เมื่อปอป้าเฉียด " บ้า " นั่งตัดสินใจอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนี้เล่าให้เพื่อน ๆ อ่านดีไหม คิดอยู่หลายตลบ สุดท้ายก็ตกลงใจว่าเล่าก็แล้วกัน เพราะอย่างน้อยจะได้เป็นเครื่องเตือนใจให้กับคนที่คิดจะฝึกหัดปฏิบัติภาวนาว่า การปฏิบัติภาวนาที่ถูกต้องนั้นต้องมีสติรู้อยู่กับตัวตลอดเวลา มีครูอาจารย์คอยดูแลกำกับอยู่ด้วย สติเป็นสิ่งสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำเสมอ เพื่อน ๆ คงจำได้ว่า ปอป้าได้เสียลูกชายไปอย่างกระทันหันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ท่านลุงผู้สามีเพิ่งจะบวชได้เพียง ๓ วัน ยืนยันให้ท่านลุงบวชต่อให้ครบหนึ่งเดือนตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้แต่แรก สติช่วยให้ปอป้าจัดการเรื่องงานศพผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ด้วยความเข้มแข็ง เวลานั้นไม่มีแม้แต่น้ำตา เพราะเข้าใจดีถึงวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด แต่พอเวลาผ่านไปก็มีร้องไห้คิดถึงบ้างเป็นบางครั้ง เมื่องานศพผ่านพ้นไปได้ประมาณเกือบ ๒ เดือน ก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ ทำงานตามปกติก็จริง กินตามปกติก็จริง แต่ไม่รู้ตัวหรอกว่าพูดน้อยลง ทานน้อยลง วัน ๆ เก็บตัวเงียบ ๆ อยู่คนเดียว ร่างกายที่เคยจ้ำม่ำกลายเป็นคนผ่ายผอมลงไปทุกวัน น้ำหนักลดลงไป ๑๐ กว่ากิโลภายในหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องไปนอนเฝ้าคุณแม่ที่ผ่าตัดตา จนท่านอาการดีขึ้นและได้พี่สะไภ้จากแม่ฮ่องสอนมาช่วยปรนนิบัติด้วย จนถึงเวลาที่ท่านลุงสึกกลับมา ครั้นถึงวันอาสาฬหบูชา ได้ชวนท่านลุงไปทำบุญถวายสังฆทาน บุญหลาย ๆ อย่าง อุทิศให้กับลูก แล้วก็พากันไปเวียนเทียน ระหว่างที่เวียนเทียน เวียนไปก็ร้องไห้ไป ถามตัวเองว่าร้องทำไม ก็ตอบไม่ได้ว่าร้องทำไม เอ้า..ในเมื่ออยากร้องก็ปล่อยให้ร้อง แล้วก็ดูจิตตัวเองไปด้วย ดูแล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า สงบ สันติ ไม่มีปีติ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ จึงปล่อยจิตไปตามธรรมชาติของเขาจนเสร็จพิธี จากนั้นเดินออกมายืนรอท่านลุงที่หน้าโบสถ์ เพราะท่านลุงมัวแต่สวมรองเท้า ชั่ววินาทีนั้นเองที่ปอป้าเกิดความรู้สึกว่า ตัวเองยืนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ หมุนตัวมองไปรอบกาย ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น แมลงเล็ก ๆ สักตัว ทุกสิ่งว่างเปล่า ปราศจากท้องฟ้า อากาศ ก้มลงมองตัวเอง ถามว่าเราคือใคร ทำไมมายืนอยู่คนเดียว ที่นี่คือที่ไหน ไม่รู้จักแม้แต่ตัวเองว่าเป็นใคร มาจากไหน พลันได้ยินเสียงเรียกเบา ๆ มาจากที่ไกลแสนไกล....อ้อย...อ้อย...อ้อย... แล้วทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ท่านลุงยืนอยู่ข้างหน้าพร้อมทั้งยื่นมือมาจับมือเรา แต่เราจำเขาไม่ได้ รู้แต่ว่าผู้ชายคนนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาจังเลย เขาเป็นใครกันหนอ ทำไมเขามาจูงมือเรา แสดงว่าเขาต้องรู้จักเราสินะ ก็เดินตามมือที่จูงเราไปขึ้นรถ ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถ จิตพลันระลึกนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบารมีพระองค์ปกปักรักษา รู้แต่ว่าท่านคือผู้ที่ช่วยเราได้ ปกป้องเราได้ คำว่า พุทธะ ก้องอยู่ในจิต พุทธ เราคือพุทธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราเป็นลูกตถาคตเจ้า จิตของเราอยู่ที่ไหน จงกลับมา จงกลับมา..... ปอป้าถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง สภาวะที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่กัมมัฏฐานที่ว่างอย่างที่เคยปฏิบัติมา วูบหนึ่งใจหาย เมื่อจิตนึกถึงคำของท่านพุทธทาสที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า.... อริยสงฆ์ กับคนบ้า แค่เส้นด้ายบาง ๆ เล็ก ๆ เท่านั้น... คำพูดนี้ปอป้าอ่านมานานหลายสิบปีแล้ว ตอนนั้นยังไม่เข้าใจดีนัก แต่ ณ เวลานี้ เข้าใจเป็นอย่างดี นี่แหละพระพุทธศาสนา ท่านว่าเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ด้วยตัวเอง วันนั้นปอป้าเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วจริง ๆ รุ่งขึ้นจึงเดินทางไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจ ท่านเป็นศาสตราจารย์ที่เก่งมากและปฏิบัติธรรมด้วย ท่านอธิบายให้ฟังว่า การที่ปอป้าเสียลูกชายไปแบบกะทันหันอย่างนั้น สภาวะจิตได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เรียกว่า Deep Shock ถ้าเป็นคนปกติ ก็จะต้องตกใจมาก เสียใจมาก ร้องไห้แสดงออกหลายอย่างหลายกระบวนท่า ถึงขนาดตีอกชกตัว จนเป็นลมไปก็มี แต่สำหรับปอป้าได้รับการฝึกฝนการปฏิบัติภาวนามาเป็นระยะเวลายาวนานมาก มีสติเป็นตัวกำกับจิตอยู่ตลอดเวลา ก็เลยไม่มีการแสดงออกเหมือนคนปกติทั่วไป เพราะมองเห็นการเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา นี่คือภาคหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรม ถามคุณหมอว่า อย่างนี้เราก็เก็บกดสิคะ คุณหมอบอกว่าไม่ใช่ มันเป็นสภาวะของคนปฏิบัติธรรมที่ยอมรับในวัฏฏะสงสาร แต่การปฏิบัติธรรมของเรายังไม่บรรลุขั้นอรหันต์ที่ตัดทุกอย่างได้ ยังคงมีสภาพของความเป็นปุถุชนคนธรรมดา มีสภาพของความเป็นแม่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งสภาพนี้เองที่ไม่ยอมรับกับการจากไปอย่างกระทันหันของลูก การไม่ยอมรับนี้จึงถูกเก็บซ่อนเร้นเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใต้สำนึก แล้ววันหนึ่งมันก็ออกอาการมาในรูปของทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เรียกว่าภาวะซึมเศร้า คุณหมอบอกว่าโชคดีที่สภาวะจิตในการปฏิบัติธรรมของปอป้าเข้มข้นมากแล้ว จึงสามารถเรียกจิตของตัวเองกลับมาได้ เพราะตรงนี้อันตรายมาก ถึงขั้นเป็นบ้าได้เลยทีเดียว เมื่อปรึกษาหารือกันดีแล้ว คุณหมอเห็นสมควรให้ปอป้าทานยารักษาโรคซึมเศร้าเป็นเวลา ๓ เดือน ไม่อย่างนั้น อาการจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้รักษาลำบากมากขึ้น ทางบ้านเห็นด้วยก็เลยรับยามาทาน ระหว่างที่ทานยา ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคุณหมอเป็นอย่างดี คุณหมอให้งดปฏิบัติธรรมชั่วคราว แรก ๆ ที่ทานยาก็รู้สึกดีขึ้น ไม่เอ๊อะเอ๋อ ก็ทานไปเรื่อย ๆ แต่พอทานมาได้หนึ่งเดือน ก็เริ่มอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนถูกควบคุม คุมขัง ไม่มีความสุข ทุกข์ทรมานใจมาก จึงบอกคุณหมอขอถอนยา คุณหมอแปลกใจมาก จึงจัดโปรแกรมถอนยาให้ ท่านบอกว่า ปอป้าเก่งมากที่สามารถถอนยาได้เร็วเกินความคาดหมาย และเร็วกว่าคนไข้ทั่วไป ตอนนี้หมดโปรแกรมถอนยาแล้ว กำลังเข้าสู่โปรแกรมหยุดยาถาวร ถ้าผ่านพ้น ๑๐ วันไปได้ ก็เป็นอันจบโรคซึมเศร้า กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ลูกสาวกับลูกเขยก็ช่วยกันลุ้นเต็มที่ ไปซื้อน้องหมาชิวาว่าเพศเมียมาให้เป็นเพื่อนหนึ่งตัว ก็หายเหงาไปได้เยอะเลยค่ะ แต่อยากจะบอกว่าซนมาก ซนยิ่งกว่าลิงเสียอีก...555 ที่เล่ามาทั้งหมด อยากจะเน้นให้เพื่อน ๆ เห็นความสำคัญของ สติ พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องนี้มาก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา หากเรามีสติคอยกำกับ รับรองว่า เราจะสามารถจัดการทุกเรื่องได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายขอความสุข สวัสดี จงมีแก่เพื่อน ๆ และทุกคนในครอบครัวนะคะ
เพลง สนามอารมณ์
ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัว