วิถีคนตีผึ้ง กับคนขายน้ำผึ้งในเมืองใหญ่






๑.

“แล้งนี้ช่างร้อนร้าย...” เพื่อนคนหนึ่งบ่นพึมพำ ๆ ออกมาให้ได้ยิน

คงเป็นเช่นนั้น, ในขณะที่อุณหภูมิของฤดูนั้นพุ่งขึ้นสูงเกินกว่าสี่สิบองศา อีกทั้งอุณหภูมิการเมืองก็เดือดปุด ๆ เหมือนไม่มีวันลดลง ยิ่งทำให้ผมหวนถวิลหาหมู่บ้าน “ต๊ำใน” ขึ้นมาทันใด

และผมก็ได้หวนคืนกลับไปหลบร้อน ก่อนหย่อนกายใจลงในหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้อีกหน

หมู่บ้านต๊ำใน ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา

เป็นชุมชนคนพื้นเมืองที่รับรู้ได้ทันทีเลยว่า เป็นชุมชนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับกับวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกับผืนดินถิ่นป่าอย่างจริงแท้

ผมพยายามไล่เรียงดูจากนามสกุลที่เป็นเครือญาติที่ใหญ่ที่สุด...”ท้าวหล้า” “เดินอด” นอกจากนั้นจะมีนามสกุล “อ้อยหวาน” “หมั่นไร่” “เก่งแรง” “จักไม้”

“ที่นี่ ถือว่าเป็นชุมชนของคนที่อยู่กับดิน น้ำ ป่า อย่างแท้จริง” ใครคนหนึ่งเอ่ยออกมาให้เรารับรู้ เมื่อนั่งอยู่กลางลานบ้านของผู้นำชุมชน

คงจริงดังว่า คนแถบนี้มีชีวิตอิงกับธรรมชาติ ผูกพันผืนดิน ผืนป่า และสายน้ำมายาวนาน

“ต๊ำ หมายถึงอะไรหรือ!?” ผมเอ่ยถามชาวบ้านประโยคแรก

ไม่ใช่เพียงแค่ผมที่สงสัยใคร่รู้ หลายคนที่เดินทางเข้าไปเยือนชุมชนลุ่มน้ำต๊ำของพะเยา มักจะตั้งคำถามเช่นนี้ ทำไมชื่อชุมชนในแถบนี้จึงมีคำว่า “ต๊ำ” อยู่กันมาก และมันหมายถึงอะไรกัน!?

เมื่อสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน จึงทราบความว่า มีการสันนิษฐานกันว่า "ต๊ำ" มาจาก “ขะต๊ำ” เป็นเครื่องมือที่ใช้ดักจับสัตว์จำพวกเสือ ทำจากไม้ไผ่

อีกสันนิษฐานหนึ่ง ว่ากันว่า มาจากผู้ก่อตั้งชุมชน ที่ชื่อ นายต๊ำ หรือ ขุนต๊ำ อย่างไรก็ตาม ยังไม่รู้แน่แจ้งชัด

แต่พอรู้ได้ว่า ร้อยกว่าปีมาแล้ว มีผู้คนกลุ่มหนึ่งอพยพมาจากบ้านถ้ำ บ้านขอ อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง โดยการนำของพ่อแก้ว มาสร้างกระท่อมกลางป่า อยู่ในเขตผืนป่าดอยหลวง หรือเทือกเขาผีปันน้ำ ซึ่งเป็นแนวกั้นระหว่างจังหวัดพะเยา กับจังหวัดลำปาง และเรียกกันว่า “บ้านไฮ่แม่ต๊ำ” หรือบ้านไร่แม่ต๊ำ ตั้งแต่นั้นมา

ถูกต้อง เพราะชาวบ้านที่นั่นทำไร่ข้าว ปลูกข้าวและหาของกินจากป่า

ว่ากันว่า ในช่วงนั้น ของในป่ามีหลากหลาย ให้เก็บกินได้ตามสะดวกทุกฤดูกาล เมื่อถึงเวลาจะกินอะไร ก็ออกจากบ้าน เดินเข้าไปในป่าเพื่อไปหาผักไม้ไซร้เครือ

ผักหญ้ามีมากมาย สัตว์ป่าก็มากหลาย พรานป่าแต่ละคน เมื่อเข้าป่าหายไปชั่วข้ามคืน เมื่อกลับมา ทุกคนจะมองเห็นพรานเดินแบกร่างสัตว์ป่าเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่ว่าหมูป่า ไก่ป่า เก้ง แม้กระทั่งเสือ ซึ่งถือว่าชุกชุมมาก ถึงกับต้องใช้ "ขะต๊ำ”ที่ดักเสือวางไว้รอบๆ แนวป่าที่อยู่ติดผืนไร่กันเลยทีเดียว

นั่นสื่อแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่า

“ต้นไม้ในป่าแน่นหนา ขนาดยิงหนังสะติ๊กเข้าไป ลูกก๋ง ลูกกระสุนยิงเข้าไป ยังลอดผ่านไปไม่ได้เลย” ประโดง ทรงวันศรี ประธานป่าชุมชนต๊ำใน บอกเล่าให้ฟังเช่นนั้น

ครั้นยามว่างจากการงานในไร่ ก็พากันลงไปในลำห้วย หนอง คลองบึง ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้ง หอย ปลาปู และแมงจอน

ผู้เฒ่าเล่ากันว่า ผู้คนสมัยนั้น มีชีวิตความเป็นอยู่โดยไม่ต้องอาศัยพึ่งพิงจากสิ่งภายนอกเลย

การเดินทางไปเยือนบ้านต๊ำในหนนี้ ผมสนใจวิถีของคนตีผึ้ง

“ผมยึดเอาการตีผึ้งมาเป็นอาชีพเสริม มีความสุขครับ เมื่อได้ทำในสิ่งตัวเองชอบ” ยูร หรือ ศรีจันทร์ ท้าวหล้า คนตีผึ้งแห่งบ้านต๊ำใน เอ่ยออกมา ในขณะกำลังเดินกลับเข้าบ้าน พร้อมกับกระสอบใบย่อมที่ตุงหนัก ผมสังเกตดูว่ามีน้ำเหนียวข้นซึมออกมาจากกระสอบใบนั้น

เขาเพิ่งกลับจากการตีผึ้งในป่าใหญ่

ตรงใต้ถุนบ้านหลังนั้น เขาและคู่ชีวิต พร้อมด้วยลูกชาย ลูกสาวกำลังสาละวนกับการหาถัง กะละมัง ผ้าขาว และขวดเปล่ามาวางตั้งไว้ใกล้ๆ ก่อนจะดึงรังผึ้งที่หยาดเยิ้มด้วยน้ำหวานออกให้เธอทำการบีบคั้นเอาน้ำผึ้งลงในถังที่รองรับ ก่อนจะนำเทใส่ผ้าขาวเพื่อเอาเศษขี้ผึ้งออกให้หมด

หลังจากนั้น ทุกคนช่วยกันนำถ้วยตักน้ำผึ้งเทลงไปในขวดเปล่าช้าๆ จนเต็มขวด

เป็นภาพที่มองเห็นแล้ว เกิดความรู้สึกลึกๆ ในใจผม

นี่เป็นอีกวิถีชีวิตของครอบครัวหนึ่ง ในหมู่บ้านต๊ำใน ที่ใช้ชีวิตในแต่ละวัน กับวิถีที่เรียบง่าย ทว่ามีความสุขและมีคุณค่าความหมายต่อการดำรงอยู่

วันนี้ เขาได้น้ำผึ้งทั้งหมดสามขวด กับตัวอ่อนของผึ้งอีกหนึ่งแผ่นใหญ่

“ปกติ ถ้าไปตีผึ้งคนเดียว ก็จะได้เยอะหน่อย แต่วันนี้ ผมไปตีผึ้งกับเพื่อนบ้าน 4 คน เมื่อแบ่งกันแล้วจึงได้คนละสามขวด ก็ถือว่าคุ้มแล้ว” เขาบอกกับผม

“ตอนนี้ ขายน้ำผึ้งขวดละเท่าไหร่” ผมเอ่ยถาม

“ขวดละสองร้อยบาทครับ สำหรับตัวอ่อนของผึ้งนั้น ปกติจะแบ่งขายขนาดกว้างเท่าฝ่ามือ จะขายแผ่นละ สิบบาท” เขาบอกผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ขวดละสองร้อย สามขวด ก็หกร้อย” ผมนั่งนึกในใจ

ใช่, วันนี้เขามีรายได้จากการขายน้ำผึ้งตั้งหกร้อยบาท นี่ยังไม่นับถึงการขายตัวอ่อนของผึ้ง

เขาบอกกับผมว่า ในปีหนึ่ง สามารถมีรายได้จากการขายน้ำผึ้ง รวมทั้งตัวอ่อนของผึ้ง ได้หลายหมื่นบาท

ว่ากันว่า ทุกวันนี้ นอกจากเขามีอาชีพทำนา ทำไร่แล้ว เขามีรายได้จากการเก็บของป่ามาขาย มาจุนเจือครอบครัวได้โดยไม่ต้องขัดสน จนสามารถส่งลูกสาวไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ได้

บ่ายนั้น เดือนเมษายน,

เมื่อเราอยู่ตรงขุนต๊ำ อากาศสดสะอาดด้วยดงไม้ใหญ่ และดงกล้วยป่าสดเขียวรกครึ้ม เขาพาเราลงไปริมลำห้วย น้ำใสไหลระริกรินลงสู่ที่ลุ่ม แดดสาดส่องกระทบผิวน้ำกรวดหินดินทรายดูวิบวับสะท้อนไปมา

ฝูงผึ้งกำลังบินวนไปมา ก่อนเกาะนิ่งอยู่ตรงนั้นริมน้ำ
เขากำลังสาธิตวิธีสังเกตหารังผึ้งอย่างง่าย ๆ

เขานั่งยอง ๆ อยู่ริมห้วย นำเศษไม้ไปฝนกับก้อนหินสีเหลือง ก่อนนำไปแตะตรงหัวของผึ้งแต่ละตัวให้สีติดอยู่ เพื่อทำตำหนิให้เห็นเด่นชัด สักพักหนึ่ง เมื่อผึ้งตัวนั้นกินน้ำเสร็จ มันจะค่อยๆ บินวนไปมา ก่อนบินขึ้นสู่ที่สูง หายไปในป่าใหญ่

เขาเงยหน้า ก่อนยกนาฬิกาข้อมือมาจับเวลาดู ตั้งแต่ผึ้งบินออกไป จนผึ้งที่เขาเอาสีแตะตรงหัวตัวเดิมบินกลับมากินน้ำตรงที่เดิม

“ต้องนิ่ง และเฝ้ามอง สังเกตดูผึ้งบินไปและกลับมากินน้ำอีกรอบ เราก็จะรู้ว่ารังผึ้งอยู่ใกล้หรือไกลจากจุดที่เราอยู่ ผึ้งที่เป็นฝ่ายหาน้ำหวานก็เหมือนกัน ใช้วิธีสังเกตเช่นเดียวกัน ผมได้ความรู้นี้มาจากบรรพบุรุษสืบต่อกันมา” เขาบอกกับเรา ด้วยน้ำเสียงของความภูมิใจ

ครั้นเมื่อยามที่เขาเดินเข้าไปพบกับรังผึ้ง ที่อยู่บนคาคบไม้สูงชะลูดฟ้าอยู่อย่างนั้น

เขาแหงนจ้องมองจนคอตั้งบ่า- -สีหน้าของเขาครุ่นคิด ก่อนล้วงเอาชุดสำหรับตีผึ้ง ที่ประดิษฐ์คิดทำขึ้นมาเอง ดูเหมือนชุดของมนุษย์อวกาศ มีตาข่ายบังใบหน้าเอาไว้ ก่อนสวมใส่ลงไป ใส่ถุงมือหนา ใส่รองเท้าห่อหุ้มเท้า

หลังจากนั้น เขาล้วงในถุงย่ามอีกครั้ง หยิบ “ตอย” ที่ทำจากไม้ไผ่ที่แข็งแกร่งออกมาเป็นท่อนๆ มีปลายแหลม ก่อนจะเอาค้อนตอกตีลงไปในเนื้อไม้ตั้งแต่โคนต้นไม้ต้นนั้น ตอกให้แน่นทีละตัว ทีละขั้น อย่างช้าๆ ก่อนไต่ขึ้นไป สูงขึ้นไป จนในที่สุด,เขาพาตัวเองขึ้นไปจนถึงจุดหมาย

เมื่อยืนอยู่ข้างล่าง เงยหน้าแหงนมองดูเขาที่พาชีวิตอยู่บนที่สูงลิบลิ่ว

จะมองเห็นร่างอันสันทัดของเขาเล็กนิดเดียว เขาค่อยๆ เอื้อมมือปัดไล่ตัวผึ้งที่บินวนไปมาให้หลุดห่างจากรังผึ้ง ก่อนคว้าเอารังผึ้งที่มีน้ำหวานเยิ้มหยดออกมาใส่ในถุงพลาสติกที่ซ้อนอยู่ข้างในถุงย่ามจนหมด ก่อนจะขยับถอยลงมาทีละขั้น ทีละตอย จนลงมาสู่พื้นดินข้างล่าง

“ไม่กลัวตกจากที่สูงหรือ” ผมเอ่ยถามด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น

“ไม่หรอก สนุกดี และมันอยู่ในชีวิตผมเสียแล้ว” เขาบอกกับผม พร้อมรอยยิ้มที่เปื้อนด้วยน้ำหวานน้ำผึ้ง

ผมกลับเข้าหมู่บ้าน พร้อมน้ำผึ้งขวดใหญ่ขวดหนึ่ง ในราคาสองร้อยบาท ด้วยความรู้สึกที่ครุ่นคิดไปมาตลอดทาง

ไม่แพงเลย- -สำหรับคนที่ได้ไปสัมผัสและรับรู้ว่า กว่าจะได้น้ำผึ้งขวดหนึ่ง มันช่างยากเย็นแสนเข็ญและเสี่ยงอันตราย พลาดพลั้งเพียงชั่วเสี้ยววินาที ชีวิตอาจพลัดร่วงละลิ่วดับสูญ สำหรับความคิดผมแล้ว

มันถูกด้วยซ้ำ สำหรับชีวิตของคนตีผึ้ง

และเป็นที่น่ายินดี เมื่อยินข่าวว่า ทางโครงการพะเยาเพื่อการพัฒนา กำลังมีแนวคิดในการในการหารายได้จากการหาของป่า โดยประสานงานกับทางศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดพะเยา และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านต๊ำ เพื่อส่งเสริมการบรรจุผลิตภัณฑ์ และการตลาด ในการนำน้ำผึ้งป่า และสมุนไพร ออกมาจำหน่าย สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนบ้านต๊ำใน

ครับ ผมขอคารวะนับถือชีวิตของคนตีผึ้ง พร้อมอวยพรภาวนาขออย่าให้ชีวิตเขาร่วงลงมาจากที่สูงเลย

เพราะเมื่อนึกถึงคราใด
ผมรู้สึกศรัทธา ทึ่งและเสียว...



๒.

ชีวิตกลับคืนสู่เมืองของความอึกทึกและวุ่นวายอีกครั้ง,

ผมแวะไปเยี่ยมเพื่อนที่ออฟฟิศใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟเชียงใหม่ เรานั่งอยู่ตรงนั้น,ริมฟุตบาทหน้าที่ทำงาน และเราสนทนา(ความไม่เป็น)ธรรมกันถึงเรื่องการเมืองที่กำลังร่วง เศรษฐกิจกำลังทรุด อย่างหน้าดำคร่ำเครียด

อากาศอ้าว ใบหน้าหมอง แต่ทุกคนยังคงมุทำงานอย่างคร่ำเคร่ง

ขณะที่ผมกับเพื่อนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินหิ้วตระกร้าพลาสติกใบเขื่องเข้ามาหา ด้วยสีหน้าเหมือนคนอมทุกข์

“น้าครับ ช่วยซื้อน้ำผึ้งหน่อย น้ำผึ้งของแท้จากป่าเลยนะครับ...”

“ขวดเท่าไหร่ละเนี่ย...” เพื่อนผมทักถาม

“สามร้อยครับ...มาไกลครับ ช่วยซื้อหน่อยนะครับ ผมจะได้กลับบ้านหาลูกหาเต้าเสียที...” เขาคะยั้นคะยอ

เพื่อนผมควักแบงก์ร้อยสามใบให้คนขายน้ำผึ้ง ก่อนหันมาคุยกันเรื่องราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น จนไม่ทันตั้งตัวปรับตัว...

ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น, ชายคนขายน้ำผึ้งพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนส่ายหัวไปมา...

“แม่นแล้วน้า...อะไร ๆ ก็แพงไปหมด แม้กระทั่งน้ำตาลตอนนี้ก็แพง แถมยังขาดตลาดกันอีก เฮ้อ...” เขาพูดเสร็จรีบลุกขอตัวก้าวเดินฉับ ๆ ยินเสียงผิวปากไปตามถนนเลียบทางรถไฟ

เพื่อนผมหันมองตามหลังชายคนขายน้ำผึ้งพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิดไปมา...

“หรือว่า น้ำผึ้งที่กูซื้อขวดนี้มันแพงเพราะน้ำตาลขึ้นราคาว่ะเนี่ย...” เพื่อนผมพึมพำ ๆ

“ไม่รู้โว้ย...แต่ก่อนที่พ่อค้าจะเดินออกไป กูเห็นแววตาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ติดอยู่ริมฝีปากด้วยว่ะ!...” ผมบอกเพื่อน ก่อนหัวเราะหึ ๆ ชอบใจกับสีหน้ากังวลของเพื่อนว่า น้ำผึ้งขวดนี้มันของจริงหรือของปลอมกันแน่

แต่ที่แน่ ๆ ผมรู้ว่า ระหว่างวิถีของคนตีผึ้งบ้านต๊ำใน กับคนเดินตระเวนขายน้ำผึ้งในเมืองนั้นแตกต่างกัน

ทั้งคุณค่าและความหมายในชีวิต.

"""""""""""""""""

งานชิ้นนี้ ตีพิมพ์ล่าสุด ใน "ต่วยตูน" ปักษ์แรก กันยายน 2549




Create Date : 09 กันยายน 2549
Last Update : 16 กันยายน 2549 14:53:41 น.
Counter : 1667 Pageviews.

34 comments
  
สัญญาว่าต่อไปจะเลิกต่อราคานะคะ

โดย: ปิ่นเดือน ครูดอย วันที่: 16 กันยายน 2549 เวลา:15:16:00 น.
  
ฉันหัดแต่งเรื่องสั้นค่ะ
เพิ่งลงไว้ในบล็อกหมาดๆ เลยนะ
รบกวนคอมเมนต์หน่อยค่ะ
โดย: ปิ่นเดือน ครูดอย วันที่: 16 กันยายน 2549 เวลา:15:40:42 น.
  
คุณภู..ถูกหวยก่เจ้า

เข้ามาอ่านเจ้า..เงินหายากหาแก้นเนาะคุณภู..สงสัยต้องเขียมเหียแล้วนิ..
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.135.171 วันที่: 16 กันยายน 2549 เวลา:20:56:09 น.
  
ต่วยตูนเล่มนี้ขายดีขนาด นางสาวอาร์ตเซาะซื้อยังบ่ได้เลย

อันนี้อู้แต้หนา

น้ำผึ้งรสชาติเป๋นใด จำบ่ได้ละ บ่ได้กิ๋นมาเมินขนาด ตั้งแต่กิ๋นไข่ผึ้งแล้วเมาหัว เลยบ่กิ๋นมันแหมเลย
โดย: กากีซ่าส์ วันที่: 16 กันยายน 2549 เวลา:21:43:26 น.
  
มีบทกวี ของ 3 หนุ่ม 3 มุม "แสงดาว ศรัทธามั่น-ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร-ภู เชียงดาว" เขียนถึง "จรัล มโนเพ็ชร"

ตีพิมพ์ใน จุดประกายวรรณกรรม นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันอาทิตย์นี้เน้อหมู่เฮา...ไปหามาเสพกันได้...แต่ว่าห้ามเมาเน้อ...
โดย: 3 หนุ่ม 3 มุม IP: 203.150.138.81 วันที่: 16 กันยายน 2549 เวลา:22:38:48 น.
  
ที่จังหวัดพะเยาเคยอุดมสมบูรณ์มากๆ
พ่อเคยเล่าว่า สมัยพ่อยังหนุ่ม
มีฝูงนกเงือกมาอาศัยที่พะเยา

การมีนกเงือกแสดงถึงความอุดมของพืชพันธ์และผืนป่า แต่ต่อมาผู้คนก็ล่านกเงือก
จนมันต้องอพยพหนีไป

และสมัยข้าพเจ้ายังเด็กๆ มักจะไปอ่างเก็บน้ำ จะได้เห็นนกแปลกๆเยอะมาก
รวมทั้งนกเป็ดน้ำด้วย ไม่รู้เดี๋ยวนี้มีอยู่ไหม

แม้แต่บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ แม้จะติดถนนหลวง แต่สมัยนั้น ผู้คนยังเลี้ยงวัวควาย
เค้าจะจูงวัวควาย ผ่านบ้านข้าพเจ้าซึ่งอยู่ปากซอย ข้ามถนนพหลโยธิน ไปทุ่งหลังตลาด ทุ่งกว้างขวาง มีโรงเลื่อย ซึ่งจะมีช้างลากไม้มากองไว้สูงใหญ่

ไม่น่าเชื่อว่าความอุดมสมบูรณ์เหล่านั้นค่อยๆหายไป ข้าพเจ้าโตขึ้น ไม่เห็นมีวัวควายที่ทุ่งนา ไม่มีช้าง ไม่มีกองไม้ซุงใหญ่ๆให้ไต่เล่น

น่าเสียดาย..
โดย: กวิสรา วันที่: 16 กันยายน 2549 เวลา:22:59:38 น.
  


แวะเอาแมวมาเยี่ยม
โดย: อุ้มสี วันที่: 17 กันยายน 2549 เวลา:0:54:48 น.
  
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ

แต่หญิงสาวยังรู้สึกชาๆ อยู่ค่ะ ฉันเลยคิดว่าเล่าแค่ว่าเกิดอะไรขึ้นจะดีกว่าบรรยายอารมณ์

แบบว่ากลัวหญิงสาวจะกระอักเลือดตายไปก่อนเขียนจบน่ะ


โดย: ปิ่นเดือน ครูดอย วันที่: 17 กันยายน 2549 เวลา:14:35:07 น.
  
แม้นน้ำผึ้งเดือนห้าที่ว่าหวาน
หรือจะปานหากเทียบดวงตาเจ้า
ทุกผกามาลัยร้อยลำเพา
หรืองามเท่ายิ้มเจ้ายามต้องจันทร์

แม้นน้ำฝนน้ำค้างพร่างหยาดทิพย์
มิชวนจิบเท่าใจของจอมขวัญ
สกุณาจากสวรรค์มาจำนรรจ์
อกมิสั่นเท่ายินเจ้าเอ่ยวาจา

..
ไหนๆก็พูดถึงน้ำผึ้ง อิอิ

โดย: กวิสรา วันที่: 17 กันยายน 2549 เวลา:17:13:47 น.
  

อืม...แวะมาเก็บเกี่ยววิถีชีวิตคนเก็บน้ำผึ้ง

และชักไม่แน่ใจเหมือนกัน น้ำผึ้งที่ตระเวนขายขวดละ 200 ที่เห็นบ่อยๆ ของแท้หรือไม่แท้

แต่ที่แน่ๆ ชอบซื้อเมื่อไปต่างจังหวัด ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้อยู่ดี ว่ามาจากแหล่งเดียวกันหรือไม่ และแท้หรือไม่แท้อยู่ดี

แต่เพราะคิดว่า ซื้อในต่าง จว.น่าจะเป็นของแท้มากกว่าเท่านั้นเอง

อ้อ!! มาขอบคุณกับอีกอารมณ์ที่ไปแปะไว้ที่บล็อกเนอะ

สงสัยฝาแฝดภู เชียงดาว
อิอิ
โดย: sunny-low (sunny-low ) วันที่: 17 กันยายน 2549 เวลา:18:06:17 น.
  
คุณภู

น้องเหมียวใกล้คลอดละยังเจ้า
เก็บๆเงินไว้พ่องเน้อ..สมาชิกในบ้านเพิ่ม
ขึ้น ต้องใช้เงินแหมนัก

ลูกนักหลานหลายก่อี้ละน่อ มีแต่เสี้ยงกับเสี้ยง
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.138.221 วันที่: 17 กันยายน 2549 เวลา:21:57:12 น.
  
โดย: กวิสรา วันที่: 18 กันยายน 2549 เวลา:8:59:05 น.
  
แง๊
"เพลงของนกฟังสิเพลงของนก"

หล่นหายไปเฉยเลย ...
โดย: กวิสรา วันที่: 18 กันยายน 2549 เวลา:9:04:37 น.
  
ต้นไม้ในป่าแน่นหนา
ขนาดยิงหนังสะติ๊กเข้าไป ลูกก๋ง ลูกกระสุนยิงเข้าไป ยังลอดผ่านไปไม่ได้เลย

..ชอบแฮะ ประโยคนี้ เห็นภาพชัดดี

โดย: นส.อ. IP: 58.10.128.86 วันที่: 18 กันยายน 2549 เวลา:9:45:14 น.
  
แล้วลูกก๋งนั้นก็กระดอนกลับมาดีดหน้าผากผู้เขียน


ชอบประโยคนี้ อยากเห็นภาพชัด ๆ

โดย: เทปสัมภาษณ์เน่าแล้ว ติดต่อผู้ถอดเทปด่วน!!!! (กากีซ่าส์ ) วันที่: 18 กันยายน 2549 เวลา:11:10:43 น.
  
ชอบทานน้ำผึ้งมากค่ะ ทานทุกวันเลย..(ผสมกับกาแฟร้อนๆ...ตอนเช้า...)

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมค่ะ...
โดย: แดดร่มลมโชย วันที่: 18 กันยายน 2549 เวลา:19:23:41 น.
  
เหมือนกันเลยครับ วันนี้ผมก็ชงกาแฟดำเหยาะน้ำผึ้งจากบ้านต๊ำใน 2 หยด
โดย: pu" IP: 203.154.51.128 วันที่: 18 กันยายน 2549 เวลา:20:30:32 น.
  
เม้นท์ 15 !!!!!

โดย: นส.อ.- โลกที่เราจะอยู่นั้นกลมๆ คนที่อยู่บนโลกก็ตัวกลม IP: 124.120.1.26 วันที่: 18 กันยายน 2549 เวลา:22:20:00 น.
  
ปิ๊กบ้านเมื่อใด ป้อ เอาน้ำผึ้งฝากมาตลอดเลยค่ะ ของแต๊มันรำดีเจ้า แต่กว่าจะได้มา ยาก แต๊ ๆ

ช่วงนี้ งานยุ่ง นิดนึงค่ะ บ่ค่อยได้เข้ามาเยี่ยมไผเล๊ยยยยยย

นกสบายดีเจ้า อ้ายภู สบายดีเหมือนกั๋นน๊อเจ้า
โดย: varissaporn327 วันที่: 19 กันยายน 2549 เวลา:8:42:09 น.
  
เขียนดีมากค่ะ มองเห็นภาพชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำที่อยู่กับป่าเขาลำเนาไพร
สงสารและเห็นใจ กว่าจะได้น้ำผึ้งมาสักขวด ต้องแลกกับชีวิต
แล้วเจ็บใจที่คนขายน้ำผึ้งในเมืองเอารัดเอาเปรียบคนซื้อ
เป็นเรื่องสั้นที่ดีสำหรับคนอ่านจริงๆ
โดย: ซออู้ วันที่: 19 กันยายน 2549 เวลา:20:31:06 น.
  
ว้าวววววววว ลุคใหม่สดใสดีนะคะ ให้ความรู้สึกเหมือนนอนมองฟ้าเลยค่ะ สบายตาดีนะคะ

แล้วกล่องเม้นนี่อีก เขียวบึ๊งเลยนะคะเนี่ย ท่าทางจะยิงลูกก๋งบ่เข้าเนาะฮี่ๆๆๆๆๆๆๆ
โดย: ไผบ่ชม ฮาชมคนเดวก็ได้บ่ะ IP: 203.150.134.185 วันที่: 19 กันยายน 2549 เวลา:23:30:47 น.
  
คุณภู

ลูกเล่นบล๊อกเปิ้นนักแล้วน่อ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

อ่า...แม่น้องนิกลบข้อความที่คุณภูส่งไปแล้วเจ้า เพราะวันก่อนมีแต่คนส่งฮูปไปเต๋มเมล
พอลบไปแล้วคุณภูขับหื้อแปล๋

คุณภูไค่หื้อแปล๋ก่ส่งไปใหม่เน้อ แต้ๆแล้วไค่
แปลตั้งแต่วันก่อน แต่ก่กั๋วคุณภูว่าลามก
เลยแปล๋แบบนางสาวไทย ไว้ตั๋วเหียน่อย
กำเดียวเสียภาพพจน์ แม่น้องนิก
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.135.51 วันที่: 20 กันยายน 2549 เวลา:4:49:03 น.
  
ไม่มีคนชมก็น้อยใจนะคนเรา
แต่สีฟ้าสดใสมากก น่ารักจัง
โดย: กวิสรา วันที่: 20 กันยายน 2549 เวลา:12:59:37 น.
  
มาแอบอ่านค่ะ
(แล้วบอกเค้าทำไม555)
โดย: สายลมอิสระ วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:0:17:29 น.
  
โดย: PADAPA--DOO วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:7:59:56 น.
  


ไม่ได้มามือเปล่าแต่เอาดอกไม้มาฝาก
โดย: อุ้มสี วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:9:17:53 น.
  
เชิญอ่าน "ความทรงจำครั้งวัยเยาว์"
ของ ปิ่นเดือน ครูดอย ค่ะ

โดย: ปิ่นเดือน ครูดอย วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:10:45:43 น.
  
และเชิญไปอ่าน...ขออภัยในความไม่สะดวก
ของผมด้วยเน้อครับ...


//www.prachatai.com/05web/th/columnist/viewcontent.php?ColumnistID=68&ID=68&ContentID=1926&SystemModuleKey=Column&System_Session_Language=Thai
โดย: pu_chiangdao IP: 203.150.139.125 วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:11:22:24 น.
  
โดย: กวิสรา วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:13:40:02 น.
  
กอดเม็ดฝนทำไมกอดให้หนาว
ต้องกอดสาวหนาวหนาวก็พลันอุ่น
กอดเม็ดฝนไม่กอดจะกอดคุณ
กอดแล้วอุ่นจะกอดคุณ มากอดที...


ฮิ้ววววววววววว กวีหน้าใหม่ กวียียวนกวนดีเนาะ
โดย: กกซ.กวีกูซ่า (กากีซ่าส์ ) วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:23:50:19 น.
  


ไม่ได้เข้ามานาน บ้านงาม เน๊าะ

จาก โอม นิวยอร์ก ครับ..

แล้วจะเข้ามาอ่านบ่อย ๆ นะครับ

อยากกลับมาเห็นเม็ดฝน ที่ทางเหนือ ...

อีกสี่เดือน คงถึงไทย แล้ว ...
หวังว่าคงหนาว กุมภา นะครับ..


โดย: Ohm USA IP: 72.43.97.151 วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:1:37:27 น.
  
คงไม่ช้าเกินไปที่จะแวะมาทักทาย
โดย: คนพะเยา (ก้อนหินริมทาง ) วันที่: 15 ธันวาคม 2549 เวลา:5:01:24 น.
  
กำกำกำกกำกำกกำกำกำกกำกกำกำกกำกำกกำ
โดย: สาเกต IP: 203.118.84.130 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:00:04 น.
  
ผมเป็นสมาชิกคนนึงในหมู่บ้าานพะเยา ตอนนี้มาอยู่ที่อเมริกา แล้วฝนตกนั่งคิดถึงบ้าน ลองหาข้อมูลกับ บ้านเกิดตัวเองดูว่าเป็นอย่างไร จะมีบ้างไหมใน โลกอินเตอร์เน็ต สุดท้าน น่าตกใจ ผมเป็น คนนึงที่ ทุกคนในหมู่บ้านน่าจะรู้จักดี คือก้อเพราะมันมีกันไม่มาก ทุกคนรู้จักกันหมด ผมแค่คิดถึงบ้าน บรรยากาศเก่าๆ ป่าไม้ ชอบที่ทุกคนสนใจในหมู่บ้านของผม แต่ก้อไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปมากน้อยสักแค่ไหน คิดถึงบ้าน สำหรับคนที่ ชอบธรรมชาติ ป่าไม่ คุยกันได้ครับ emtrxcows@hotmail.com ยินดีครับ
โดย: emtrxcowsAThotmail.com IP: 24.148.62.79 วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:5:35:37 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pu_chiangdao
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]



ภาพและงานเขียนทุกชิ้นที่ปรากฏในเวบไซต์นี้
เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบทประพันธ์นั้นๆ แต่เพียงผู้เดียว
ห้ามกระทำการดัดแปลง แก้ไข
หรือแอบอ้างไปเป็นผลงานของตน
โดยไม่มีการอ้างถึงเจ้าของลิขสิทธิ์
หากผู้ใดมีความประสงค์
จะนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่ ตีพิมพ์
หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด
โปรดติดต่อเจ้าของบทประพันธ์โดยตรง


***************************

งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27) การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ที่มา : เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา









กันยายน 2549

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
Friends Blog
[Add pu_chiangdao's blog to your weblog]