หายหน้าไปจากบล๊อกเสียหลายวัน ไม่ได้หนีไปเที่ยวที่ไหน..นะคะ แค่นอนคุยกะคุณป่วนเท่านั้นเอง..อิ อิ
วันนี้กลับมาประจำบล๊อกแล้ว ไปเที่ยวกันดีกว่า..ค่ะ
ปีที่แล้ว ปอป้าพาไปเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์หลายแห่ง จำได้ว่าทริปสุดท้ายที่นำเสนอ อยู่ที่อุทยานฯ ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ วันนี้ ปอป้าพาไปเที่ยวต่อให้จบทริป..ค่ะ
ปรางค์สองพี่น้อง เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ในกลุ่มศาสนสถานกลางเมืองเช่นเดียวกับโบราณสถานเขาคลังใน สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ เป็นโบราณสถานที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบเขมร ชื่อปรางค์สองพี่น้องเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกเช่นเดียวกัน เนื่องจากพบว่ามีปรางค์ ๒ องค์ ตั้งอยู่เคียงกัน องค์หนึ่งใหญ่ องค์หนึ่งเล็ก จึงเรียกว่า ปรางค์สองพี่น้อง
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของปรางค์หรือปราสาทประธานประกอบด้วย ปราสาทประธานสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เป็นปราสาทก่ออิฐไม่สอปูน มีร่องรอยปูนฉาบอยู่ภายนอก ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงที่ทำเป็นชุดฐานปัทม์หรือฐานบัวสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพิ่มมุมขนาดใหญ่ซ้อนกัน ๓ ชั้น มีทางเข้าด้านหน้าทางเดียว เรือนธาตุมีมุขอื่นยื่นออกมาทั้ง ๔ ทิศ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศใต้ เป็นมุขสั้นติดกับตัวปราสาท ช่องประตูทำเป็นประตูหลอก ส่วนด้านทิศตะวันตกทำมุขยื่นออกมาเป็นห้องยาวเชื่อมต่อกับมณฑป ด้านหน้าเป็นช่องทางเข้าสู่ภายในปราสาทได้ หลังคาปราสาทปัจจุบันพังทลายจนไม่เห็นรูปทรง แต่ถ้าจะเทียบกับสถาปัตยกรรมขอมในรุ่นเดียวกันแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่า คงจะประกอบด้วยชั้นเชิงบาตร ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะมีจำนวน ๕ ชั้นซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป บนยอดสุดมักประดับด้วยกลศ คือหม้อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ปักด้วยตรีศูล หรือปัญจศูลหล่อด้วยโลหะ บนชั้นเชิงบาตรแต่ละชั้นประดับด้วยกลีบขนุน
ลักษณะแผนผังของปราสาท อยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุมด้านนอกทั้ง ๔ ด้าน องค์ปราสาทค่อนข้างสูง เท่าที่เหลืออยู่สูงประมาณ ๗ เมตร ผนังห้องภายในทั้ง ๓ ด้าน คือด้านทิศเหนือ ตะวันออก และทิศใต้ เจาะเป็นช่องซุ้มจรนำยอดซุ้มเป็นรูปสามเหลี่ยม อาจจะใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ หรือเครื่องบูชา หรือเครื่องให้แสงสว่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ภายในปราสาทมีแท่นศิลาแลงสำหรับประดิษฐานรูปเคารพ โดยตรงกลางแท่นเจาะเป็นรูเพื่อใช้เสียบยึดเดือยฐานรูปเคารพให้มั่นคง
มุขปราสาทด้านทิศตะวันตกยาวประมาณ ๑๐ เมตร ฐานก่อด้วยศิลาแลง เป็นชุดของฐานปัทม์เช่นเดียวกัน ผนังมุขปราสาทก่อด้วยอิฐ จากการขุดแต่งได้พบลูกมะหวดและกรอบหน้าต่างทำด้วยหินทรายตกอยู่ใต้ผนังมุขปราสาทด้านทิศใต้ จึงสันนิษฐานว่าผนังด้านทิศใต้และน่าจะรวมถึงผนังด้านทิศเหนือด้วย คงจะเจาะผนังเป็นช่องหน้าต่างและมีซี่กรงลูกมะหวดประดับ สำหรับหลังคามุขปราสาทซึ่งสูญหายไปหมดแล้วนั้น คงจะก่อด้วยอิฐซ้อนเหลื่อมเข้าหากันเป็นรูปโค้งเลียนแบบเครื่องไม้ มีหน้าบันชั้นลดเช่นเดียวกับสถาปัตยกรรมเขมรโดยทั่วไป
ด้านหน้าติดกับมุขปราสาทออกมานั้น มีฐานอาคารรูปกากบาทก่อด้วยศิลาแลง คงจะเป็นมณฑปด้านหน้าปราสาท ซึ่งมักจะพบเสมอในสถาปัตยกรรมเขมร มณฑปนี้ก็คงจะมีผนังก่อด้วยอิฐและหลังคาก่ออิฐเป็นรูปโค้งเลียนแบบหลังคาเครื่องไม้เช่นเดียวกับมุขปราสาท มีช่องหน้าต่างประดับลูกมะหวดเช่นเดียวกัน และมีช่องประตูทางเข้าและหน้าบันประกอบโดยรอบทางด้านทิศเหนือ ใต้ และตะวันตก โดยปกติมณฑปนี้สร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าไปภายในเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนองค์ปรางค์หรือปราสาทซึ่งเรียกว่า วิมาน นั้น เป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ หรือรูปเคารพ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สงวนไว้เฉพาะแต่พราหมณ์หรือนักบวชที่สามารถเข้าไปประกอบพิธีกรรมภายในครรภคฤหะ คือห้องหายในมณฑปนั้น ถ้าเป็นลัทธิไศวนิกายก็อาจจะเป็นที่ตั้งรูปโคนนทิหมอบ ซึ่งมีความหมายถึงพาหนะของพระศิวะหรือพระอิศวรก็ได้
ทางด้านทิศใต้ของปราสาทประธาน มีปราสาทขนาดเล็กอีก ๑ องค์ แต่เดิมเหลือเพียงส่วนของเรือนธาตุช่วงล่าง ต่อมาได้ซ่อมแซมบูรระต่อเติมขึ้นไปจากเดิมอีกเล็กน้อย เพื่อติดตั้งทับหลังที่ตกอยู่ในบริเวณเดียวกัน ฐานชั้นล่างสุดของปราสาทหรือปรางค์องค์เล็ก เป็นฐานปัทม์ก่อด้วยศิลาแลง เชื่อมต่อเป็นฐานเดียวกันกับฐานชั้นแรกขององค์ใหญ่ ถัดขึ้นมาเป็นส่วนขององค์ปรางค์ก่อด้วยอิฐ ลักษณะการก่ออิฐเป็นแบบเดียวกับปรางค์องค์ใหญ่ แผนผังภายนอกขององค์ปรางค์ก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุมเช่นเดียวกัน ทางด้านหน้า คือทางทิศตะวันตก มีประตูทางเข้าสู่ครรภคฤหะหรือห้องภายในองค์ปรางค์ ส่วนอีก ๓ ด้าน คือด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศใต้ ทำเป็นประตูหลอก รูปทรงส่วนบนขององค์ปรางค์ ก็คงจะมีลักษณะเช่นเดียวกับปรางค์องค์ใหญ่ นอกจากปรางค์ ๒ องค์ และฐานมณฑปด้านหน้าปรางค์แล้ว ยังพบทางเดินและอาคารเล็ก ๆ อีกหลายหลัง ซึ่งคงจะใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
จากการขุดแต่งโบราณสถาน ได้พบหลักฐานชิ้นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมที่สำคัญหลายส่วนที่สามารถบอกอายุสมัยการก่อสร้างได้ เช่น ทับหลัง และเสาประดับกรอบประตู ซึ่งกำหนดอายุได้ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ และจากเรื่องราวที่ปรากฏบนทับหลังซึ่งสลักเรื่องราวเกี่ยวกับพระศิวะ ประกอบกับได้พบชิ้นส่วนศิวลึงค์ ฐานโยนี และโคนนทิ ในบริเวณโบราณสถาน จึงสันนิษฐานว่า เมื่อแรกสร้างโบราณสถานแห่งนี้คงจะเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ซึ่งสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ แต่ทว่าศิวลึงค์ ฐานโยนี และโคนนทิที่พบนั้น ปรากฏว่าถูกฝังไว้ในพื้นดินในระดับใต้ฐานอาคาร จึงสันนิษฐานว่าเทวสถานแห่งนี้คงจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนามหายาน ตามกระแสความนิยมที่แพร่มาจากเขมรในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ระหว่าง พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๐ และโบราณสถานแห่งนี้ก็คงจะถูกทิ้งร้างไปพร้อม ๆ กับเมืองศรีเทพในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้
นอกจากหลักฐานดังกล่าวแล้ว ยังมีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ และอาจก่อให้เกิดความสับสนในการตีความทางประวัติศาสตร์ได้ นั่นคือ การค้นพบเทวรูปพระอาทิตย์ หรือสุริยเทพ ที่บริเวณทางเดินรูปกากบาท ซึ่งเป็นทางเดินเข้าด้านหน้าโบราณสถานแห่งนี้ เทวรูปพระอาทิตย์หรือสุริยเทพนี้ กำหนดอายุได้ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ซึ่งเป็นอายุที่มีความเก่าแก่กว่าตัวโบราณสถานมาก จึงอาจเป็นไปได้ว่า เทวรูปองค์นี้อาจจะถูกเคลื่อนย้ายมาในสมัยหลัง เช่นเดียวกับอัฒจันทร์ศิลารูปครึ่งวงกลมซึ่งสลักเป็นรูปดอกบัวครึ่งวงกลมที่อยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าสู่ห้องครรภคฤหะของปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะของอัฒจันทร์ศิลาที่นิยมกันอยู่ในสมัยทวารวดี จึงอาจเป็นไปได้ว่า อาจจะมีการเคลื่อนย้ายมาในสมัยหลังเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นรูปเคารพที่อยู่ที่นี่มาแต่เดิม ก็อาจเป็นไปได้เช่นกันว่าอาจจะมีโบราณสถานที่มีอายุรุ่นเดียวกับรูปเคารพดังกล่าว ถูกโบราณสถานรุ่นหลังสร้างซ้อนทับอยู่ข้างใต้
ขอบคุณ
ข้อมูลจากหนังสือนำชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
เพลง ลาวคำหอม
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
มีความสุขกับความสงบที่มีในใจตน ตลอดไป..นะคะ