ อันนี้ก็คงต้องไปตัดสินใจกันเอง ว่าต้องการพื้นที่การใช้งานด้านหลังแบบเต็มที่ หรือต้องการสำรองยางอะไหล่เอาไว้กรณีฉุกเฉิน

จุดสังเกตุอีกจุดหนึ่งคือรุ่นนี้มีไฟในห้องสัมภาระด้านท้ายมาให้ด้วย แต่ก็ไม่ได้บุพรมหุ้มฝากระโปรงท้ายมา ซึ่งก็คงใช้ลดต้นทุนของรถนั่นเอง ไม่ต้องตกใจไปคู่แข่งก็ไม่มีมาให้เช่นกัน

อีกหนึ่งจุดที่หลายคนอาจจะเห็นแล้ว นั่นก็คือแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดที่กั้นระหว่างเบาะหลังกับห้องสัมภาระด้านท้าย ในส่วนนี้ก็คงทำเพื่อลดต้นทุนเช่นกัน ในอัลเมร่าก็ใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดเหมือนกันครับ ตรงนี้คง DIY ทำกันใหม่ได้ไม่ยาก ถ้าต้องการ ทุกวันนี้ผมก็ยังใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดที่ติดมากับรถนั่นแหล่ะ ไม่ได้เปลี่ยนอะไร เต็มที่ก็อาจมีกลิ่นสิ่งของที่เราใส่ในห้องสัมภาระด้านหลังหลุดรอดเข้ามาบ้างก็แค่นั้น

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็นึกขำอยู่ วันก่อนที่กลับบ้านพาแฟนไปซื้อปลาร้าเอาไปฝากคุณแม่ยายเพื่อทำปลาร้าสับทรงเครื่อง หุๆ เล่นเอาอยู่ไม่ได้ ต้องเปิดกระจกไล่กลิ่นเป็นการใหญ่ นี่แหล่ะข้อเสียเต็มๆของแผ่นฟิวเจอร์บอร์ด 




อันนี้แถมช่วงล่าง Attrage มาให้ดูครับ ตรงนี้หลายคนไม่ค่อยได้ส่องหรือสังเกตุเท่าไร ส่วนใหญ่ก็เน้นกันที่ภายนอกกับภายใน คิดว่าหลายท่านคงอยากเห็น ส่วนระบบช่วงล่างจะเป็นอย่างไร เชิญทุกๆท่านทัศนาครับ ข้อนี้ผมขอผ่าน เพราะไม่มีความรู้เลย ท่านใดพอทราบ เชิญเสริมได้เลยนะครับ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนๆสมาชิก 






เปิดฝากระโปรง Attrage เพื่อแอบส่องห้องเครื่องยนต์กันดูสักหน่อย วิธีการเปิดก็ง่ายๆ ลงรูปไว้ให้ดูแล้วนะครับ แค่ดึงปุ่มเปิดที่อยู่ในรถ เอานิ้วสอดใต้ฝากระโปรงเพื่อดันตัวล๊อกออกแล้วก็ยกขึ้น จากนั้นก็ดึงที่ค้ำออกมาเสียบให้เข้าล๊อก เป็นอันเสร็จ

สิ่งแรกที่ผมสังเกตุเห็นก่อนเลยเมื่อเปิดฝากระโปรงออกมา ก็คือ แผ่นห้องกันความร้อนใต้ฝากระโปรงหน้า ออฟชั่นนี้ขนาดในอัลเมร่ารุ่นท๊อปยังไม่มีมาให้เลยนะครับ ในอเมซนั้นมีมาให้เหมือนกันแต่เหมือนไม่เต็มใจให้ เพราะมีมาให้แค่ครึ่งแผ่น แต่ในแอททราจมีมาให้แบบเต็มๆแผ่น ป้องกันความร้อนได้ดีกว่าแน่นอน หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมต้องมีแผ่นป้องกันความร้อนด้วย ผมเคยได้อ่านเจอว่าแผ่นป้องกันความร้อนจะช่วยป้องกันเรื่องสีบนฝากระโปรงได้ในระดับหนึ่ง เพราะเมื่อโดนความร้อนนานๆ สีบริเวณฝากระโปรงจะเพี้ยน ทำให้ดูต่างจากตัวรถ แผ่นป้องกันความร้อนนี้จึงน่าจะช่วยได้ในระดับนึงเลยนะครับ




สำหรับห้องเครื่องยนต์เชิญทุกๆท่านทัศนาเอาเองนะครับ เยอะแยะไปหมด ทราบแค่จากสเป็คว่าเป็นเครื่องยนต์ DOHC MIVEC 1.2 ลิตร 3 สูบ 12 วาล์ว 78 แรงม้า ตัวเดียวกับที่อยู่ในมิราจ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ MT และเกียร์อัตโนมัติ CVT รองรับน้ำมันเบนซิน 91-95 และแก๊สโซฮอล์ E10-E20 เท่านั้น E85 หมดสิทธิ์นะครับ


วันนี้คงขอจบรีวิวสำรวจภายนอกตอนที่ 2 ตอนจบ เพียงเท่านี้ รีวิวต่อไปก็จะพาเข้าไปสำรวจภายใน Mitsubishi Attrage GLS เสียที นี่ก็ไม่คิดว่าจะนั่งเขียนได้นานขนาดนี้ ทั้งเตรียมภาพ จัดเรียง เขียนรีวิว ไม่น่าเชื่อว่าผมนั่งทำเพลินๆตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ เผลอแป๊บเดียวเที่ยงคืนซะละ งั้นเอาไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม








จัดทำโดย Attrage-Club.com
ที่มา : //www.attrage-club.com/index.php/topic,121.html