I call it Destiny You call it Love...
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
Shot fic shinhwa .... ก้าวเดียว ...Woo-Dong ep.2









ก้าวเดียว อูด้ง ep.2 The end..






ความห่างเหินระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นจริงๆ อย่างที่ดงวานเคยกลัวจับใจ เจอกันหน้าประตู ท่าทีที่ทำเหมือนว่าเค้าไม่เคยมีตัวตนอยู่นั้น มันก็ทำเอารู้สึกเจ็บปวดเล็ก ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ไม่แปลกหรอกที่มินอูจะทำอย่างนั้น

เพราะกลัวจับใจว่าเหตุตะลุมบอล 5 ต่อ 2 ระหว่างเอริค มินอู และไอ้พวกขี้แพ้โรงเรียนคู่ปรับ มันจะทำให้คนที่เค้ารักต้องเจ็บ เรื่องเลยต้องถึงหูครูฝ่ายปกครองในการห้ามศึก และนั่นคือสิ่งที่นึกออกในขณะนั้นจริง ๆ แต่มิตรภาพตลอดเกือบชีวิต ที่แลกไปกับใครบางคนตรงนี้ก็ถือว่าคุ้มพอดู เพราะมินอูก็ยังคงมาโรงเรียนได้ตามปกติในสภาพร่างกายที่ครบ 32 แม้จะโดดคาดโทษไว้ มันก็ไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ ถึงจะโดนเฉยเมย ข้างกายที่เคยมีกันตลอดกลับไม่มีเหมือนเดิมก็เถอะนะ

บางทีก็ดีเหมือนกัน นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการลด ละ และเลิกได้ในที่สุดกระมัง ..

ไม่ต้องมอง ก็ไม่เห็น

ไม่ต้องฟัง ก็ไม่ได้ยิน ปล่อยให้มันหายไปจากชีวิตเลยก็ดี ... ไอ้ความรู้สึกที่มันทรมานอยู่ทุกขณะจิตแบบนี้


เริ่มต้น แค่ผูกพัน
นานวัน กลับกลายเป็นความรัก ...
จะห้ามก็ไม่ได้ จะหยุด ก็ไม่ยอม ...

ถึงเวลาที่โลกสมควรหยุดโหดร้ายกับเค้าได้ซะที





.................




แต่คนบางคนที่อยู่อีกด้านตอนนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากันนักหรอก


ไม่แน่ใจนักว่าหลังจากเหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมา มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง บางทีอยากหาเหตุผล บางทีก็กลัวกับเหตุผลนั้นเหลือเกิน สรุปสุดท้ายก็ไม่รู้ใจตัวเองว่าอยากรู้ หรือไม่อยากรู้กันแน่


“นายคือคนสำคัญ”


คำ ๆ นี้ ฟังแล้วหัวใจมันวูบไหวแปลก ๆ สีหน้าหมอนั่น มอง ๆ ก็ยิ่งแปลก แต่สุดท้ายแล้ว เค้าก็คือเพื่อนที่สนิทที่สุด ก็แค่นี้...


“...แค่นี้ใช่มั้ยดงวาน”



ไม่รู้ทำไมคำตอบนั้นทำเอารู้สึกผิดหวังนิด ๆ หงุดหงิดหัวใจ อยากกระชากคอเสื้อหมอนั่นเข้ามาแล้วเค้นความหมายของคำ ๆ นั้นออกมาใหม่ .. ทำไมนะ ... แล้วเค้าอยากได้ยินอะไรที่มันมากกว่านี้งั้นเหรอ

นี่เค้ากำลังคาดหวังอะไรอยู่นะ ..


คิดไปก็ปวดหัว ในเมื่อสาเหตุที่ค้นหา หายังงัยมันก็ดูจะห่างไกลความเป็นจริงเหลือเกิน

...
..
.
มินอูนั่งชื่นชมกับกล้องตัวใหม่ในมือ หลายวันมานี้ เค้าเห่อมันมากจนทำให้ลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเกือบหมด รวมทั้งความรู้สึกแปลกๆ อย่างไร้สาเหตุนั่นด้วยข้อนึง กล้องที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง บวกเงินพ่ออีกนิดหน่อย แค่นี้ เค้าก็ปลื้มเหลือเกิน และวันนี้เค้าก็อารมณ์ดีพอที่จะขอใครบางคนคืนดีด้วย เรื่องที่ดงวานฟ้องครูวันนั้น แม้จะทำให้เค้าโกรธมากมาย แต่ทั้งหมดก็เพราะความเป็นห่วง เค้าเองก็รู้ดีแหละนะ แล้วทำไมถึงชอบพูดอะไรทำร้ายเพื่อนออกไปทุกทีก็ยังสงสัยตัวเองเหมือนกัน มันเป็นคำพูดรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ส่งตรงมาจากใจ แค่ออกมาจากปากเสีย ๆ ก็แค่นั้น เอาน่ะ ไม่สายไปซักหน่อย ทุกสิ่งไม่เคยสายไปสำหรับเค้านี่ ...

ว่าแล้วก็เหลือบสายตาเงยหน้าขึ้นมองใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าไกลลิบ ๆ โน่น ช่วงนี้แม้ดงวานจะเงียบ นั่นคงเพราะยังโกรธหรือเปล่า มินอูได้แค่คิดเดาเอาเอง มันก็ถูก เพราะคนผิดคือเค้า ......ผิด..ที่เฉยชาก่อน


“ขอโทษนะดงวาน”


เสียงออดหมดเวลาเรียนดังขึ้นก่อนใครบางคนจะลุกจากเก้าอี้หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างดีแล้วยังงัยซะวันนี้ก็ต้องปรับความเข้าใจกันให้จงได้ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เล่นกันมาจนโต เรียนโรงเรียนเดียวกันมาทุกปี บ้านก็อยู่ใกล้กัน แต่ทำไมกะแค่เอ่ยปากขอโทษแค่นี้ ปากมันถึงหนักและชายังกะตอนโดนจับถอนฟันยังงัยยังงั้นก็ไม่รู้สิ

และขานี่ก็อีก จะบังคับทิศทางก็เป็นไปด้วยความลำบาก มันอะไรกันนักว้า ..


“ดงวาน” คำพูดแรก สะกดเสียงไว้ไม่ให้สั่น ซึ่งก็เป็นไปด้วยดีพอควร

“ว่าไง”

“ไปกินข้าวกันเหอะ มื้อนี้ชั้นเลี้ยง” ประโยคต่อมา แม้จะยาวกว่าเดิมซักหน่อย แต่ก็ยังถือว่าโอเคอยู่

“ไปก่อนเหอะ อาจารย์ใหญ่เรียกเรา”

“งั้นรอ”

“ไม่ต้องหรอก เรามีธุระที่ห้องสมุดด้วย” แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูสีหน้าคนข้าง ๆ แต่ก็พอจะจับสังเกตเสียงลมหายใจแรง ๆ ที่เหมือนจะเริ่มหงุดหงิดนั่นได้ แต่ดงวานก็ไม่สนใจนัก เค้าลุกขึ้นยืน หันมามองหน้ามินอู มุมปากขยับยิ้มเล็ก ๆ ให้ก่อนจะเดินผ่านร่าง ๆ นั้นไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนมินอูน่ะเหรอ แม้แต่จะเหยียดยิ้มตอบยังลำบาก นี่ตรูโดนยาชาจริง ๆ งั้นเหรอ ไม่นะ เค้าไม่ได้ไปถอนฟันมานี่น่า

...สุดท้ายมื้อนี้ ก็ไม่พ้นข้าวกล่องของเฮซองอยู่ดี หลายอาทิตย์ก่อน ต้องนั่งกินคนเดียวเพราะเฮซองยังฉุน ที่บุกเดี่ยวโรงเรียนโน้นโดยไม่บอกไม่กล่าวด้วยเหตุผลว่า “ บอกนาย นายจะทำไรได้ มันเป็นเรื่องระหว่างชั้นกับมันต่างหาก มันทำกล้องชั้นพังนะ” แต่เฮซองก็ยังยืนกรานว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเค้า กล้องตัวใหม่ เลยได้คารมของเฮซองและความหล่อของจอนจินในการช่วยต่อราคาเป็นการตอบแทน เซฟเงินไปได้อีกโข กว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้


“ห้องสมุดใช่มั้ย โอเค นายอยู่ห้องสมุด เราจะสละเวลาบ้าบอไปขลุกที่ห้องสมุดกะนายก็ได้ ถ้านายต้องการแบบนั้น” นั่นคือความคิดหลังจากโดนดงวานเฉยชาใส่และออกปากปฏิเสธการเลี้ยงข้าวเที่ยงเป็นมื้อที่สอง

มินอูเดินดุ่ม ๆ ไปยังห้องสมุด กล้องที่เคยสะพายติดตัวก็ไม่มี เป็นเพราะตั้งใจดีแล้วว่า วันนี้หากดงวานยังเฉย เค้าต้องตะบันหน้าหมอนั่นซักทีให้ได้ ว่ากันว่าผู้ชายหลังจากแลกหมัดกันแล้ว จะทำให้สนิทกันมากกว่าเดิม แต่เค้ากะดงวานก็สนิทกันอยู่แล้วนี่ ไม่รู้แหละ นาทีนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว ทำไมเหมือนช่วงนี้สมองจะตัน ๆ ผิดปกติ ..

“เอ หรือเราจะโง่จริงๆ กันนะ”

ขาสองข้างที่กำลังจะเดินผ่านตึกเรียนไปยังอีกตึกของห้องสมุดกลับชะงักไปครู่ เมื่อสายตาเรียวเล็กเหลือบเห็นภาพบางอย่างขึ้นมาซะก่อน ดงวาน กับใครบางคนที่หน้าตาไม่คุ้นเอาซะเลย หมอนั่นน่ารัก จะว่าเป็นเด็กปีหนึ่ง ก็ไม่เคยเห็นหน้า และที่สำคัญ ดูดงวานจะเอาใจใส่เหลือเกิน

“เฮ้! กินข้าวยัง” เมื่อเดินมาใกล้ จนได้รัศมี มินอูก็ทำท่าเหมือนคนบังเอิญมาเจอกัน พูดอะไรที่คนธรรมดาสามัญเค้าทักกัน ฟังแล้วแปลก ๆ สิ้นดี

“เรียบร้อยแล้ว นายล่ะ”

“อืม!” ทำไมมันเขิน ๆ พิกลหว่า

“จะไปห้องสมุดเหรอ พอดีเราจะไปหาหนังสือเรื่องกล้องพอดี ไปด้วยกันเหอะ”

“ออ! ไม่หรอกโทษที เราต้องพาแอนดี้ไปสมัครเข้าชมรมน่ะ นายไปเหอะ”

“แอนดี้เหรอ” ผู้แปลกหน้าได้แต่ยืนมองหน้ามินอูทำตาปริบ ๆ ..เชอะ คิดว่าแค่น่ารักแล้วจะมามองหน้าชั้นอย่างเสียมารยาทได้งั้นเหรอ เจ้าตัวเล็ก...

“อืม! น้องใหม่ เพิ่งเข้ามาเรียนเมื่อวาน ไปนะ”

แล้วก็เป็นอันต้องคอตก ยืนมองไอ้เจ้าแอนดี้หน้าเจี๋ยมเจี้ยมจูงมือเพื่อนรักที่หักหาญน้ำใจกันครั้งแล้วครั้งเล่าไปต่อหน้าต่อตา

“อยากบ้าจริงๆ”



...



ทุกวันที่ผ่านไป ก็ยังคงเดิม ๆ

เข็มวินาทียังคงวิ่งวนเร็ว ๆ จนน่าเหนื่อย จะฉุดจะดึงจะรั้ง มันก็เป็นไปไม่ได้ จะดีแค่ไหน หาวันเวลาจะเดินช้าลงซักหน่อย อย่างน้อยเค้าคงทำอะไรได้มากกว่านี้

...
..
.

บอร์ดประชาสัมพันธ์หน้าห้องวิชาการเนืองแน่นไปด้วยผู้คน มินอูเดินผ่านแล้วก็เป็นอันต้องงง ตามประสาของคนที่หากไม่รู้ว่าเกิดอะไรที่ไหน แล้วจะทำให้ปวดหัว ไข้ขึ้น ว่าแล้วร่างเล็ก ๆ บึก ๆ ก็แหวกฝูงมนุษย์จำนวนหนึ่งเข้าไปยืนใจกลางกลุ่มจนได้ สายตามองปราดเดียวไปยังป้ายประกาศ แค่คล่าว ๆ มันก็ทำเอาหัวใจแทบหล่นตุ๊บ คว้าเอาไว้เกือบไม่ทัน ..


..รายชื่อนักเรียนทุนอเมริกา..


“คิม ดงวาน”


“เฮ้ย!”

“โรงเรียนเรามันมีคิมดงวานกี่คนวะ…" คิ้วหนาเริ่มขมวดเป็นปมเมื่อหัวสมองพยายามค้นหาคิมดงวานคนที่สองของโรงเรียนออกมาให้ได้ แต่คิดยังไงมันก็ไม่มี สงสัยจะมีแค่ดงวานเดียวจริงๆ

...
ที่สำคัญ
"…มันหนีไปสอบตอนไหน”


คงเป็นช่วงหลัง ๆ ที่เริ่มต่างคนต่างอยู่ เรื่องที่เคยรู้แทบทุกอย่างของกันและกัน เลยกลายเป็นต่างฝ่ายต่างไม่รู้อะไรกันซักอย่าง ...ประกาศอันนั้นมันดูขัดหูขัดตาคนอ่านอย่างมินอูแบบไร้เหตุผลสิ้นดี ตัวหนังสือแต่ละตัวก็น่ารังเกียจ และหัวใจเค้าก็หงุดหงิด สาเหตุเพราะอะไร..ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพราะเค้าดีใจกับเพื่อนแน่นอน ..

อิจฉางั้นเหรอ เค้าไม่ได้ต้องการไปเรียนต่อเมืองนอกซะหน่อย

แล้วอะไรล่ะ เค้ากำลังรำคาญหัวใจกับอะไรงั้นเหรอ ....??

....
.

“ยินดีด้วยนะ”

“หืม!” ดงวานเงยหน้าจากหนังสือในมือขึ้นมามองคนข้าง ๆ ตัวที่ยืนยิ้มตาหยีส่งให้ รอยยิ้มนั้นแสดงความยินดีเต็มเปี่ยม มากจนเหมือนเว่อร์ไปซะด้วยซ้ำ

“เรื่องทุนน่ะ ยินดีด้วย”

“ขอบใจ”

“งั้นนั่งด้วยนะ”

“เอาสิ” จบประโยคอนุญาต มินอูก็แทรกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวตรงข้ามกันทันที

“แอนดี้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ ยังไม่เห็นเลยวันนี้”

“เห็นนายต้องดูแลแอนดี้ตลอดเวลา เค้าเป็นอะไรเหรอ”

“แอนดี้น่ะเหรอ ...เค้าไม่ค่อยสบายน่ะ อาจารย์ใหญ่เลยให้ช่วยดูแล”

“งั้นเหรอ ว้า! น่าสงสารเนอะ”

“อืม! มีอะไรรึเปล่า”

“เปล่าหรอก ก็แค่จะมายินดีด้วย ไม่ยักรู้ว่าการสอบชิงทุนมันผ่านไปแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้คุยกับนายเราเลยไม่รู้เรื่องรู้ราว ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร นายก็มีเรื่องยุ่งๆ ให้ทำทุกวันนี่”

“นั่นสิ”

นิ่งกันไปอีกครู่ใหญ่ ดงวานก็ก้มหน้าอยู่กับหนังสือในมือ ปล่อยอีกคนตรงหน้านิ่งเงียบ สายตาล่อกแล่กพยายามหาเรื่องมาคุยเพื่อทำลายบรรยากาศเงียบ ๆ น่าอึดอัดนี่ซะที

“เรื่องคราวก่อนโน้น ต้องขอโทษด้วย เรารู้ว่านายเป็นห่วง เรานี่แย่จริง ๆ เนอะ”

“เพิ่งรู้เหรอว่าห่วง... นานทีเดียวนี่” น้ำเสียงตัดพ้อ ถูกฉาบเอาไว้บนใบหน้าเรียบเฉย ดู ๆ แล้วน่ากลัวมากกว่าน่าขำ ..

“ไม่หรอก รู้มานานแล้ว แต่ .. แต่เราก็กลัวนายโกรธ เลยไม่กล้าคุยด้วย”
...
..
.
“เราเคยโกรธนายซักเรื่องรึเปล่ามินอู” ดงวานวางหนังสือในมือจงใจกระแทกสันหนังสือแรง ๆ และนั่นมันทำเอามินอูสะดุ้งไปไม่น้อย

“เอ่อ .. จะว่าไป ก็ไม่เคยนะ”

“นั่นสิ ...ไม่เคย แล้วทำไมถึงคิดว่าเราจะโกรธ นายโกรธเรานายก็ยอมรับว่าโกรธเราเหอะ อย่ามาเดาว่าเราต้องเป็นงั้นเป็นงี้”

“....เพราะอะไรรู้มั้ย??…. เพราะนายไม่เคยเดาถูกซักที” ประโยคนี้ ก็ได้แค่คิด เพราะมันพูดออกมาไม่ได้.. อีกแล้ว

“เฮ้ย! นี่เป็นไรไปรึเปล่าเนี๊ยะ เราทำไรผิดเหรอ”

“ไม่นี่”

“แล้วทำไมต้องทำเสียงดุด้วยล่ะ ตกใจนะเว้ย”

“ไม่มีไรแล้วขอตัวนะ”

“เดี๋ยวสิ คุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ ในเมื่อนายบอกเราเองว่าไม่ได้โกรธ กลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ เรายอมรับว่าเราผิดจริงๆ ทุก ๆ เรื่อง แต่นายคิดดูดิ คบกันมาตั้งนาน บ้านก็อยู่ใกล้กัน เรียนก็เรียนห้องเดียวกัน แต่ต่างคนต่างไม่พูดกัน นายไม่แปลกมั่งเหรอ หรือนายดีใจที่ไม่ต้องมีเรามาคอยกวนใจ ไม่ต้องรีบทำการบ้านเพื่อให้เราเอาไปลอก ไม่ต้องกลับเย็นเพราะช่วยเราทำเวร ไม่ต้องไปช่วยถ่ายรูปให้เรา ..นายดีใจใช่มั้ยที่ไม่มีเรามายุ่งวุ่นวายกับนายเวลานายต้องอ่านหนังสือหรือเตรียมสอบน่ะ ใช่มั้ย??” จบประโยคที่ว่ามาทั้งหมด มินอูก็หยุดหอบหายใจเพราะความเหนื่อยแรงไป 5 วิเต็ม ๆ แต่สีหน้าอีกคนตรงนี้สิ มันเรียบเฉยซะจนน่าโมโหจริงๆ

“บอกแล้วว่าอย่าเดา”

เชื่อและ จากที่เคยคิดไว้ว่าดงวานเป็นคนที่ทำหน้าดุได้ขำที่สุดในเกาหลี แต่เจอตอนนี้ชักขำไม่ออกแล้วเหมือนกันนะเนี๊ยะ



…………………


รอยร้าวเหมือนจะกลับมาประสานกันดีแบบหยาบ ๆ แม้ดงวานจะพูดกับเค้ามากขึ้น แต่นั่นมันก็ไม่เหมือนก่อนอยู่ดี เพราะอะไรนะ เพราะเวลาส่วนใหญ่ที่อีกคนมีให้กับแอนดี้ รุ่นน้องคนใหม่ข้าง ๆ กายเหรอ จะว่าไปก็ไม่น่าใช่ เพราะแอนดี้ก็ไม่ได้ตัวติดกับดงวานอยู่ตลอดเวลา แล้วมันคืออะไรล่ะ


ถ้าที่โรงเรียนพยายามหลบหน้า งั้นก็ไปหาที่บ้านนี่แหละ นายจะย้ายบ้านหนีเราก็ให้มันรู้ไป ดงวาน
..
.



“อ้าว! มินอู ไม่ได้เจอนานเลย สบายดีนะ ดงวานอยู่บนห้องแน่ะ” หญิงสาววัยกลางคนท่าทางใจดียิ้มทักมินอูทันทีที่ร่างของเค้ามุดประตูรั้วเข้ามา

“สบายดีครับคุณน้า ผมมาหาดงวานน่ะ อยู่ใช่มั้ยครับ” เด็กหนุ่มยิ้มทักอย่างคุ้นเคยเช่นกัน

“อยู่ข้างบนแน่ะจ๊ะ เชิญเลย”


ก๊อก ๆ ๆ

“เชิญครับ” เสียงอนุญาตดังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องก็เปิดพร้อมทั้งรอยยิ้มตาหยีแบบฉบับเดิม ๆ ของเพื่อนข้างบ้านที่โผล่เข้ามาแสดงสัญลักษณ์แห่งความสันติเป็นใบเบิกทางไว้ก่อน

ห้องที่แสนคุ้นเคย เพราะมีโอกาสเข้ามาบ่อย ๆ ตอนนี้ กลับรกไปด้วยสิ่งของระเกะระกะที่เจ้าของห้องจงใจรื้อออกมาวางไว้ พร้อมด้วยลังว่างเปล่าอีกหลายไป ทำให้มินอู ต้องกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางต่าง ๆ เพื่อเข้ามากลางวง ทรุดตัวลงนั่งพิงเตียงข้างๆ ดงวานจนได้

“ยังไม่สอบเลยนะ รีบจัดของแล้วเหรอ”

“ก็แค่รื้อ ๆ มาเก็บนะ ไม่ได้จัดห้องนานแล้วด้วย กะเอาของที่ไม่ได้ใช่เก็บใส่ลังไว้แค่นั้น”

“งั้นเหรอ”

...
..
.
เงียบกันไปอีก

...เมื่อเริ่มอึดอัดกะความเงียบอันน่ากลัว เงียบขนาดที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงกระพือปีกของยุง แถมเจ้าของห้องยังทำเหมือนตนเองไร้ตัวตนขนาดนี้ มันก็ชักเหวอ

“ให้ช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง”

“ถ้านายไปเรียนต่อ นานเลยกว่าจะได้เจอกันคิดแล้วแปลก ๆ ชอบกล”

“อืม! แต่ทำไงได้ล่ะ นายเองก็เหอะ พยายามสอบให้ติดคณะที่อยากเรียนแล้วกัน”

“เฮ้อ! ตลกชะมัด นายกับเรา อยู่โรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล แต่ต้องมาแยกเรียนมหาลัยตอนโต ต่อไปเราคงเหงาอ่ะ”

“ทำตัวเหมือนเด็กเลย โตแล้วนะ” ดงวานพูดยิ้ม ๆ หันหน้ามามองคนข้าง ๆ แว๊บนึง สีหน้าแววตาของมินอู มันทำเค้าต้องลอบถอนหายใจยาว ๆ ออกมาครั้งหนึ่ง

หลายอาทิตย์ ที่ปรับปรุงพฤติกรรมตัวเองใหม่ เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน และทำตัวออกห่างเพื่อนที่สนิทที่สุด .. ใครอีกคนข้าง ๆ จะรู้สึกมั้ย ว่ามีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิม หรือว่าเค้าจะไม่รู้อะไรเลย เหมือนที่ผ่าน ๆ มา
...
..
.

“ถามจริงๆ นะ เราทำอะไรให้นายไม่สบายใจรึเปล่า เราเคยทำให้นายผิดหวัง หรือว่าเสียใจมาก ๆ บ้างมั้ย” มินอูเขยิบตัวเข้ามาใกล้ๆ ดงวานอีกนิด ทำเอาคนที่กำลังเพลินกับความคิดต่าง ๆ ต้องสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนลงมือหยิบจับอะไร ๆ ตรงหน้าให้มันดูยุ่งเหยิง วุ่นวายเป็นการบังหน้า หนังสือ 2-3 เล่มใกล้มือ ถูกปัดฝุ่นแรง ๆ โดยไม่จำเป็นเลยซักนิด แต่เพื่อนอีกคนก็ยังคงจ้อมมองมาอย่างไม่วางตาเช่นเดิม นี่มันบรรยากาศแบบไหนกันนะ ...


“นี่!! มินอู ..นายเคยรู้สึกว่าเราผิดหวังในตัวนายหรือเปล่าล่ะ นายเคยสังเกตเห็นเราไม่ชอบใจนายบ้างมั้ย ถ้าเคย ก็ใช่ ถ้าไม่เคย ก็ไม่...”

“ไม่รู้สิ บางทีถ้านายไม่แสดงออก เราก็ไม่รู้หรอก”

“ใช้ความรู้สึกสิ ทำเป็นมั้ย อ่านด้วยความรู้สึกน่ะ” ดงวานพูดไปในขณะที่มือก็ยังคงหยิบจับ รื้อหนังสือมาเปิด ๆ แล้ววางลงในลังว่าง ๆ นั้น แต่คนข้าง ๆ นี่สิ ได้แต่มองปฏิกิริยาเหล่านั้นอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด ว่าแล้วสองมือก็จับเอาไหล่ดงวาน ดึงอีกคนเข้ามาให้ใบหน้าได้องศาตรงกันกับตัวเอง แล้วนิ่งค้างไว้อยู่อย่างนั้น สายตาสำรวจตรวจตรา เหมือนกำลังหาคำตอบกับสมาการข้อยาก ๆ อยู่ข้อนึง ดงวานเริ่มอึ้ง นิ่ง สายตากรอกไปมาระหว่างดวงตาทั้งสองข้างจนลืมไปแล้ว ว่าตนเองกำลังกลั้นหายใจ

“นาย ... มีอะไรปิดเราอยู่ ใช่มั้ย?” หลังนิ่งพินิจอยู่ได้ชั่วครู่ มินอูจึงเปิดปากโพล่งคำนี้

“ปิด .. ปิดอะไร ใครปิด…”


“ดงวาน!!!!!!!!!! ลงมาข้างล่างหน่อยลูก” เสียงแม่เหมือนระฆังวิเศษช่วยชีวิตน้อย ๆ ของลูกให้หลุดออกจากคำกล่าวหาขั้นร้ายแรงชั่วคราว

“เดี๋ยวมานะ” มินอูจำใจวางมือจากไหล่ของเพื่อน ปล่อยตัวให้หลุดไปแต่โดยดี

ระหว่างรอ ..สายตาเล็ก ๆ ก็สอดส่ายไปทั่ว มองภาพเก่า ๆ ตอนเด็ก ๆ ของดงวานที่วางระเกะระกะบนพื้น พลางเอื้อมไปหยิบอัลบั้มรูปอีก 2-3 อัลบั้มที่วางอยู่ใกล้กันขึ้นมา

“เข้าค่ายชมรมถ่ายภาพ ม.ต้น” มินอูอ่านตรงหน้าปก พลันนึกยิ้มออกมา ก่อนเปิดอัลบั้มรูปที่ค่อนข้างเก่านั้นออก

“หืม! ทำไมไม่คุ้นกับอัลบั้มนี้เลยหว่า” เค้าเปิดรูปทีละหน้าอย่างคนอยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิม แค่หน้าแรกมันก็ทำเอาเค้ายิ้มร่า ความทรงจำสมัยก่อน ก็ย้อนกลับมาทันที

ภาพแรกเป็นภาพเค้าเอง ตอนนี้เค้ากำลังตั้งใจกับการการถ่ายภาพเคลื่อนไหว สงสัยดงวานจะจับภาพที่เค้าเก้ ๆ กัง ๆ ถ่ายผีเสื้อที่ปีกมันไม่ยอมหยุดนิ่ง หน้าตาเค้าเลยดูหงุดหงิดชอบกล


ภาพต่อมา ก็เป็นเค้าอีก ตอนนั้นคงกำลังถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดิน บนยอดเขาสูง ที่จำได้เพราะฉากเบื้องหน้าคือเส้นตรงสีส้ม ๆ ตรงขอบฟ้า มีพระอาทิตย์ดวงโตกลมลอยเด่นอยู่เพียงครึ่งดวง

ภาพต่อมา และภาพถัด ๆ ไป ก็ล้วนแล้วแต่เป็นรูปเค้าทั้งสิ้น รูปเค้านั่งลิ้นห้อย เหงื่อย้อยเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการปีนขึ้นไปบนยอดเขา รูปเค้ากับการตั้งใจถ่ายภาพเกล็ดน้ำค้างตอนเช้านอน และภาพเค้าเวลาที่นั่งกินข้าวกับเพื่อน ๆ ภาพเค้าหัวเราะและยิ้มสดใส ..

ยิ่งเปิดไป ก็ยิ่งสะดุด หัวสมองแม้ไวกับเรื่องบางเรื่อง แต่กับเรื่องนี้ มันต้องทำเอาเค้าคิดแล้วคิดอีกทบทวนซ้ำไปมาจนปวดหัว

ดงวานยังคงวุ่นวายอยู่ด้านล่าง ทำให้มีเวลาพลิกอัลบั้มกลับไปกลับมาซ้ำอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

“ทำไมนายถ่ายแต่รูปเราล่ะ ดงวาน” ทุกภาพล้วนแล้วแต่เป็นอากัปกิริยาที่เค้าไม่รู้สึกตัว เรียกง่าย ๆ ว่าเผลอ จำได้ว่าเคยเอ่ยปากถามถึงฟิล์มที่ไปถ่ายตอนเข้าค่าย แต่ไม่ยักกะมีรูปพวกนี้

“ทำไมล่ะ??”

จะให้คิดก็เหมือนคิดออก แต่เค้าก็ไม่กล้าคิดไปไกลมากกว่านั้น ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไรอยู่

ระหว่างคิดไปเอง .. คิดเข้าข้างตัวเอง คิดฟุ้งซ่าน หรือมันคือเรื่องจริง..

“ไม่น่า ไม่น่าเป็นไปได้”

เสียงลูกบิดประตูเปิดเบา ๆ ทำให้มินอูต้องรีบเก็บอัลบั้มต่าง ๆ ในมือวางไว้ในสภาพเดิม ก่อนเอี้ยวตัวมาช่วยดึงถาดในมือดงวานแล้ววางไว้บนพื้นหน้าตน

“แม่ให้เอาขนมมาให้นาย แต่นายไม่ชอบขนมหวาน ๆ เราเลยเอาไอติมมาให้แทน อ่ะ นี่ของนายช็อคชิพ”

“อืม! ขอบใจ ... นายนี่จำได้ด้วยเนอะ ว่าเรากินไร ไม่กินไร”

“ก็เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนิ” ดงวานทรุดตัวลงนั่งที่เดิม

“ไม่หรอก ... เราสิ ยังไม่รู้เลยว่านายชอบกินอะไร.. ขอโทษนะ” มินอูใช้ช้อนจิ้ม ๆ ไอติมในถ้วย ก้มหน้าลงต่ำ เหมือนรู้สึกว่าตนผิดจริงๆ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจเพื่อนคนนี้เหมือนที่ตัวเองได้รับความใส่ใจนั้นซักเท่าไหร่

“ไม่หรอก นายน่ะคิดมากไปเอง”
..
.

“ดงวาน ...”

“หืม”

“ไปดูดาวที่ระเบียงกันมั้ย”

“ดูดาวที่ระเบียงเหรอ ทำไมล่ะ”

“เคยสัญญาไว้นานแล้ว ว่าจะพานายไปดูดาว แต่ไม่มีโอกาสเลย วันนี้เราไปดูดาวกันเหอะ นะ”

“หน้าระเบียงห้องเราเนี๊ยะนะ .. ว่าแต่ นายยังจำได้อีกเหรอ”

“จำได้สิ..ไปเหอะ” มินอูวางถ้วยไอติมในมือลง พลางดึงมือของดงวานฉุดให้ลุกขึ้นเดินออกไปยังนอกระเบียงด้วยกัน

สายลมเย็นยังคงพัดพลิ้วเอื่อย ๆ และท้องฟ้าวันนี้ก็ดูสว่างไสวเหลือเกิน สายตาคู่เล็กทั้งสองคู่ จดจ้องไปยังท้องฟ้ามืดแต่สุกสกาวด้วยดวงดาวที่ประดับไว้มากมาย ดวงใหญ่บ้างเล็กบ้าง และตรงกลางฟ้าที่โดดเด่นและทำให้ความมืดมิดหมองลงไปได้เยอะนั่นคือ ดวงจันทร์ดวงกลมโตที่ทอแสงสว่างอยู่นั่นเอง

“นี่! ดงวาน ... นายเคยบอกเราว่าดวงดาวน่ะ มันอยู่ที่เดิมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน แต่เราแค่มองไม่เห็นมันงั้นใช่มั้ย”

“อืม! ....ทำไมอยู่ ๆ ถึงพูดเรื่องนี้ล่ะ”

“ก็เปล่าหรอก ..แค่รู้สึกเสียใจที่ไม่เคยมองเห็นมันก็แค่นั้นแหละ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า มันเป็นอย่างที่นายเคยบอกจริงๆ”

“ก็ไม่จำเป็นต้องมองเห็นหรอก แค่รู้สึกว่ามันมีอยู่ก็พอแล้ว”
..รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมุมปากของคนที่เอาแต่เงยหน้ามองฟ้า คำพูดที่ฟังกี่ครั้ง ๆ ก็ทำความเข้าใจลำบาก .. ดวงตาที่สดใสบ้าง เศร้าหมองบ้าง .. แววตาที่อ่อนโยนตลอดเวลาที่มองมายังตัวเอง มันเป็นแบบนั้นเสมอ มินอูเอาแต่ลอบมอง ที่ผ่านมาไม่เคยลึกซึ้ง ไม่เคยสังเกต ไม่เคยสงสัย แต่ตอนนี้ เหมือนอะไร ๆ ก็คอยแต่จะเปิดแย้มให้เค้ารู้ ไม่สิ เหมือนจะเปิดก็ไม่เปิด จะปิดก็ไม่เชิง นั่นมันยิ่งทำเอาหงุดหงิด ..



“สมมุติว่ามันเคยมีตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งมันเกิดไม่อยู่ตรงที่ที่มันเคยอยู่ล่ะ นายว่ามันไม่แปลกเหรอ”

“แล้วทำไมมันจะไม่อยู่ล่ะ”

“ไม่รู้สิ แค่ถามๆ ดู ไม่มีเหตุผล”

“ได้งัย มันต้องมีเหตุผลสิ ถ้ามันไม่อยู่ อาจเพราะเหนื่อย .. ท้อ หรือหมดหวัง” วูบหนึ่งเล็ก ๆ ที่น้ำเสียงนั้นดูเหงา ๆ เศร้า ๆ พิกล นับ ๆ ไปแล้วมันก็ถี่จนแทบไม่แปลก ที่เพื่อนข้างตัวจะมีปฏิกิริยาแบบนี้

“ดงวาน”

“หืม”

“หากว่าวันนึงที่นายเกิดรักใครเข้าซักคน เราจะมีโอกาสได้รับรู้ถึงความรักนั่นหรือเปล่า”

“ทำไมถึงถามงี้ล่ะ”

“นายบอกเรานะ ... ถ้าเราช่วยนายได้ เราพร้อมจะช่วยนายเต็มที่” มินอูยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเหล่านั้นบ้าง สิ่งที่เคยคิดจะถาม มันไม่ใช่คำถามที่พลั้งปากออกไปประโยคนั้นซักหน่อย แค่หากอีกคนจะบอกเค้าให้เค้าได้รับรู้บ้าง เค้าก็คงจัดการอะไรได้ง่ายกว่านี้ ..

ทำไมมันยากจังนะ แค่เอ่ยถามว่าคน ๆ นั้นคือเค้ารึเปล่า ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงทำไม่ได้..


แต่ถ้าเอ่ยปากถาม .. คำตอบไม่ใช่เค้าล่ะ... มันจะเป็นยังงัยนะ


...............



วันนี้มีงานโรงเรียน ดงวานที่ทำหน้าที่หลายอย่างยืนหน้าเหนื่อยอยู่บนเวที พลางยกกล้องขึ้นมาแนบกับดวงตาอีกครั้ง

ไอ่เอริคบ้ามันส่งกล้องให้รับภาระหน้าที่ถ่ายภาพ บอกว่าแป๊บเดียว แต่นี่หายไปก็นานแล้วยังไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับมา

วงดนตรีของโรงเรียนบรรเลงเพลงไปจนใกล้จบ เด็กในหอประชุมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะบางตาลงซักนิด แต่นี่เป็นช่วงสุดท้ายแล้ว จู่ ๆ มินอูก็เดินออกจากกลองชุดใหญ่มายังด้านหน้า คว้ากีตาร์ที่เพื่อนคนนึงส่งให้ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่จีฮุนยกขึ้นมาวางข้าง ๆ เฮซอง

“เพลงสุดท้าย เป็นเพลงพิเศษฮะ พวกเราขอมอบเพลง ๆ นี้ให้กับใครคนนึง ผู้ที่ซึ่งกำลังจะห่างเราไปไกล หวังว่าใครคนนั้นคงคิดถึงกันบ้าง เมื่อได้ยินบทเพลงเพลงนี้


เสียงทรงเสน่ห์นุ่มลึกของเฮซอง บวกด้วยอะคูสติกกีต้าร์หวาน ๆ จากมินอู ทำให้มือที่กำลังกดชัตเตอร์หยุดนิ่งราวโดนสะกดจิต นิ้วที่เคยกดชัตเตอร์โดยอัตโนมัติเหมือนที่ผ่านมายังต้องมนต์ หยุดนิ่งเพื่อหลีกทางให้สายตาซึมซับกับภาพดวงตาเรียวเล็กอีกคู่ที่หลับพริ้ม ก้มมองมือละเมียด ดึงและดีดสายกีตาร์เส้นเล็ก ๆ นั้นอย่างไม่รู้สึกตัว ..

...

ผมคุ้นเคยกับแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์อบอุ่น
ทุกวันต้องเงยหน้ารับรุ่งอรุณเริ่มต้นวันสดใส
เคยชินกับการมองเส้นขอบฟ้ายามเย็นที่แลเห็นอยู่ไกล - ไกล
โบกมือให้แสงสุดท้ายจากทิศที่ตรงข้ามกัน

มันต้องเป็นเช่นนี้ รู้ไหม
ราตรีก็ต้องมีดาวเคียงคู่กันไปบนท้องฟ้าแสนไกลสุดฝัน
ผมเคยชินที่จะเห็นดวงดาวเรียงรายนับร้อยพัน
ใช้ความรู้สึกมองดวงดาวยามในยามกลางวัน และใช้สายตาสัมผัสมัน ในยามราตรี

และหากอะไร – อะไร จะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เคย
อยากให้ช่วยเฉลยถึงสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงอันนี้
ถ้าเธอรัก เธอเก็บ เธอเจ็บ เธอร้าวราน เธอจะทรมานมากเข้าทุกที
ผมไม่ละเอียดอ่อนที่จะแยกแยะความรู้สึก – ดี หรือไม่ดี.. ที่เธอมีออกมา

หากว่าผีเสื้อปีกบาง เมินเฉยกับดอกไม้กลีบสวย
จงฝากบอกผีเสื้อด้วย ว่าดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ดอกนี้เจ็บปวดหนักหนา
หากเส้นรุ้งโค้งเรียวเมินเฉยกับเกลียวฝน...หลังพายุกระหน่ำทุกครา
จะมีอะไรแต่งแต้มเส้นขอบฟ้า ให้เรารับรู้ว่า ความโหดร้ายได้พัดผ่านเราไป

ก้อนหินที่เคยเป็นที่กำบังลม
หากแม้ว่าคุณหลงรักผม โปรดบอกผมให้ได้รับรู้หน่อยได้ไหม
ผมอาจเผลอทำร้ายคุณ ผมอาจเผลอทำให้คุณเจ็บโดยไม่ตั้งใจ
จะรอคอย แม้นานเท่าไร .. ได้โปรดปลดปล่อยความอึดอัดนั้นจากหัวใจ
เปิดประตูรับผมเข้าไป .. ได้ไหม .. คนดี

ก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่กำบังลม
หากแม้ว่าคุณหลงรักผม .. โปรดแสดงตัวให้ผมได้รับรู้หน่อยเป็นไร
หากว่าคุณเฉยชา ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป
ผมไม่กล้าอาจเอื้อมคิดไปไกล ... ไม่กล้าเอื้อมมือไป เช็ดรอยน้ำตา..


...........



“ขอบคุณครับ” เสียงของเฮซองดึงให้สติของดงวานกลับมาอีกครั้ง ก่อนเสียงปรบมือจะดังกระหน่ำขึ้นอีกหน

“เพลงนี้มินอู เป็นคนแต่ง มันอาจจะยังติดขัด เพราะเพิ่งแต่งกันสด ๆ ก่อนขึ้นเวที หลังจากนี้เราจะพยายามแก้ไขมันใหม่ และหวังว่าคงมีโอกาสร้องให้ฟังกันอีกหน ขอบคุณทุกคนที่อยู่กับวงของเรามาจนจบเพลง ขอบคุณมากครับ”

มินอูโค้งให้คนดูก่อนจะถอดสายคล้องกีต้าร์ออกจากตัว หันไปยิ้มมุมปากอบอุ่นให้กับคนที่ยังนิ่งเงียบอยู่อีกมุมของเวทีนิดนึง ก่อนจะหายไปยังหลังเวที




หลายวันมานี่ หัวใจห่อเหี่ยวชอบกล ออดเลิกเรียนดังไปนานแล้ว ดงวานยังหยิบอุปกรณ์การเรียนบนโต๊ะเข้ากระเป๋าอย่างเนือย ๆ หัวสมองคิดไปไกลไหนต่อไหน แต่ก็บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่ามันคือเรื่องอะไร


“ดงวาน ออกมาคุยอะไรกันหน่อยสิ”

“ชั้นต้องไปพบอาจารย์ใหญ่นะ”

“5 นาทีน่า”

“3 นาทีได้มะ”

“เออ 3 นาที” ดงวานจำใจวางมือจากการเก็บสัมภาระใส่กระเป๋า แล้วเดินตามเอริคออกมานอกห้องเรียนอย่างเซ็ง ๆ

“..นายรู้มั้ยว่าแอนดี้ทำไมไม่มาเรียน”

“นายถามชั้นทำไมวะ นายก็คุยกับแอนดี้ออกบ่อย นายน่าจะรู้มากกว่าชั้นนะ”

“ก็นายเป็นคนดูแลเค้าไม่ใช่เหรอ”

“หืม! รู้ได้งัย เรื่องนี้มันเป็นความลับระหว่างชั้นกับอาจารย์ใหญ่นะ”

“เออ รู้และกันน่า บอกชั้นได้มั้ยว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน โทรไปก็ไม่รับ”

“ไม่รู้สิ ไม่เห็นตั้งแต่วันงานโรงเรียนแล้ว ถ้าอยากรู้นายก็ลองไปหาเค้าที่บ้านสิ”

“ที่บ้านเหรอ เออใช่ ชั้นลืมไปได้งัยนะ”

“เดี๋ยว เอริค” ดงวานฉุดมืออีกคนไว้ทันก่อนเอริคจะหันหลังกลับ

“ทำไม”

“แอนดี้ไม่มาเรียน แล้วทำไมนายต้องเดือดร้อนขนาดนี้วะ”

“นายน่ะอย่ารู้เลย มันเป็นเรื่องของชั้นกับเค้า” ดงวานยังไม่ปล่อยมือ เอริคจึงหันมากระตุกยิ้มมุมปากให้เพื่อนที่ยังมีประโยคคำถามอยู่บนใบหน้า

“เรื่องของหัวใจน่ะ ทีนี้เข้าใจรึยัง”

“อ่าว ไหงงั้นวะ ไอ่ริค!!! มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนดิ เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน ไหนนายเคยบอกว่านายรำคาญเค้างัย นี่! ปัดโธ่! ไอ่เพื่อนบ้า…”

เอริควิ่งออกไปไกลแล้ว ดงวานอมยิ้มมองตามร่างสูง ๆ ที่วิ่งหายลับไปอย่างขำ ๆ

“เพิ่งจะมารู้เหรอเอริค นายนี่ ทึ่มชะมัด ทึ่มเหมือนใครบางคนเด๊ะเลย”

“ใครทึ่มเหรอ..” เสียงดังขึ้นมาข้างหลัง ทำเอาคนที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ต้องสะดุ้ง

“มินอู!!!! .. ตกใจเลย ... ไม่มีไรหรอก .. เอริคน่ะ”

“ไอ่ริคทำไมเหรอ บอกหน่อยสิ ไม่รู้เดี๋ยวไข้ขึ้น”

“ฮึ ๆ ...มันก็ไม่ทำไมหรอก ก็แค่พวกที่ไม่ค่อยรู้ใจตัวเองน่ะ โง่งี้ น่าเอาหญ้าให้กินแทนข้าวจริง ๆ”

“พูดไร ไม่เห็นเข้าใจเลย” มินอูทำคิ้วขมวด

“ช่างเหอะ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก” ดงวานทำท่าเดินกลับเข้าห้อง แต่ต้องชะงักไปนิด

“เมื่อเที่ยงกินไรวะ”

“ก็กินข้าวน่ะสิ ถามได้ .. มีไรเหรอ”

“เปล่า แค่จะบอกว่า มีเศษหญ้าติดฟันนายน่ะ แค่นี้แหละ” ว่าแล้วก็เดินกลับโต๊ะ ยัดอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากระเป๋าอย่างรีบ ๆ แล้วเดินออกจากห้องไป


“เศษหญ้าเหรอ?? นี่!!!!!! เราไม่ได้กินหญ้ามานะ ดงวาน ไอ่บ้านี่”


....



ปลายเทอมสุดท้าย สัญญาณแห่งการจากลาปรากฎให้เห็นทั่วไป โรงเรียนที่เคยมาทุกวัน และเพื่อนคนสนิทหลาย ๆ คน จากที่เคยเจอ ก็ต้องแยกย้าย

มินอูมาช่วยดงวานเก็บของทุกค่ำ หลาย ๆ ชั่วโมงที่เค้าติวหนังสือกันเงียบ ๆ หลาย ๆ ครั้งที่สายตาทั้งคู่ลอบมองกันบ่อย ๆ และหลาย ๆ หนที่ทั้งคู่ทำเป็นเมินเฉยต่ออาการที่แปลกไปของอีกฝ่าย

ไม่ใช่ไม่ใส่ใจ .. เพียงแค่ไม่มีใครกล้าเริ่มมากกว่า ..

คุยหัวเราะสนุกกันบ้าง ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทรกบทสนทนาที่จู่ ๆ ก็ตัดจบโดยไม่ได้นัดกันบ้าง ... เหมือนใกล้กันแค่นี้ .. แต่กระจกใส ๆ ที่กั้นไว้โดยมองไม่เห็นระหว่างทั้งคู่นั่น หนาเป็นนิ้ว ..


“ฟ้าไม่สวยเลยอ่ะ คืนนี้”


“ไหนเหรอ” ดงวานวางกระเป๋าที่แพคเรียบร้อยแล้วไว้ปลายเตียง เดินออกมานอกระเบียงเงยหน้ามองท้องฟ้าข้าง ๆ มินอูที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว

“ไม่สวยงัยเหรอ”

“ไม่รู้สิ ไม่เห็นเหมือนทุกวันเลย”

“นายน่ะคิดไปเอง..” ดงวานยังก้ม ๆ เงย ๆ จับผิดท้องฟ้า ... สีดำของฟ้าราวผืนผ้าผืนใหญ่มโหฬารตรงหน้า ว่าไป มันก็ดูหมอง ๆ ลงจริง ๆ นั่นแหละ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกคนข้าง ๆ กำลังจ้องมองมาที่ตัวเอง

“ดงวาน”

“หืม!”

“พรุ่งนี้นายก็จะไปแล้วนี่”

“อืม...นายมีอะไรรึเปล่า นายแปลก ๆ นะเนี๊ยะ รู้ตัวมั้ย”

“เหรอ ... ไม่รู้สึ ... เราคงใจหายน่ะ”

“งั้นเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ต่อไปก็ชิน”

“นายไปอยู่ที่โน่น นายจะมีเวลาคิดถึงเรามั้ยเนี๊ยะ สงสัยต้องเรียนหนักแน่ๆ”

“แค่คิดถึงนาย ไม่กวนเวลาเรามากหรอกน่า ไม่ต้องห่วง”

“แล้วเวลานายคิดถึงเรา นายจะทำยังงัย”

“ก็ส่งเมลล์หานาย โทรศัพท์ถึงนาย และก็... เอารูปนายมาเปิดดู”

“ดีจัง... เอ่อ ลืมไป เราไม่ยักกะมีรูปนายซักใบ ไม่ได้เอากล้องมาด้วย... เอาไว้ก่อนไปพรุ่งนี้ เราขอถ่ายรูปนายซักใบนะ .." .


"อืม! ได้สิ" ดงวานตอบเสียงเรียบ ๆ


"...เฮ้อ ! ลมพัดเย็นชะมัด ว่ามะ ..” มินอูยกมือสองข้างกอดอกตัวเองไว้แน่น พ่นลมเย็นๆ ออกจากปากจนเป็นไอลอยคลุ้งไปในอากาศ ก่อนจะสลายตัวไป ... ระหว่างทั้งคู่ มีแค่เสียงสายลมหวีดหวิว และความคิดกังวลต่าง ๆ ที่ปล่อยให้ลอยกันไปคนละทิศละทาง .. ไม่มีใคร รู้ว่าคนข้าง ๆ คิดอะไรอยู่
...
..
.


“อืม กลับไปนอนเหอะ ดึกแล้ว .. เดี๋ยวเราก็ต้องเข้านอนเหมือนกัน”

“งั้น ... โชคดีนะ พรุ่งนี้เราจะไปส่ง”

...
..
.
ความตั้งใจเดิมแต่แรก มลายหายไปสิ้น ดงวานคนนี้ เหมือนไม่ใช่ดงวานคนเก่า หากเป็นดงวานคนนั้น เค้าคงมีความกล้ากว่านี้ ไม่สิ ดงวานไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก มินอูเองต่างหากล่ะที่เปลี่ยนไป ใกล้กันขนาดนี้ หากเป็นเมื่อก่อน เค้าก็คงกล้ากอดคอ กล้าตบบ่าและเราคงหัวเราะสดใสในวันสุดท้ายที่จะเจอกันแบบนี้ แต่ตอนนี้ อยู่ใกล้กันแค่ฟุต .. แต่เหมือนห่างกันราว 10 เมตร ...

ยากเหลือเกิน หัวใจนายมันปิดสนิทแล้วเหรอ ... เค้าไม่มั่นใจเลย ว่าสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ มันคือเรื่องจริง ...ดงวานรักเค้าจริง ๆ น่ะเหรอ

...หรือแค่คิดไปเอง ..


..................



สนามบินอินชอน --


เหลือเวลาอีกไม่มากนัก ดงวานหันมายิ้มให้มินอูอีกครั้ง ยืนคุยกันฆ่าเวลา ก่อนจะเดินผ่านช่องตรวจพาสปอร์ตไปด้านใน

“เรามีอะไรจะพูดกับนายเยอะแยะเลยรู้มั้ย” มินอูเริ่มก่อน..

“งั้นก็พูดสิ”

“แต่เราไม่รู้เหมือนกัน ว่าเราจะพูดอะไร” เค้าก้มหน้านิ่ง นึกขัดใจตัวเองที่จนแล้วจนรอด ก้อนแข็ง ๆ ที่จุกคอตัวเองมาหลายวัน ทำไมมันยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัวไปเลยนะ

“งั้นนายก็ไม่ต้องพูด ฟังอย่างเดียวก็พอ” ดวงตาแฝงความหมาย ความเจ็บปวดขมปร่าที่มักละลายอยู่กับคำพูด พฤติกรรม ความทรมานที่เจือจางอยู่ในแววตาแทบตลอดเวลา ได้เวลาปลดปล่อยมันซะที

เพราะถ้าไม่ใช่ตอนนี้ ก็คงไม่มีตอนไหนแล้ว

“นายรู้มั้ย ว่าทำไมตอนเด็ก ๆ เราถึงชอบดูดาว”

“ไม่รู้สิ”

“ฮึๆ นายคงจำไม่ได้ ..
...นานมาแล้ว นายเคยบอกเราว่า ดาวตกจะช่วยให้คำอธิฐานเป็นจริง เราไม่รู้หรอกว่ามันจริงรึเปล่า แต่ตลอดมาที่เราเฝ้ามองหาดาวตก ก่อนนอน หรือเวลานั่งทำการบ้านริมหน้าต่าง บ่อยครั้งที่เงยมองฟ้า แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นดาวตกซักที ดาวตกนั่นแหละ ..มันคือแรงดลใจให้เราอยากดูดาว แล้วนายรู้มั้ยว่าทำไมเมื่อก่อนเราอยากดีดกีตาร์..

มินอูนิ่งแทนคำตอบ แต่ดงวานกลับยิ้ม

“นายเคยบอกเราว่า นิ้วเรายาว ถ้าจับคอร์ดคงเท่ส์ ...แต่ก็นะ พอนายเล่นกีตาร์เป็นก่อนเรา เราก็เลยล้มเลิกความตั้งใจอันนั้น เพราะนายเคยบอกเราว่า ต่อไปนายจะเล่นกีตาร์ให้เราฟังเอง ให้เราเอาเวลาไปทำการบ้านให้นายลอกดีกว่า ..

แต่นายรู้อะไรมั้ย นอกจากเพลงที่นายซ้อมดีดเล่น ๆ กับเพลงที่นายเล่นบนเวที นายก็ไม่เคยดีดกีตาร์ให้เราฟังเป็นเรื่องเป็นราวซักที...”

มินอูยังยืนฟังนิ่ง ๆ เห็นสายตาที่ปราศจากคำพูดทั้งหลายในแววตาเล็ก ๆ คู่นั้น ดงวานต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ อีกครั้ง .. มินอูจะเข้าใจอะไรมั้ยน๊า

“รู้มั้ยว่าทำไมเราถึงไม่ชอบถ่ายรูป ทั้งที่เราเป็นคนชอบกล้องก่อนหน้านายซะอีก ... มินอู..”

มินอูเงียบอีก ส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบเหมือนเดิม

“เวลาที่เราถ่ายรูป เลนส์กล้องที่ส่องตรงถึงนาย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถมองนายได้ตรง ๆ โดยที่ไม่ต้องปิดบังความรู้สึก ดวงตาของเราแม้มันจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ แต่นั่นมันก็ถูกซ่อนไว้หลังเลนส์จนหมด เวลานิ้วเรากดชัตเตอร์ 1 ครั้ง มันเหมือนกับว่าเราได้แตะถูกตัวนาย 1 ครั้ง และทุกครั้งมันเหมือนเรายิ่งจมดิ่ง ซึ่งเราไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นแบบนั้น มันจะแปลกแค่ไหน ถ้าภาพที่เราถ่ายมีแต่รูปนาย เราเลยเลิกถ่ายภาพ ...อาจฟังแล้วเหมือนบ้า …แต่เรารู้สึกงั้นจริง ๆ ...ซึ่งนายคงไม่เข้าใจหรอก”
...
..
.

ไม่มีความกังวลซักนิดในแววตาของเพื่อนผู้ที่กำลังสารภาพอะไรต่อมิอะไรออกมาจากใจจนหมดเปลือก แต่กลับเป็นฝ่ายที่รับฟังคำพูดเหล่านั้นโดยมีเพียงความเงียบงันและนิ่งอึ้ง แบกเอาความรู้สึกร้อยล้านประการไว้ในใจ.. ไม่รู้จะทำยังงัย จัดการกับสิ่งตรงหน้ายังงัยดีเหมือนกัน

“เรา .. เราขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไม ไม่เห็นมีอะไรจะต้องขอโทษเลย นายไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”

“ทำไมจะไม่ผิดล่ะ เราผิดมาตลอด ผิดมาเสมอ ... นายน่าจะบอกเราซักนิด บอกให้เรารู้ว่านายคิดอะไร”

“ที่เราบอกนาย เพราะเราไม่ได้จะทวงทุกสิ่งทุกอย่าง เราเป็นคนรู้สึกไปเองคนเดียว เราไม่อยากแบกมันไปกับเราด้วย เราอยากพาร่างกายกับสมองอันโล่ง ๆ ไปเรียนที่โน้นมากกว่า แต่เราก็ไม่ได้จะโยนมันมาใส่นายให้นายต้องแบกรับหรอกนะ ก็แค่บอกไว้ แล้วปล่อยมันไว้ตรงนี้ พอนายหันหลังกลับ นายก็ลืมมันซะ แค่นั้นแหละ”

“ทำไมล่ะ ... ทำไมแค่นี้ล่ะ มันไม่สายไปนี่ ... ใช่มั้ย? ..

..ขอโทษที่เมินเฉย ขอโทษที่ไม่พยายามมองให้ชัด ขอโทษที่ไม่ใส่ใจมาตลอด ... เรามันงี่เง่าจริง ๆ ...ตอนนี้รู้แล้ว เราแก้ไขมันได้นี่ ใช่มั้ย”

“ไม่.. เราจะไม่แก้ไขอะไรทั้งนั้น บอกแล้วว่าเราอยากปล่อยให้ตัวเองจากไปพร้อมทั้งร่างกายและหัวสมองที่มันว่างเปล่า ฉะนั้น นายก็ต้องเป็นแบบนั้นด้วย”

“ไม่นะ ดงวาน นี่ ...ฟังสิ เราก็ไม่เข้าใจตัวเองนักหรอก มันอาจเป็นความเคยชิน คุ้นเคย สนิทสนม หรือจะเรื่องบ้าบออะไรก็แล้วแต่แหละ ...บ้าจนทำให้เราไม่กล้าคิดอะไรที่มันไกลเกินไปขนาดนั้นนายเข้าใจมั้ย ..
.. แต่... แต่หลังจากคืนนั้น เราก็พอจะรู้ใจตัวเองแล้ว ว่านายก็คือคนสำคัญเหมือนกัน สำคัญกับใจ ... สำคัญต่อความรู้สึก อาจพิเศษ แต่พิเศษยังงัยเราก็ยังบอกนายไม่ได้ แต่เราสัญญา ว่าเราจะหาคำตอบให้นายได้แน่นอน ...”

“อย่าพยายามเลย ขอร้อง เราไม่อยากรู้สึกผิด”

“ไม่นี่ ไม่ได้พยายาม ... มันคือความสมัครใจ” มินอูดึงมือที่แนบอยู่ข้างตัวดงวานขึ้นมา กุมมันไว้แน่น ๆ รับรู้ถึงความชื้นด้วยเหงื่อเต็มมือไปหมด

“วันที่นายบอกเราว่าเราคือคนสำคัญ วันที่นายบอกเราว่าเราเป็นเพื่อนกัน... แค่เพื่อน...นายรู้มั้ยว่าเราหงุดหงิดแค่ไหน แต่นั่นแหละ เพราะเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราไม่พยายามจะเข้าใจว่ามันคืออะไร มันก็เลย...”

“พอเหอะ ถ้าเรารู้ว่านายมีปฏิกิริยาแบบนี้ เราจะไม่พูดมันออกมาเลย” ดงวานก้มหน้าต่ำ ทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู สะกดเสียงสั่น ๆ ของตัวเองไว้ในอก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ..เพื่อบอกลาซักที

“สัญญาสิ ว่านายจะยังเก็บมันไว้ แบกมันไว้หน่อยได้มั้ย ถ้ามันหนักมาก นายทิ้งมันไปบ้าง แต่อย่าทิ้งมันทั้งหมด เราไม่ต้องการให้มันรบกวนเวลาเรียนของนาย แต่เมื่อไหร่ที่นายกลับมา เมื่อนั้น เราจะตอบนาย ..เราจะพูดคำที่นายเคยอยากฟัง เราจะดีดกีตาร์เพลงที่นายชอบ เราจะพานายไปอธิฐานกับดวงดาวเหมือนที่นายอยากทำ ... เราจะบอกนาย ว่าเราคิดอะไร ... นะดงวาน”

รอยยิ้มแห้ง ๆ ดวงตาที่นิ่ง ๆ ที่ฉายแววเด็ดเดี่ยว มันทำเอาหัวใจมินอูเต้นตุบ ตุบ ด้วยความหวาดกลัว .. กลัวสิ่งที่ออกจากปากของคนตรงหน้า จะไม่ใช่สิ่งที่เค้าคิด กลัวว่าสิ่งต่อไปที่ดงวานจะทำคือยิ้มให้เค้าแล้วพูดคำว่า “ล้อเล่น” กลัว ... เค้าเคยกลัวอะไรมากกว่านี้รึเปล่านะ

“ลืมมันไปเถอะ .. มินอู เราสัญญาว่าเราจะกลับมา แต่ตอนที่เราเจอกันอีกครั้ง นายก็จะยังเป็นเพื่อนที่เรารัก เพื่อนที่รักเสมอ และรักตลอดไป ... เท่านั้น”

“เพื่อน .. งั้นเหรอ”

“ใช่ .. เพื่อน”

เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารครั้งสุดท้ายดังขึ้น ดงวานฝืนยิ้มสดใสอีกครั้ง แม้มันจะปนไปด้วยความเศร้าหมองและดวงตาที่เริ่มรื่นไปด้วยน้ำตาแค่ไหน แต่มันก็ดูมีค่า สดใสเหมือนตอกย้ำถึงสิ่งที่ได้พูดไปเมื่อครู่อย่างชัดแจ้ง

“ว่าเรา จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”


“ดงวาน.. มันเป็นไปไม่ได้แล้วจริง ๆ เหรอ” เหมือนจะสูญเสีย เลยต้องไขว่คว้าไว้จนสุดเอื้อมมือ แต่คำตอบที่ได้ ก็เหมือนเดิม คือความเงียบ และรอยยิ้มมุมปาก

“โชคดีนะ ฝากดูแลแม่ด้วย แล้วจะเมลล์มาหา อย่าลืมเช็คเมลล์บ่อยๆ ตั้งใจเรียนนะ แล้วเจอกัน”

แผ่นหลังของคนที่เดินห่างออกไปตรงนั้น มันช่างเศร้านัก ทำไมล่ะ ... โลกนี้มันไม่เคยมีอะไรสายไปสำหรับเค้านี่น่า มินอู


“นายปล่อยมันไว้นานจนมันกลายเป็นแผลเรื้อรังงั้นเหรอ ... มันสายไปจริงๆ งั้นเหรอ”


...

..

.





++++++++++++ ... ++++++++++







.
..
...



โชคดีที่ที่นั่งของดงวานติดหน้าต่าง เค้าเลยสามารถที่จะปกปิดรอยน้ำตาและแววตาที่หม่นหมองของตัวเองออกจากผู้โดยสารคนอื่นได้


สิ่งที่บอกไปแล้ว ก็แค่คำสารภาพ ..มันทำให้โล่งอกอย่างที่เคยคิดไว้ก็จริงอยู่ แต่เค้าไม่เคยคิดซักนิด ว่าพฤติกรรมตอบกลับของเพื่อนที่เค้ารักจะเป็นไปในทางนั้น หากมินอูจะนิ่ง ตกใจ แปลกใจ และหัวเราะออกมาดัง ๆ ตบบ่าเค้าและพูดว่า “นายน่ะ บ้าไปแล้ว” มันก็คงดีกว่านี้ไม่น้อย ... เค้าจะรู้สึกดีกว่านี้รึเปล่านะ สิ่งนี้เค้าก็ไม่แน่ใจนัก ...

เครื่องขึ้นได้นานพอประมาณแล้ว แต่เค้ายังคงหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงงึมงำรอบข้าง มันทำเอาเค้าต้องหลับตา และตัดตัวเองออกจากโลกปัจจุบันเข้าสู่ห้วงแห่งการนิทราซักที ความคิดที่ตีกันให้ยุ่งในหัว คงคลายและเบาบางลงไปได้บ้าง

....
..
.
“ฟังเพลงมั้ย เผื่อมันจะช่วยให้นายหลับสบายขึ้น” เสียงคุ้น ๆ ดังขึ้นมาจากคนใกล้ตัว คนที่เค้าไม่ได้สนใจหันไปมองซักนิดตั้งแต่รู้ว่ามีผู้โดยสารอีกคนมานั่งลงตรงเก้าอี้ข้าง ๆ ไม่หันมามองเนื่องจากกังวลว่าใครอีกคนจะเห็นน้ำตา แต่ตอนนี้ เสียง ๆ นั้นมันกลับทำเอาเค้าต้องเบิกตากว้าง หันมองอย่างรวดเร็วและหวังให้มันเป็นแค่เสียงที่ก้องอยู่ในหู เสียงที่ลอยมาจากหัวสมองอันยุ่ง ๆ เสียงที่แค่ตามมาหลอกหลอนและ มันไม่มีอยู่จริง


มันต้องไม่ใช่สิ มันเป็นไปไม่ได้…


“หวัดดี จะหลับเหรอ ฟังเพลงด้วยกันมั้ย” รอยยิ้มที่เห็นจนชินตาตั้งแต่เล็กจนโต ดวงตา ใบหน้าคุ้นๆ ของคนที่ตามมาหลอกหลอนเค้าให้แทบไม่ได้หลับในหลายคืนก่อนเดินทางคนนี้ บัดนี้มานั่งยิ้มแป้นอวดฟันขาวอยู่ข้าง ๆ เค้าตรงนี้ได้งัย ก็เราเพิ่งลากันเมื่อครู่นี่ นี่เค้าหลับฝันอยู่รึงัยนะ

“มินอู นายขึ้นมาได้งัยน่ะ”

“ก็ขึ้นมาทางเดียวกะที่นายมานั่นแหละ รู้ป่ะ กว่าจะหาตังค์ซื้อตั๋วได้น่ะ ชั้นต้องลงทุนไปมากแค่ไหน ลงทุนช่วยพ่อทำงานบ้านทุกชนิด รับจ๊อบถ่ายภาพนอกสถานที่ เฮ้อ! เหนื่อยแทบแย่ แถมยังต้องลงทุนนั่ง ๆ นอน ๆ รอไอ่ซองกะจอนจินบนดาดฟ้าตั้งหลายชั่วโมงกว่าพวกมันจะมาพลอดรักกัน เพื่อแอบเก็บภาพฉากสวีทนั้นไปประมูลให้เด็ก ๆ สาว ๆ”

“นี่! นายทำแบบนั้นกับเพื่อนได้งัยอ่ะ” ดงวานมองหน้ามินอูที่ยังคงยิ้มแย้มอย่างไม่รู้สึกผิดซักนิด

“ไม่ต้องห่วงหรอก ก็แค่ฉากจุ๊บ เพราะตอนที่เกินกว่านั้น ชั้นก็มัวแต่เพลินกะการแอบดูจนลืมกดชัตเตอร์”

“เฮ้ย! นี่เรื่องจริงเหรอ”

“อืม..”

“แล้วมาทำไม”

“มาส่งงัย ... เอาเหอะ เรายังมีเวลาที่ให้คุยกันอีกตั้งนาน ง่วงนี่ จะนอนก็นอนเหอะ”

“มินอู .. นาย”
..
.

“ดงวาน ต่อไปนี้นะ นายไม่ต้องทำอะไรให้เราแล้ว ทำเพื่อตัวเองมั่ง ... รู้มั้ย”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะต่อไปเราจะทำเพื่อนายบ้าง”

“ทำเพื่อเราเหรอ??” ดงวานยิ่งค้างกว่าเดิม มองคำพูดจากประโยคนั้นอย่างไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก

“ไม่ต้องรอให้นายกลับมาแล้ว มันนานไป เราทนไม่ไหวหรอก นายทนรอไหวเหรอ”

“...” ดงวานนิ่ง ริมฝีปากที่เผยอค้างไว้ เหมือนคิดจะพูดอะไร แต่กลับไม่มีอะไรซักอย่างเล็ดลอดออกมา

“เราอึดอัด ขี้เกียจเก็บ เราเก็บไม่เก่งเหมือนนาย เราเลยจะบอกนายเลย แล้วนายก็ห้ามปฏิเสธ ไม่ต้องแบกมันไปเรียนด้วย ไม่ต้องถือมันไว้ตลอดเวลา แค่วางไว้ใกล้ ๆ ตัวนายก็พอ”

รอยยิ้มบนหน้ารอยนั้น อบอุ่นกว่าเก่าจนน่าแปลกใจ สายตาเชื่อม ๆ คู่นั้น มีเสน่ห์กว่าที่เคยจ้องมองมาหลายครั้งหลายครา มือที่เคยจับกล้อง ถือไม้กลอง ดีดกีตาร์มือเดิม เอื้อมมากุมมือเย็น ๆ ข้างนึงแล้ววางไว้บนตักตัวเอง นิ้วโป้งไล้เบา ๆ บนหลังมือ เหมือนช่วยปัดเป่าให้อาการประหม่านั้นเจือจางลง

“เรารักนาย รักมานานแล้วด้วย ..

...และเราจะรักนายตลอดไป”

“มินอู..”

“นายได้ยินไม่ผิดหรอก... บอกเราได้มั้ย... ว่านายไม่ได้ทิ้งมันไปที่แอร์พอร์ตนั่น นายยังเก็บมันเอาไว้ติดตัวนาย มันยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวนายตอนนี้ใช่มั้ย”

“เรา ... เรา ..”

“ถ้ามันยากนัก ก็ไม่ต้องพูดหรอก แค่พยักหน้า .. โอเคมั้ย”
...
..
.

เหมือนการรอคอยคำตอบจะยาวนาน แต่ไม่เป็นไร ถึงดงวานจะไม่ตอบอะไร ถึงจะต้องปล่อยให้เค้ารอคอยอีกนานแค่ไหน เค้าก็จะรอ รออย่างตั้งใจ เพราะใครอีกคนตรงหน้าเค้าคนนี้ รอสิ่งนี้มานานกว่าเค้ามากนัก


แต่มินอูก็ไม่ต้องรอนานอีกแล้ว..


“ไม่หรอก มันไม่ยาก ...

...เราไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้ตรงนั้นซักนิด เรายังพกติดตัวมากับเรา ทั้งหมด ..”

“หมายความว่า”

“เรารักนาย ... มินอู”

รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นทันทีที่หัวใจสองดวงเปิดอ้ารับความรู้สึกที่ตรงกันแล้ว ... แม้ระยะทางต่อไป จะยาวนาน .. อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าที่เดินผ่านมันมาแล้ว...ไม่มีใครรู้ แต่อย่างน้อยคนทั้งคู่ก็รู้แล้วว่าต่อไป เค้าจะไม่เผลอทำร้ายความรู้สึกกันและกันโดยไม่รู้ตัวอีกเป็นอันขาด ..




ก้อนหินก้อนนั้นที่เคยกำบังลม ..
ตอนนี้คุณตอบคำรับรักผม แล้วใช่ไหม
ผมขอโทษที่รอคอยมันเสมอ แต่ได้แค่เก็บมันไว้ในใจ
ต่อไปนี้คำสัญญาสุดท้าย คือผมจะซื่อสัตย์กับใจ ... ซื่อสัตย์กับคุณ...












เหมือนมันจะวน ๆ งง ๆ นะ ...

จบเรื่องนี้ ขอหยุดยาวซักพักนะฮะ รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ไม่พร้อมจะแต่งฟิคเท่าไหร่ ...

ขอบคุณเช่นเคย สำหรับกำลังใจดี ๆ จากทั่วสารทิศ ขอบคุณจริง ๆ

ปล. ประธานชมรมอูด้ง ขอให้พี่อูเจ็บปวดให้มาก ๆ แต่พุดดี้ทำไม่ลง อีกแล้วฮะ .. รู้สึกเหมือนทำร้ายลุงในตอนที่แล้ว กะเอาคืนในตอนนี้ แต่ ...

เกลียดเธอไม่ลง


ปล. 2 ลืมไป จบไปและ 3 ฟิคสั้น 3 คู่ ชอบไม่ชอบอันไหน บอกกันให้รู้บ้างนะฮะ ..




rewrite .. 090124 ..22.04 น.


Create Date : 20 มกราคม 2552
Last Update : 24 มกราคม 2552 23:32:44 น. 18 comments
Counter : 1366 Pageviews.

 


โดย: CrackyDong วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:21:27:18 น.  

 
เคืองเพ่มินชะมัด มัยรู้สึกตัวช้าจัง คนอ่านยังรู้เลยยย ปล่อยให้ลุงเสียใจ น้อยใจอยู่ตั้งนาน (แหม..แต่ถ้าเจอกะตัวเองมั่ง อารมณ์แกรก็คงประมาณลุงเหมือนกันแหล่ะน้า --")

ชอบฉากดูดาวตรงระเบียงห้องลุงอ่ะ ..“ก็ไม่จำเป็นต้องมองเห็นหรอก แค่รู้สึกว่ามันมีอยู่ก็พอแล้ว”.. ช๊านก็อยากให้ใครบางคนรู้สึกมั่งจัง (อันนี้เอาชีวิตจริงตัวเองมาปนแระ แหะๆๆ) คำพูดของลุงมันเศร้าและโดนใจม๊ากมั่ก!

น้องพุด.. เอ้ยเพ่มินจิ! แต่งเพลงซะเพราะเชียว ถึงพี่เก๋จะมะรู้ทำนองเพลง แต่ก็จินตนาการว่าคงจะเพราะแน่ๆ เอิ๊กสส! ซองกี้ซะอย่าง + เพ่มินดีดกีตาร์อีก ว่าแต่คอนนี้จะทำเป็นดีวีดีป่าวคะ เค้าจะซื้อมาเก็บอ่ะ เหอๆๆๆ (เอาเข้าปาย.. เพ้อเข้า )

ฟิตตอนนี้มีกรี๊ด 2 ฉากอ่ะ ฉากเพ่มินมาหาลุง หลังจากเพ่ป๋าแจ้นไปหานุ้งดี้ กับฉากบนเครื่องบิน ^O~ + ส่วนฉากฮานาก้า คือ ตอนลุงกัดเพ่มิน "กินหญ้า" ลุงปากคอเลาะร้ายเหมือนกันน้า 555

ตอนแรก นึกว่าจะจบเศร้าซะแล้ว จากความปากแข็งของเพ่มิน คนอ่านลุ้นจนเหนื่อยก็มะยอมพูดซ๊ากที
แถมลุงก็ใจแข็งเกิน ยอมสารภาพบอกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา แต่กลับจะขอให้เค้าเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น (บาดอารมณ์คนอ่านนะเนี่ยย) โหยย... แต่ในที่สุด.... เพ่มินค่อยได้ดั่งใจหน่อย แหม..รับจ๊อบพิเศษเพื่อลุงนี่เอง ((สะกิดๆ) เพ่มินขา ตกลงรูปออมม่านกกะลูกนกประมูลแถวหนายอะค้า เก๋จะตามปายซื้ออะ อยากด้ายยย กร๊ากกกสสส.. แล้วตกลงจะหาซื้อรูปอื่นๆ ได้แถวหนายละเนี่ย ยังมะได้รูปซักกะรูปเลย กลับมาก่อนนนนน!! ลงมาจากเครื่องบินก่อนนน!!)

สรุป จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งทั้งฟิคและอารมณ์ของคนอ่านนะ คะ อยากบอกว่าชอบฟิคสั้นชุดนี้ทั้ง 3 คู่เลย มีหลายอารมณ์มากๆ ทั้งลุ้น ทั้งซื้ง ทั้งเศร้า ทั้งฮา ... เยอะแยะ... เพราะฉะนั้น ขอบคุณน้องพุดมากๆ สำหรับฟิคหนุกๆ นะคะ (คงเบียดบังเวลาพักผ่อนหลังทำงานของน้องพุดพอสมควรเลย) ยังงัยก็จะรอติดตามผลงานของน้องพุดในโอกาสต่อๆ ไปนะค้า เป็นกำลังใจให้จ้า ^O^


โดย: kayzila IP: 124.120.154.232 วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:22:28:16 น.  

 
พี่พุดข๋า... พี่ทำหนูร้องไห้จริงๆนะเนี่ย ไม่เศร้านะค่ะตอนจบ แต่ก่อนจบหนูร้องไปแล้วววว อิอิ

พี่เป็นคนเดียวแต่งอูด้งแล้วหนูสนิทใจมากๆๆ ไม่รู้สึกแปลกแต่อย่างใด ชอบมากๆจริงๆนะค่ะ อิอิอิ

เหน็บแนมแต่ละคำ คารมเป็นต่อจริงๆนะค่ะ เรื่องน่ารักมากๆๆ ประทับใจจริงๆค่ะ ชอบมั๊ก..มาก อินสุดๆเลยค่ะพี่ เพลงเพ่เอ็มซึ้งหมดใจ เอาใจยกให้ทั้งดวงเลย แหมๆแอบขึ้นเครื่องตามไปด้วยเนี่ย สามารถพิเศษเฉพาะที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ แต่เพ่เอ็มเก็บตังค์จากการไปนั่งรอบนดาดฟ้าเนี่ย ไอ่เราก็คิดว่าจะแอบถ่ายแล้วหลบออกมาให้เขาหนุงหนิง กลายเป็นแอบดูตาเลยโตขึ้นหรือเปล่าค่ะเพ่เอ็มข๋า .... กร๊ากกกกก อิอิ


ขอบคุณพี่พุดนะค่ะ หนูอินมากกๆๆ ตอนพิมพ์น้ำตายังไหลไม่หยุดเลย จริงๆนะค่ะ อิอิ

อย่าหายไปนานนะค่ะพี่ อยู่เป็นเพื่อนหนูก่อนนน อิอิอิ


โดย: praery_za IP: 58.10.170.251 วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:23:14:31 น.  

 
กว่าคนคนหนึ่งจะรู้ความรู้สึกของตัวเองและยอมรับมันได้นี่ต้องใช้เวลานานขนาดไหนนะ

นานขนาดที่ก้าวข้ามผ่านวันเวลา ไปอย่างเปล่าประโยชน์ พยายามไม่รับรู้ความรู้สึกนั่นเพราะกลัวจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป กลัวที่จะเจ็บปวด

มินอูมีความคิดแบบนี้ใช่มั๊ย

โอ๊ย...เจ็บปวดกับความคิดแบบนี้

เศร้าไปกับความรู้สึกที่ทั้ง 2 คน ต้องเจอ



โดย: piyawan IP: 118.172.245.49 วันที่: 21 มกราคม 2552 เวลา:11:22:35 น.  

 


ตกใจเลยนึกว่าพี่พุดจะให้พี่อูแห้วจริงๆ

ไม่เป็นไรไม่ต้องแห้วหรอก

แค่เกือบๆแบบนี้กะดีละ

สงสารพี่ด้ง 5555

จ๊อยก็พูดไปงั้นแหละที่จะให้พี่อู

เจ็บมากๆ ตอนนั้นอารมงอน ไง เหอๆ

ให้จ๊อยเขียนเองจ๊อยก็คงทำให้พี่อูอกหักไม่ลงหรอก

ฟิคชอบหมดสามคู่เลยยยยย

คู่แรกริคดี้ ก็รักใสๆ น่ารักสมกับตัวดี้

จินซองก็ร้อนแรงงง สมกันทั้งคู่

อูด้ง เศร้าๆนิดๆ

สรุปชอบหมดเลย

พักหรอ อย่านานนะ อยากอ่านอีก 555

รอเรื่องต่อไปน๊า

ขอบคุณสำหรับฟิคทุกเรื่องเลย


แต่ฟิคเรื่องนี้แอบน้ำตาซึ่มตอนลุงพูดกับพี่เอ็มตอนจะไปขึ้นเครื่องอ่ะ

แบบอารมสงสารลุง รักเค้าข้างเดียว

เหมือนตอนนั้นเลยที่จินกับซองในฟิคเรื่องเเรกอ่ะ

ตอนนี้เป็นฟิคเรื่องทื่สองของพี่พุดที่ทำจ๊อยน้ำตาซึม

ฮือๆ สงสารจินในฟิคเรื่องเลย

อ้าววววไม่เกี่ยว 555



โดย: จ๊อย IP: 117.47.197.82 วันที่: 21 มกราคม 2552 เวลา:12:06:59 น.  

 
จบแล้ว...แบบแฮปปี้เอ็นดิ้งซะด้วย......
เฮ้อ...โล่งอก กลัว กลั๊ว กลัว ว่าจะเศร้า
ไม่อยากให้ทั้งคู่ผิดหวังเลยจริงๆ.........

มินนี่กว่าจะรู้ใจตัวเอง และกว่าจะเข้าใจ
ลุงนี่ก็เกือบได้อกหักกันเป็นแถว...แถม
พอรู้เข้าแล้วก็ยังมากลัว ไม่กล้าถามเค้า
ตรงๆอีก ลุงก็ปากแข็งเหมือนกันนะ ไม่
ยอมบอกเค้าจนนาทีสุดท้าย แหม...กะ
บอกรักแล้วชิ่งทิ้งเลยนะเนี่ย ใจร้ายซะ
ดีนะ...ที่มินนี่ติดขึ้นเครื่องบินมาด้วย...
เลยปรับความเข้าใจกันได้ทันท่วงที....

ชอบเพลงที่ซองกี้ร้องบนเวที เนื้อหา
ดีมากๆเลย คำร้องแต่ละคำสละสลวยดี
น่าจะใช้มาแต่งเพลงจริงๆซะเลยนะ คง
เพราะดี.........................................

ส่วนเรื่องก้าวเดียวนี่ เราชอบทุกตอนน่ะ
แหละ สนุกทุกตอน อยากให้กลายเป็น
เรื่องยาวด้วยซ้ำ แต่มันมาในเรื่องของ
ฟิคสั้น ก็ต้องสั้นอะเนอะ....................

ส่วนตอนนี้ถ้าไม่พร้อมจะแต่งฟิคเรื่องต่อ
ไปก็ไม่เป็นไร ถ้าเหนื่อยก็ต้องพักสมอง
ซะบ้าง จะได้โล่งๆไง หายเหนื่อยหาย
เบลอเมื่อไหร่ ก็กลับมาแต่งฟิคสนุกๆให้
อ่านอีกก็ละกันนะ แล้วพบกันใหม่นะ....


โดย: JM IP: 116.58.231.242 วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:13:43:38 น.  

 
เฮ้อ ในที่สุดก็แฮปปี้
กว่าจะรู้ใจกัน กว่าหัวใจจะจูนให้ตรงกันได้ เล่นเอาเกือบแดดิ้น อึดอัดแทนวานนี่ที่ต้องเก็บๆๆ
เกือบจะเสียใจแทนเพ่มิน ที่เกือบทำดวงดาวในมือหลุดลอยไป

“เปล่า แค่จะบอกว่า มีเศษหญ้าติดฟันนายน่ะ แค่นี้แหละ”
ฮาเลยฮ่ะ ยิ่งจิ้นหน้าเพ่มินตอนได้ยิน แล้วทำหน้าเหวอๆ ยิ่งฮาปนสงสารในความเงือกของเธอ

ช๊อตฟิกทั้งสามเรื่อง อามณืมันพีคกันคนละแบบอ่ะค่า
จินซองก็หวานซะ ตามรูปแบบของครอบครัวนกอ่ะค่า หวานจนน้องมูริยังอาย
คู่อูด้ง ก็แนวแอบรัก แอบเจ็บ อ่านแล้วมันทั้งอึดอัด ทั้งเจ็บจี๊ดๆในบางประโยค
แอบรักเพื่อนสนิทความรู้สึกมันบอกยากจริงๆ
ส่วนคู่ริคดี้ คู่นี้แรกๆก็แบ๊วๆดีอยู่หรอก ไม่น่าเชื่อทำเอาน้ำตาเรี่ยราดได้เหมือนกัน เพราะเจ้าไดอะรี่แท้ๆ
สรุปชอบทั้งสามเรื่องแหละค่า แต่คนละอารมณ์
พี่พุดพักเถอะค่ะ แต่งฟิกให้อ่านติดๆกันนี่ก็เอ่อ กี่เดือนแล้วนะ รู้แต่นานมาก ก็คงเหนื่อยน่าดู พักให้หายเหนื่อยก่อน พอพร้อมแล้วอย่าลืมแต่งฟิกหนุกหนานๆอีกนะค้า เป็นกำลังใจให้ค่า
พี่พุดดี้ FIGHTING!!!!



โดย: โบ_andyholic IP: 115.67.234.62 วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:21:28:01 น.  

 
เพิ่งได้มีโอกาสได้เข้ามาอ่านตอนจบ
พี่พุดขา พี่พุดแต่งได้ลึกซึ้งมากๆค่ะ ชอบภาษาที่พี่พุดใช้เขียน สละสลวย สวยงาม แล้วก้กินใจมากๆค่ะ แอบน้ำตาซึมกับประโยคบอกรักและบอกลาของลุง มันทรมานจิตใจมากเลยค่ะ รักแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะเดินจากไปเฉยๆเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สุดท้ายแล้วเรื่องก็จบลงด้วยดี และมีความสุขกันทุกคน ^^

อ่านฟิคทั้งสามเรื่องของพี่พุดแล้วโดยส่วนตัวชอบเนื้อหาของเรื่องนี้ที่สุดค่ะ (ไม่ใช่แค่เพราะตัวเองเป็นสาวบ้านลุงหรอกนะคะ) แต่เป็นเพราะเนื้อหา ภาษา (รวมถึงเพลงที่แต่งด้วย) ทำให้รู้สึกว่าเหมือนกำลังอ่านนิยายของนักเขียนมือฉมังเลยล่ะค่ะ ^^
แต่สองเรื่องที่เหลือก็ชอบนะคะ (ความจริงชอบทุกเรื่อง เพราะต่างสไตล์กัน)

สู้ๆนะคะพี่พุด คราวหน้าหายเหนื่อยเมื่อไหร่จะตามมาให้กำลังใจอีกนะคะ^*^


โดย: keiropi IP: 125.26.127.221 วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:22:39:16 น.  

 
ตามมาให้กำลังใจจนจบทุกตอนค่ะ

พี่ชอบคำพูดที่พุดเลือกใช้น่ะ อ่านแล้วรู้สึกตามไปด้วยเลย คือพี่เป็นคนมีคำในหัวน้อย เลยเขียนอะไรไม่ค่อยได้ใจความ น้ำท่วมทุ่ง แบบที่เห็นนี่แหละ ก็เลยชอบคนที่เขียนแล้วอ่านได้ใจความ ใช้คำพูดดี ๆ อย่างของพุดน่ะค่ะ

ชอบเรื่องนี้นะ อ่านแล้วแอบอึดอัดใจดี แบบว่าสงสารลุง แต่ก็สงสารพี่เอ็มด้วย จบแบบนี้ก็ดีนะ

สามเรื่องก็สามแนวล่ะนะ ปกติพี่จะชอบแบบน่ารัก ๆ แบบป๋ากะดี้นะ แต่ในชุดนี้พี่ชอบเรื่องนี้มากกว่านิดนึง ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างพี่เอ็มนะ ส่วนจินซองก็กลาง ๆ นะ สนุกเหมือนกัน แต่ชอบสองแนวนี้มากกว่าจิ๊ดนึงจ้ะ

เหนื่อยก็พักจ้ะ ที่นี่ไม่มีใครทวงฟิกหรอก (ใช่มั้ยนะ) แต่ถ้ามีเมื่อไหร่ แฟน ๆ ก็ตามมาอ่านกันอย่างสนุกสนาน พี่อ่านคอมเม้นท์ก็สนุกดีเหมือนกันนะ ยาวดี เหมือนกับเพื่อน ๆ อ่านแล้วมาเม้ากัน


โดย: พี่อัน IP: 115.67.72.126 วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:1:15:00 น.  

 
เรื่องไม่วนและไม่งงเลยนะพี่พุด
T__T แรกๆนี้เศร้าอย่างต่อเนื่องเลย
มีประโยคพาน้ำตาซึมอีกแล้ว

"ไม่ต้องมอง ก็ไม่เห็น

ไม่ต้องฟัง ก็ไม่ได้ยิน ปล่อยให้มันหายไปจากชีวิตเลยก็ดี ... ไอ้ความรู้สึกที่มันทรมานอยู่ทุกขณะจิตแบบนี้

จะห้ามก็ไม่ได้ จะหยุด ก็ไม่ยอม ... "

โอ้สสส โดนเต็มๆ!!!

พอพี่อูแกเริ่มง้อลุง ดูน่ารักปนขมเล็กๆ แบบว่าใจนึงก็นะ พี่อูเนี่ย ไม่เข้าใจลุงมั้งเล๊ยยย ลุงแกเจ็บมาเยอะ เคยสนใจลุงมั้งไหมมม แต่อีกใจก็ ลุงนะลุง เค้ามาง้อแล้ว ไม่ต้องตัดใจแล้วลุง พี่อูเค้าก็มีใจนะลุง!!!

“เพิ่งรู้เหรอว่าห่วง... นานทีเดียวนี่” // กร้ากกกกกก ลุงนิ ฮ่าๆ ชอบใจจริงๆ จี๊ดเข้ากลางใจพี่อูเลยทีเดียว

....เพราะอะไรรู้มั้ย??…. เพราะนายไม่เคยเดาถูกซักที
“ใช้ความรู้สึกสิ ทำเป็นมั้ย อ่านด้วยความรู้สึกน่ะ” // โอ้ อยากเอาไปพูดให้คนบางคนฟังบ้างจังสองประโยคนี้

แต่ไฮไลท์คือเพลงง้อลุงที่อาศัยพี่ซาร่าช่วยขับกล่อมให้ลุงเคลิบเคลิ้ม ชอบเนื้อเพลงมากๆเลยพี่พุด สุดยอด!!! ไม่รู้จะหาคำไหนมาใช้บรรยายดี แบบว่ามันลงตัวหมดเลย แมนมากๆเลย ถ้านาเป็นลุงคงละลายตายไปแล้ว แต่ลุงนี้น้าใจแข็งน่าดูแฮะ

ตอนจบก็แบบ อ้าก พี่อูแมนอีกแล้ว ตามลุงขึ้นเครื่อง >w<" ชอบมากๆๆๆๆ อ่านแล้วเขินแทนลุง

อ้อ แต่รู้สึกพี่อูแกจะใช้คู่จินซองเป็นเครื่องมือหลายอยู่นะเนี่ย ฮ่าๆ ร้องเพลงง้อลุงก็พี่ซาร่า หาเงินขึ้นเครื่องตามลุงก็ไปเอารูปหวีทๆของพี่หอยกะพี่ซาร่าไปขาย ฮ่าๆ

สรุป เพิ่งจะมีฟิกเรื่องนี้ที่สามารถทำนาร้องไห้ น้ำตาไหล อิน นอยแตก(เพราะดันโยงเรื่องตัวเอง)ได้ขนาดนี้ แต่ตอนจบก็หวานนะ ^___^ มีความสุขๆ ใน 3 คู่นี้ นาก็เลยชอบคู่อูด้งมากสุด ชอบเป็นทุนเดิม แถมเนื้อเรื่อง คำพูดทุกอย่างมันละเอียดละออมากเลย ดูน่าจะเหนื่อยพี่พุดจริงๆ แต่จริงๆ 3 คู่นี้ก็ให้ความรู้สึกกันคนละอารมณ์ พอดีคนอ่านอยู่ในอารมณ์เดียวกะลุง ก็เลยอินมากเป็นพิเศษ ก็เลยเทใจให้เรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นหน่อย

สู้ๆค่าพี่พุด รอฟิกคุณภาพคับจอคอมได้เสมอคะ ^_______^


โดย: da friday child วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:2:03:00 น.  

 
เม้นกันยาวทุกคนเลย หนูขอเม้นสั้น ๆ แล้วกันนะพี่

รักลงตัว วู้ ๆ ตอนแรกกลัวฮะ อู กะ ด้ง จะไม่ได้คู่กัน แอบน้ำตาซึม

แล้วก้ไม่เห็นงง และวนอย่างพี่ว่า



โดย: ket_dd IP: 202.151.41.53 วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:8:32:11 น.  

 
อ่านจบแล้วเขียนเม้นท์แทบไม่ออกเลยพุดดี้

ทุกอย่างของตอนนี้มันสวยงามไปหมด ภาษาสวย ความหมายกินใจ

พี่เคขอยกให้เป็น Master Piece ของพุดดี้เลยนะ

พี่จะติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปจ้า


โดย: ekada IP: 203.146.146.130 วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:12:50:43 น.  

 
ทั้งสามตอน ตอนที่สามชอบเรื่องการดำเนินเรื่อง โดยเฉพาะตอนจบ แหม นึกว่าจะเศร้า สุดยอดเลยตอนนี้
แต่ชอบตอนหนึ่งมากกว่า ถึงจะอึดอัดกลัวจะเศร้า แต่เนื่องจากว่ารักแอน+เอ
ตอนสองก็ชอบนะ รักใสใสวัยเรียน แต่น้อยกว่าตอนหนึ่งนิดหน่อย นิดเดียวจริงจริงนะ
สรุป ชอบทั้งสามตอนเลย แต่ยกให้ตอนสามเป็นสุดยอดของการเล่าเรื่อง
ปล.เรื่องเล่าของเจ้าหญิง อ่านได้เรื่อยๆ นะ ไม่เบื่อเลย ส่วนเรื่อง Make a plan to love อ่า ก็สนุก สรุป ชอบทั้งสามเรื่องเลย
Puddy Fighting


โดย: jenney IP: 58.8.136.116 วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:17:21:59 น.  

 
“เริ่มต้น แค่ผูกพัน นานวัน กลับกลายเป็นความรัก ...จะห้ามก็ไม่ได้ จะหยุด ก็ไม่ยอม ... “

ประโยคธรรมดาๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งจริงๆ


“เวลา ที่เราถ่ายรูป เลนส์กล้องที่ส่องตรงถึงนาย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถมองนายได้ตรง ๆ โดยที่ไม่ต้องปิดบังความรู้สึก ดวงตาของเราแม้มันจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ แต่นั่นมันก็ถูกซ่อนไว้หลังเลนส์จนหมด เวลานิ้วเรากดชัตเตอร์ 1 ครั้ง มันเหมือนกับว่าเราได้แตะถูกตัวนาย 1 ครั้ง เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ และเราก็ไม่ต้องการให้ตัวเองยิ่งจมอยู่กับสิ่งนั้นนาน ๆ เราเลยไม่อยากถ่ายภาพ ...อาจฟังแล้วเหมือนบ้า …แต่เรารู้สึกงั้นจริง ๆ ...ซึ่งนายคงไม่เข้าใจหรอก”

ลุงจ๋า ลุงเปรียบเทียบความรู้สึกกับการถ่ายรูปคนที่เรารัก ได้เยี่ยม ชัดเจน และกินใจมากๆๆๆ ..


“สัญญา สิ ว่านายจะยังเก็บมันไว้ แบกมันไว้หน่อยได้มั้ย ถ้ามันหนักมาก นายทิ้งมันไปบ้าง แต่อย่าทิ้งมันทั้งหมด”

ประโยคข้างบน โดนนนจริงๆ ขอให้แค่รักแม้เพียงนิด ก็เพียงพอสำหรับความรู้สึกของกันและกันแล้ว


ลุ้นตอนจบแทบแย่ นึกว่า พี่เอ็มจะยอมปล่อยลุงไปง่าย ๆ ซะแล้ว


ชอบมากๆ เลย แต่งได้ประทับใจจริงๆ
น้องพุดมีแนวคิดที่หลากหลาย
การใช้ถ้อยคำ สำนวน มีความหมายลึกซึ้ง เก่งมากๆ

ขอบคุณน้องพุดที่แต่งฟิกสนุกๆ ให้อ่านนะจ๊ะ

เหนื่อยนักพักสักหน่อยแล้วค่อยแต่งเรื่องต่อไป เป็นกำลังใจให้เสมอจ๊า


โดย: Pekkiokung IP: 58.8.94.185 วันที่: 24 มกราคม 2552 เวลา:8:23:58 น.  

 
เรื่องนี้ทำเอาพี่น้ำตาซึมเลยน้องพุด ช็อตฟิคทั้ง3 เรื่อง สนุกทุกเรื่อง ต่างเรื่อง ต่างสไตล์ แต่ชอบที่สุดก้อคงแม่ลูก (แอบลำเอียงนิดโหน่ยยย) เพราะส่วนตัว พี่ไม่ค่อยชอบเรื่องเศร้า เคล้าน้ำตา มันบีบหัวใจ เรื่องนี้มีประโยคโดนๆ อีกเหมือนเคย

ผมอาจไม่กล้าอาจเอื้อมคิดไปไกล ... ไม่กล้าเอื้อมมือไป เช็ดรอยน้ำตา.. /// ชอบเนื้อเพลงอ่ะ เพ่เอ็มเท่ห์ดี

ไม่รู้ทำไมคำตอบนั้นทำเอารู้สึกผิดหวังนิด ๆ หงุดหงิดหัวใจ // นั่นงัย ลางมาแว้วววว เพ่เอ็มไม่รู้คำตอบ รึไม่กล้าหาคำตอบ รึกลัวคำตอบ...

ระหว่างทั้งคู่ มีแค่เสียงสายลมหวีดหวิว และปล่อยความคิดกังวลต่าง ๆ ให้ลอยกันไปคนละทิศละทาง .. ไม่มีใคร รู้ว่าคนข้าง ๆ คิดอะไรอยู่ /// เห็นภาพเลย เป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดมาก ใกล้แค่นี้..แต่เหมือนห่างกันไกล


“ไม่ต้องห่วงหรอก ก็แค่ฉากจุ๊บ เพราะตอนที่เกินกว่านั้น ชั้นก็มัวแต่เพลินกะการแอบดูจนลืมกดชัตเตอร์” /// แหม..เพ่เอ็มเนี่ย..กะลังเข้าได้เข้าเข็ม พลาดได้ไงเนี่ย อดดูเลยตรู...


พี่เป็นกำลังใจให้นะ (ยังยืนยันว่า พุดน่าจะมาเอาดีด้านนี้) แล้วก้อขอบคุณที่แต่งฟิคหนุกๆ ให้อ่าน ชวนติดตามทุกเรื่อง ต่างอารมณ์ทุกเรื่อง จะรอการกลับมาอีกครั้งน๊าาา..น้องพุด


โดย: ไอ้หนูลูกพ่อ IP: 58.8.248.239 วันที่: 24 มกราคม 2552 เวลา:19:34:05 น.  

 
พออ่านจบก็นึกย้อนไปถึงที่น้องพุดเคยบอกว่าตอนจินซอง รู้สึกเหมือนเขียนไม่ค่อยดี
พี่ก็บอกไปตามความรู้สึกว่า โหย เขียนออกจาดี พอมาเจอตอนอูด้งนี่ เล่นเอา อึ้ง ทึ่ง ซึ้ง
นึกในใจว่า เออๆ จริงวุ้ย น้องพุดสามารถเขียนดีกว่าได้อีกจริงๆ ด้วย

สรุป ช็อตฟิกทั้ง 3 เรื่อง เรื่องนี้เขียนดีที่สุด ในสายตาพี่
เหตุผลที่ชอบดูดาว , เหตุผลที่เคยอยากเล่นกีตาร์ , เหตุผลที่ไม่ชอบถ่ายรูป
ตายๆๆๆ กินอะไรเข้าไป ถึงคิดได้ แล้วถ่ายทอดออกมาดีถึงเพียงนี้
พี่ว่าถ้าเป็นอูด้ง แล้วมาแนวผูกพันลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน รอคอยเวลา แบบนี้ล่ะใช่เลย
(ในเมื่อเอาดี ทางฉุดกระชากลากหื่นไม่ได้ ก็แนวนี้ล่ะวุ้ย ใช่เลยๆ อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ)

ขอบคุณน้องพุด สำหรับงานเขียนดีๆ ทุกเรื่อง อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ คือ ตอนอ่านก็มีความสุข
อ่านจบไปแล้ว ก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่เอามาคิดคำนึงถึง


ปล. พักนานแค่ไหนก็รอได้เสมอจ้า แต่อย่าให้รอนานเหมือนพี่ด้งรอพี่อูนะ
พี่ไม่อึดอย่างพี่ด้ง ม่ายหวายๆ มันทรมานเกิ๊นนนนน


โดย: duckie IP: 124.122.192.77 วันที่: 30 มกราคม 2552 เวลา:20:04:49 น.  

 
เริ่มต้น แค่ผูกพัน
นานวัน กลับกลายเป็นความรัก ...
จะห้ามก็ไม่ได้ จะหยุด ก็ไม่ยอม ...

ซึ้งจังค่ะพี่พุด ตอนแรกอ่านแล้วว่าสะเทือนใจ แต่ตอนที่สองนี่แบบว่าเสียน้ำตาไปเลย ชอบมากมายเลยค่ะ

ขอให้พี่พุดพักสมอง หายเหนื่อยไวๆ แล้วมาแต่งเรื่องต่อๆ ไปนะคะ จะรอและเป็นกำลังใจให้ค่ะ

ปล.ช่วงพักวาเลนไทน์นี้ จะไปเดทกะลุงใช่ม้า.....จะรออ่านเดทของพี่พุดกะลุงนะคะ มั่นใจว่าพี่พุดต้องเขียนออกมาได้น่ารัก น่าอิจฉาแน่ๆ ^^


โดย: KoYoJunG IP: 203.144.130.176 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:06:07 น.  

 
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ อ่านแค่ตอน 2 ก็น้ำตาไหลได้สงสารลุงค่ะ สนุกมากค่ะ แต่งอีกนะค่ะ รออ่านค่ะ love woodong


โดย: urai IP: 125.25.238.217 วันที่: 30 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:25:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พุดดิ้งของซอนโฮ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add พุดดิ้งของซอนโฮ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.