ตอบคำถามคุณฉัตร สวัสดีค่ะคุณปอป้า ฉัตรสนใจจะร่วมทำบุญพิมพ์หนังสือธรรมะเป็นธรรมทานกับพี่ไก่ atai ที่เฟชค่ะ ได้เห็นอานิสงค์ของการให้ หรือพิมพ์หนังสือธรรมะเป็นธรรมทานแล้วทึ่งมาก เพราะอานิสงค์มากและสูงเหลือเกิน อยากทราบว่าการจัดพิมพ์ หรือร่วมจัดพิมพ์ กับการให้หนังสือธรรมะที่มีอยุ่ หรือจัดซื้อให้เป็นธรรมทาน จะได้อานิสงค์เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรคะ ขอบพระคุณคุณปอป้ามากค่ะ ฉัตรไม่รีบและไม่ได้รอคำตอบก่อนที่จะร่วมทำบุญกับพี่ไก่นะคะ เพียงแต่ถ้าได้ทราบก็จะทำให้กระจ่างใจมากยิ่งขึ้นค่ะ โดย: ณ ปลายฉัตร 15 สิงหาคม 2555 21:21:44 น.
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า...สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชนาติ แปลว่า....การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวถึงธรรมทานเอาไว้ว่า... ธรรมทานนั้นมีผลมากว่าทานอื่นจริง ๆ วัตถุทานก็ช่วยกันแต่เรื่องมีชีวิตอยู่รอด อภัยทานก็เป็นเรื่องมีชีวิตอยู่รอด แต่มันยังไม่ดับทุกข์ มีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์น่ะมันดีอะไร เขาให้มีชีวิตอยู่ แต่เขาได้รับทุกข์ทรมานอยู่ นี้มันดีอะไร มันดีอะไร เมื่อรอดชีวิตอยู่แล้ว มันจะต้องไม่มีความทุกข์ด้วย จึงจะนับว่าดีมีประโยชน์ ข้อนี้สำคัญกว่า ด้วยธรรมทาน มีความรู้ธรรมะแล้ว รู้จักทำให้ไม่มีความทุกข์ รู้จักป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ รู้จักหยุดความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่ ธรรมทานจึงมีผลกว่าในลักษณะอย่างนี้ มันช่วยให้ชีวิตไม่เป็นหมัน วัตถุทานและอภัยทานช่วยให้เรารอดชีวิตอยู่ บางทีก็อยู่เฉย ๆ มันสักว่ารอดชีวิตอยู่เฉย ๆ แต่ถ้ามีธรรมทานเข้ามาก็จะสามารถช่วยให้มีผลถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะฉะนั้น ขอให้สนใจในเรื่องธรรมทาน ทีนี้ให้ธรรมทาน มีจิตใจอยู่เหนือกิเลส ไม่ประกอบไปด้วยกิเลสมันก็ไม่มีปัญหา มันก็เสวยความสุขชนิดที่ไม่เกี่ยวกับกิเลส ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าเป็นของเหนือกว่า เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนพยายามให้ธรรมทานคือทำให้บุคคลอื่นมีธรรมะแล้วก็จะได้ผลชนิดที่ ละเอียด ลึกซึ้ง ประณีต ประเสริฐ ยิ่งกว่าให้วัตถุทาน ให้ วัตถุทาน ชื่อว่าให้กำลังแรงกาย ส่งผลให้ร่ำรวย เป็นสุขในสวรรค์ ให้ อภัยทาน ชื่อว่าให้ความไม่มีเวร ส่งผลให้ชีวิตสงบ เป็นสุขในสวรรค์ ให้ ธรรมทาน ชื่อว่าให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ส่งผลให้มีสติปัญญาเห็นแจ้งในมรรค ผล เข้าถึงสุขสูงสุดในนิพพาน....
ธรรมทาน คือ การให้ธรรม การสั่งสอนแนะนำเกี่ยวกับธรรม การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องอันก่อให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิต เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องบาปบุญคุณโทษ นำมาซึ่งความสุขความเจริญ หรือแม้แต่สามารถละสิ่งที่เป็นอกุศลได้ในที่สุดการพิมพ์หนังสือธรรมะแจก หรือซื้อหนังสือธรรมะที่เขามีอยู่แล้วมาแจก ถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่กว่าการทำทานอย่างอื่น เพราะการเผยแพร่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการทำความดีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผู้รับเกิดความรู้ความเข้าใจและนำไปปฏิบัติตาม จนสามารถดำรงธรรมตั้งมั่นอยู่ในธรรมได้ เกิดความผาสุกสวัสดีทั้งแก่ตนเองและคนรอบข้าง การให้คำสอนที่เป็นธรรมะที่ถูกต้องนั้น เปรียบเหมือนการให้ประทีปอันมีค่ายิ่งกว่าขุมทรัพย์ใด ๆ เพราะธรรมะจะเป็นแสงสว่างส่องนำทางชีวิตให้ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควร และเมื่อยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ ธรรมะนั้น ๆ ก็จะเป็นเครื่องพยุงไม่ให้ผู้ที่เข้าถึงต้องตกต่ำ ได้เกิดในสุคติไม่ตกอบาย ต่อเมื่อได้ปฏิบัติอบรมจนเกิดบารมีแก่กล้าแล้ว ย่อมสละเสียซึ่งอาสวกิเลสทั้งปวง เข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวงในส่วนของอานิสงส์ของการให้ธรรมะนั้น พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญบุคคลให้ธรรมเป็นทาน โดยไม่ปรารถนาลาภสักการะ ย่อมมีอานิสงส์ประมาณมิได้ แต่ปัจจุบันนี้ มักจะมีคำกล่าวว่า การให้ธรรมะเป็นทานนั้น สามารถลบล้างกรรมเวรจากอดีตชาติได้บ้าง โรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวรจะพ้นไปบ้าง สามีภรรยาที่แตกแยกจะกลับมาคืนดีกันบ้าง และอื่น ๆ อีกมากมายบ้าง ซึ่งคำพูดเหล่านี้ไม่มีปรากฏในพระบาลีมาก่อน ส่วนคำถามของคุณฉัตรที่ว่า อยากทราบว่าการจัดพิมพ์ หรือร่วมจัดพิมพ์ กับการให้หนังสือธรรมะที่มีอยุ่ หรือจัดซื้อให้เป็นธรรมทาน จะได้อานิสงค์เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร นั้น ตอบได้ว่า การทำทานทั้งสองแบบนั้นมีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก และเพื่อความกระจ่างใจมากยิ่งขึ้น ก็ขอนำพระสูตรชื่อ ทานสูตร จากพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต ซึ่งอาจารย์ประณีต ก้องสมุทร ได้สรุปย่อไว้ที่ //84000.org มาให้อ่านประกอบ ดังนี้...
ในทานสูตร ข้อ ๔๙ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้ทานที่ให้แล้ว มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก และเหตุปัจจัยที่ทำให้ทานที่ให้แล้วมีผลมาก และมีอานิสงส์มาก ไว้ดังต่อไปนี้ ๑. บุคคลบางคน ให้ทานด้วยความหวังว่า เมื่อตายไปแล้ว จักได้เสวยผลของทานนี้ เมื่อตายไป ได้เกิดในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก ๒. บุคคลบางคนไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน แต่ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี เป็นบุญ เป็นกุศล จึงให้ เมื่อตายไป ได้เกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมากแต่ไม่มีอานิสงส์มาก ๓. บุคคลบางคนไม่ได้ให้ทาน เพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี แต่ให้ทานเพราะละอายใจที่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษเคยทำมา ถ้าไม่ทำก็ไม่สมควร ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นยามา สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก ๔. บุคคลบางคน ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ แต่ให้ทานเพราะเห็นสมณพราหมณ์เหล่านั้นหุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ ถ้าไม่ให้ก็ไม่สมควร ครั้นตายลงได้เกิดในเทวโลกชั้นดุสิต สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในเทวโลกแล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก ๕. บุคคลบางคน ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะรู้ว่าทานเป็นของดี ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่า สมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้ แต่ให้ทานเพราะต้องการจำแนกแจกทานเหมือนกับฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทานมาแล้ว เขาตายไปได้เกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก ๖. บุคคลบางคน ไม่ได้ให้ทานเพราะหวังผลของทาน ไม่ได้ให้ทานเพราะว่าทานเป็นของดี ไม่ได้ให้ทานตามบรรพบุรุษ ไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นว่าสมณพราหมณ์หุงหากินไม่ได้ ไม่ได้ให้ทานเพราะต้องการจำแนกแจกทานเหมือนฤาษีทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำมหาทาน แต่ให้ทานเพราะคิดว่า เมื่อให้แล้ว จิตจะเลื่อมใสโสมนัสจึงให้ ครั้นตายไปย่อมเกิดในเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตดี สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือกลับมาเกิดในโลกนี้อีก ทานอย่างนี้มีผลมาก แต่ไม่มีอานิสงส์มาก ๗. บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานเพราะเหตุที่กล่าวแล้วทั้ง ๖ อย่างข้างต้นนั้น แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต คือให้ทานนั้นเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจหมดจดจากกิเลสด้วยอำนาจของสมถะและวิปัสสนา จนได้ฌานและบรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคล ตายแล้วได้ไปเกิดในพรหมโลก เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ในพรหมโลกแล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกนี้อีก คือปรินิพพานในพรหมโลกนั้นเอง ทานชนิดนี้เป็นทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก
สรุปรวมความว่า ทานชนิดใดก็ตาม เป็นปัจจัยให้ต้องเกิดอีก ทานชนิดนั้นแม้มีผลมาก ได้เกิดที่ดีมีความสุขอันเป็นทิพย์ แต่ทานนั้นก็ไม่มีอานิสงส์มาก เพราะไม่สามารถจะทำให้หมดจดจากกิเลสได้ ส่วนทานชนิดใดเป็นปัจจัยให้ไม่ต้องเกิดอีก ทานชนิดนั้นชื่อว่ามีผลมากด้วย มีอานิสงส์มากด้วย เพราะทำให้หมดจดจากกิเลส ฉะนั้นคำว่า " อานิสงส์มาก" ในที่นี้ จึงหมายถึงการหมดจดจากกิเลสทั้งปวง ไม่ต้องเกิดอีก จริงอยู่ การเกิดในสวรรค์แต่ละชั้นนั้น มีความสุขมาก เพราะได้รับกามคุณอันเลอเลิศที่เป็นทิพย์ ละเอียดประณีตขึ้นไปตามลำดับชั้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า กามคุณนั้นเป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของชวนให้หลงใหล เป็นของมีสุขน้อย แต่มีโทษมาก เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรม คือ อนุปุพพิกถา แก่คฤหัสถ์ จึงได้ทรงแสดงโทษของกามไว้ด้วย ผู้ที่ยินดีหลงไหลเพลิดเพลินในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันน่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมไม่อาจล่วงทุกข์ไปได้ ผู้ที่จะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะเห็นโทษของกาม ก้าวออกจากกามด้วยสมถะและวิปัสสนาเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น ทานที่เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ขัดเกลาจิตให้อ่อน ให้ควรแก่การเจริญสมถะและวิปัสสนาจนบรรลุมรรคผลไม่ต้องกลับมาเกิดอีก จึงเป็นทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก แม้สังฆทานที่กล่าวว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็เพราะผู้ถวายมีโอกาสได้ฟังธรรมจากสงฆ์แล้วบรรลุอริยสัจธรรม ก้าวล่วงทุกข์ทั้งปวงไม่ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีกพระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่แก่สัตว์โลกแม้เมื่อทรงแสดงเรื่องทาน ก็ทรงแสดงให้พุทธบริษัทได้รับประโยชน์ครบทั้ง ๓ ประการ คือ ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ มรรค ผล นิพพาน ด้วยเหตุนี้ จึงควรทำใจให้เลื่อมใส บำเพ็ญทานให้เกิดระโยชน์ทั้ง ๓ ประการ จึงจะได้ชื่อว่า ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์อย่างแท้จริง
ขอบคุณ บทสรุปทานสูตร โดย อาจารย์ประณีต ก้องสมุทร จาก //84000.org เพลง แขกมอญบางขุนพรม
ปตฺตาปิ สุรภิ วายนฺติ เอวํ ธีรูปเสวนา
คนใดห่อกฤษณาด้วยใบไม้ ใบนั้นย่อมพลอยมีกลิ่นหอมฟุ้ง
การคบหาเสวนานักปราชญ์ ย่อมมีผลเช่นอย่างนั้น
ใช้สติปัญญาในการเลือกคบมิตรเลือกสังคม ตลอดไป...นะคะ