<<
สิงหาคม 2549
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
7 สิงหาคม 2549

มาร์ค ม.7 ADMISSION




พรรคประชาธิปัตย์เริ่มเดินหน้าสู่การเลือกตั้งอย่างเต็มตัวแล้ว

เป็นการเดินหน้าเต็มตัวด้วยการเสนอ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจนเปิดเผย

โดยเน้นความเป็นผู้นำแนวใหม่ และนโยบายใหม่ ที่แตกต่างจากไทยรักไทย

ทั้งนี้ ได้เลือกจังหวะก่อนที่พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง จะมีผลบังคับใช้วันที่ 24 สิงหาคม ซื้อเวลาไพรม์ไทม์ของสถานีโทรทัศน์ ที่เน้นเป้าหมายคือชาวบ้านวงกว้างคือช่อง 7 และช่อง 3 เปิดตัวและแนวคิดของนายอภิสิทธิ์ ผ่านสปอตโฆษณา

ซึ่งต้องถือว่าเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมืองเก่าแก่นี้

หากพิจารณาสปอตโฆษณา จะพบว่า แยกออกเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรก จะนำเสนอนโยบายในการแก้ปัญหาที่เป็นเรื่องเดือดร้อน และเร่งด่วนของประชาชน หรือ "วาระประชาชน" ใน 3 ด้าน คือ ปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาด้านการศึกษา และปัญหาด้านสุขภาพ

โดยอภิสิทธิ์บอกกับประชาชนว่า คนไทยวันนี้กำลังลำบาก ราคาน้ำมันสูงขึ้น ข้าวปลาอาหารแพงขึ้น รายได้ตกต่ำลง ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน คนไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้น จึงมีนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน จะปรับค่าแรงขั้นต่ำ จะลดค่าครองชีพ โดยการลดราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม และค่าไฟ ด้วยการขจัดการผูกขาด และจะจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเพิ่มรายได้และความเข้มแข็งให้ประชาชน

และทิ้งท้ายด้วยสโลแกนใหม่ของพรรคว่า "ประชาชนต้องมาก่อน"

ส่วนสปอตอีกชุดหนึ่งได้นำเสนอตัวตนของนายอภิสิทธิ์ โดยเน้นภาพชีวิตและครอบครัว ด้วยการบอกถึงการครองรักกับคู่ชีวิตมานานกว่า 18 ปี พร้อมด้วยลูกๆ ที่น่ารัก 2 คน

ขณะเดียวกัน ตอกย้ำว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้แทนราษฎรมานานกว่า 14 ปี มีผลงานโดดเด่นด้านปฏิรูปการศึกษา เป็นรัฐมนตรีที่ผลักดันให้หน่วยงานปราบทุจริตบัญญัติโทษสูงสุดต่อการคอร์รัปชั่นในแวดวงราชการ



ภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ที่นำเสนอนี้ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์คาดหมายว่า จะทำให้จุดด้อยอย่างน้อยที่สุด 2 ประการ ถูกขจัดออกไป

จุดแรก ก็คือ ภาพของนายอภิสิทธิ์ที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกมองในแง่ลบมาตลอดว่า เก่งเฉพาะงานการเมือง วัดความสำเร็จทางการเมืองที่การสามารถเชือดเฉือนคู่แข่งด้วยคำพูด ขณะที่การปฏิบัติ รวมถึงนโยบาย ไม่ชัดเจน

ยิ่งเมื่อมีการนำนายอภิสิทธิ์ไปเปรียบเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในแง่ประสบการณ์การบริหารงานและผลงาน นายอภิสิทธิ์ถูกมองว่า เทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้

และการถูกมองว่า บุคลิกลักษณะของนายอภิสิทธิ์ถอดแบบออกมาจาก นายชวน หลีกภัย ที่เคยมีฉายาในทางการเมืองว่า "ชวนเชื่องช้า" มาแล้ว ยิ่งทำให้ดูด้อยลงไปอีกเมื่อเทียบกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทย ฝังหัวชาวบ้านตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา

นั่นคือ ผู้นำควรมีบุคลิกเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์

มีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ เป็นนักบริหารมืออาชีพ ไม่ใช่แค่ "เทคโนแครต" เท่านั้น

สปอตโฆษณาชุดแรกของพรรคประชาธิปัตย์ จึงปูทางที่จะขจัดภาพลบนี้ ด้วยการชูสโลแกน "ประชาชนต้องมาก่อน"

เมื่อประชาชนต้องมาก่อน จึงต้องมี "วาระประชาชน" ออกมา ซึ่งในเบื้องต้นเน้นไป 3 เรื่องคือ ปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาด้านการศึกษา และปัญหาด้านสุขภาพ

โดยในปัญหาครองชีพนั้น นายอภิสิทธิ์ระบุว่าปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและประชาชนส่วนใหญ่ถูกซ้ำเติมจากปัญหาสินค้ามีราคาแพง จึงต้องแก้ปัญหานี้ด้วยการเข้าไปปรับโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของการผูกขาด เพื่อลดค่าครองชีพให้ได้

ซึ่งนายอภิสิทธิ์ย้ำว่า "เราทำได้เต็มที่เพราะไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน" อันเป็นเหมือนการย้อนศร พ.ต.ท.ทักษิณกลายๆ

เช่นเดียวกับปัญหาด้านการศึกษา นายอภิสิทธิ์ขยายความว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับลงทุนในเรื่องการพัฒนาคน โดยวิกฤตความแตกแยกที่เกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะเรามีรัฐบาล มีผู้มีอำนาจที่มีผลประโยชน์อื่นแอบแฝง หรือมีผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้น เมื่อต้องการความปรองดองของคนในชาติ คนในสังคม คนในรัฐบาล ต้องซื่อสัตย์

การจะมีสิ่งเหล่านี้ได้ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับปัญหาการศึกษา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้หยิบเรื่องการเรียนฟรีขึ้นมาเป็นจุดขาย โดยปัจจุบันแม้จะมีการบอกว่าเป็นการเรียนฟรี แต่กลับมีค่าใช้จ่ายอื่นแอบแฝง ไม่ว่า มีค่าแบบเรียน ค่าแป๊ะเจี๊ยะ ค่าเรียนพิเศษ และอื่นๆ อีก

ดังนั้น จะต้องสร้างระบบเรียนฟรี ที่ฟรีจริงๆ ขึ้นมา

ส่วนปัญหาด้านสุขภาพ นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าจะต้องเข้าไปปรับรื้อโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคอย่างแน่นอน เพื่อให้มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นภาระทางด้านงบประมาณ อย่างที่เป็นอยู่

นอกเหนือจากทั้ง 3 ประเด็นข้างต้น นายอภิสิทธิ์ยังจะรุกไปยังเรื่องธรรมาภิบาล ซึ่งถือว่าเป็นจุดด้อยที่สำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทย โดยจะเน้นย้ำถึงภาวะถดถอยของธรรมาภิบาล ทำให้กลไกตลาดเศรษฐกิจเสรี ไม่เป็นเศรษฐกิจที่เป็นธรรม หรือทำให้นักธุรกิจมั่นใจ นายอภิสิทธิ์ยืนยันที่จะไม่เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจที่ส่งเสริมการผูกขาด การอุปถัมภ์ เส้นสาย การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจะเป็นระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรงได้ในโลกยุคนี้

พร้อมทั้งระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์จะประกาศให้ชัดเจนว่าเป็นคนละแนวทางกับไทยรักไทยอย่างชัดเจน

นายอภิสิทธิ์สร้างความมั่นใจเพื่อแลกกับเสียงสนับสนุนว่า เมื่อมีการรณรงค์หาเสียงหากให้มีการนำเสนอเรื่องนโยบายทุกพรรคเท่ากัน พร้อมจะดีเบตกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

ท่าทีที่ดูเหมือนมั่นอกมั่นใจนี้ แน่นอนว่า เป็นกลยุทธ์ที่จะลบภาพการไม่มีนโยบายและไม่ใช่ผู้บริหาร อย่างไม่ต้องสงสัย



จุดที่สองที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ต้องการลบก็คือ "ความเหินห่าง" กับประชาชนในวงกว้าง

ที่ผ่านมาภาพของนายอภิสิทธิ์โดดเด่นอยู่ในสภา ฐานะนักการเมืองที่ "จัดเจน"

แต่เป็นความจัดเจนที่คุ้นเคยกับ "คอการเมือง" มากกว่า

ขณะที่ชาวบ้านทั่วไป การรู้ "ตัวตน" ของนายอภิสทธิ์ในแง่ "คนธรรมดาๆ" มีน้อยมาก

ยิ่งเมื่อเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณมีภาพ "แฟมิลี่แมน" สูงกว่าหลายเท่าตัว

ด้วยเหตุนี้ สปอตโฆษณานำเสนอตัวตนของนายอภิสิทธิ์ จึงถูกผลิตออกมาโดยเน้นภาพชีวิตและครอบครัว ด้วยการบอกถึงการครองรักกับคู่ชีวิตมานานกว่า 18 ปี พร้อมด้วยลูกๆ ที่น่ารัก 2 คน ถือเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะแล้ว

ซึ่งว่าไปแล้วชีวิตส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์มีจุดขายอยู่มาก

เขาเกิด 3 สิงหาคม 2507 ถือเป็น "คนหนุ่ม" ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วคนหนึ่ง

อยู่ในครอบครัวและสกุลที่ดีคือเป็นลูกของ ศ.น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกราชบัณฑิตยสถาน และ ศ.พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ

แต่งงานกับ ดร.พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุตรสาวของนักวิชาการดังที่ต่อสู้ทางการเมืองมาโชกโชน "พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย"

ซึ่งตรงนี้เป็นจุดขายจุดหนึ่งได้

สำหรับครอบครัวที่ประกอบด้วยบุตร-ธิดาอย่างละคนคือ ด.ญ.ปราง เวชชาชีวะ ด.ช.ปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นก็มีภาพของครอบครัวที่อบอุ่น เพียงแต่ไม่ถูกขับเน้นออกมาเท่านั้น

ยิ่งเมื่อมองไปที่การศึกษาจากเด็กอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลยุคลธร ชั้นประถมโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ แล้วไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนดังระดับโลกคือ สเกทคลิฟ และโรงเรียนอีตัน

ที่นั่นนายอภิสิทธิ์ ก็มี "จุดขาย" ได้อีก คือนอกเหนือจากการใช้ชีวิตวัยรุ่นที่อยู่ท่ามกลางหลักสูตรการเรียนที่ท้าทาย และกฎระเบียบด้านวินัยที่เข้มงวดแล้ว นายอภิสิทธิ์ยังเล่นฟุตบอล ซึ่งได้กลายเป็นกีฬาที่โปรดปรานของนายอภิสิทธิ์มาจนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นผู้ที่ติดตามการแข่งขันฟุตบอลของสโมสรต่างๆ ในอังกฤษและเป็นแฟนที่เหนียวแน่นของสโมสรนิวคาสเซิล ว่ากันว่า เขาเป็นผู้ที่สามารถวิจารณ์ผู้เล่น ครูฝึกสอน และผู้จัดการของทีมฟุตบอลต่างๆ ได้ ซึ่งประเด็นนี้สามารถหยิบมาสื่อกับคนรุ่นใหม่ในเมืองไทยปัจจุบันได้อย่างไม่มีช่องว่าง

แน่นอน "จุดขาย" ตรงนี้กำลังจะถูกขับเน้นออกมา

เช่นเดียวกับรสนิยมการฟังดนตรีแนวร็อคตั้งแต่ป๊อปร็อคไปจนถึงเฮฟวี่เมทัล โดยมีวงดนตรีที่โปรดปรานหลายวง เช่น อาร์อีเอ็ม อีเกิลล์ และโอเอซิส ก็กำลังถูกทำให้รู้จักมากขึ้น

ชีวิตในระดับ "อุดมศึกษา" ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน นายอภิสิทธิ์เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ใช้เวลาเรียนที่อ๊อกซ์ฟอร์ด 3 ปี จนจบและได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นับเป็นคนไทยคนที่สองในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับนี้ และในระหว่างนี้ได้ "เรียนรู้เมืองไทย" ด้วยการศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วย

หลังจากจบปริญญาตรี อภิสิทธิ์ก็เดินทางกลับประเทศไทย และเข้ารับราชการทหารโดยสอนหนังสือที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ที่เขาชะโงก จังหวัดนครนายก ก่อนที่จะกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่อ๊อกซ์ฟอร์ดจนสำเร็จ

ด้วยประวัติการศึกษาที่ถือเป็น "ครีม" คนหนึ่งของประเทศ จุดตรงนี้ก็กำลังถูกนำมาขยายให้คนรู้จักมากขึ้น

เช่นเดียวกับการทำงาน ที่มีจังหวะก้าวที่ไปสู่ "การเมือง" อย่างเป็นขั้นเป็นตอน

คือก่อนปี 2535 เป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า แล้วไปเป็นอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จากนั้น เป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้ นายพิชัย รัตตกุล ในเขตคลองเตย สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แล้วลงสมัคร ส.ส. ได้รับเลือกตั้งเมื่อมีนาคม 2535, กันยายน 2535, 2538 และ 2539 ในฐานะ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กรุงเทพมหานคร

ปี 2535-2537 เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ต้นปี 2537 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายศุภชัย พานิชภักดิ์), ปี 2538-2539 ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร, ปี 2538-2540 โฆษกพรรคประชาธิปัตย์, ปี 2540-2544 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ปี 2542 รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, ปี 2544 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และปี 2548 เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

นี่ย่อมถือเป็นชีวตที่ก้าวสู่ "การเมือง" อย่างมีขั้นตอน

ซึ่งแม้จะด้อยในแง่ไม่มีประสบการณ์การเป็นนักบริหารทางธุรกิจเมื่อเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความมุ่งมั่นสู่การเมืองที่เป็นขั้นตอนอย่างที่ว่า ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของนายอภิสิทธิ์

จุดนี้ กำลังถูกนำออกมาเป็นจุดขายสำคัญของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ผู้นี้ ภายใต้ความเชื่อมั่นของคนในประชาธิปัตย์ว่าจะลบภาพเกินห่างจากชาวบ้านไปได้

และจะทำให้นายอภิสิทธิ์มีภาพที่ "นุ่มนวล" ยิ่งขึ้นได้



ศึกการเมืองที่มีเก้านายกรัฐมนตรีเป็นเดิมพันนี้ ซึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นไม่กี่เพลาข้างหน้านี้ แม้จะมีการมองว่า นายอภิสิทธิ์ยังตามหลัง พ.ต.ท.ทักษิณอยู่หลายก้าว

แต่ด้วยสถานการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณก้าวไปข้างหน้าด้วยภาวะถดถอย

นี่ย่อมเป็นโอกาสสำคัญที่นายอภิสิทธิ์จะสปีดตัว เพื่อลดช่องว่างที่ห่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลายช่วงตัวลง

ซึ่งน่าติดตามว่านายอภิสิทธิ์จะทำได้ดีเพียงใด

ความหยามหยันของคนพรรคไทยรักไทยที่ว่านายอภิสิทธิ์เป็นแค่นักเรียน ม.7 ที่ตะโกนหา "นายกฯ พระราชทาน" นั้น กำลังจะพิสูจน์ด้วย "การเลือกตั้ง" ภายใต้บรรยากาศการเมืองใหม่ เงื่อนไขการเมืองใหม่ ผู้คุมกฎคือ กกต.ชุดใหม่

พร้อมกับการปรับตัวหา "จุดขาย" ใหม่และแข็งแรงมากขึ้นของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเหมือนกับการอัพเกรดจากเด็ก ม.ปลาย ก้าวไปสู่การสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัยนั้น

น่าสนใจยิ่งว่า จะทำได้ดีเพียงใด

จะชนะ หรือแม้ไม่ชนะ แต่ส่อแสดงให้เห็นอนาคตที่ดี หรือยังแพ้หลุดลุ่ยต่อไป

ล้วนน่าติดตาม

หน้า 9



*ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 04 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1355




Create Date : 07 สิงหาคม 2549
Last Update : 7 สิงหาคม 2549 2:50:31 น. 4 comments
Counter : 426 Pageviews.  

 
อยากลองให้อภิสิทธิ์เป็นนายกจัง ลุ้น ๆ ๆ
แต่ท่าทางจะยากอ่านะ ติดตามตอนต่อปาย


โดย: คุณย่า วันที่: 7 สิงหาคม 2549 เวลา:3:49:32 น.  

 
รอลุ้นเหมือนกันจ้ะ


โดย: Petit Patty วันที่: 7 สิงหาคม 2549 เวลา:8:05:42 น.  

 
น่าติดตาม และน่าคาดการณ์เป็นอย่างยิ่งครับ
เมื่อก่อนคนทั่วไปมักจะพูดว่า พรรค ปชป. เป็นพรรค สะตอ เพราะว่า หัวหน้าพรรคเป็น นายชวนนายชวนเป้นคนใต้ ครานี้เป็นนาย มาร์ค ซึ่งเป็นคน กทม. มิได้มีเชื้อใต้แต่อย่างใด ถ้ากวาดยกภาคได้ อีก ก็จะได้ลบคำว่า เลือกเพราะหัวหน้าพรรคเป็นคนใต้ซ่ะที



โดย: merf1970 วันที่: 7 สิงหาคม 2549 เวลา:16:43:21 น.  

 
ก็อยากจะรู้เหมือนกันนะว่า...จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง


โดย: Nano (LittleLady ) วันที่: 8 สิงหาคม 2549 เวลา:22:04:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Nutty Professor
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Madagascar : The Island of Opportunity
[Add Nutty Professor's blog to your web]