Movie Review by negima
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
10 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

New York, I Love You – “เมืองวุ่นรัก คนวุ่นวาย 10 ผลงานละเมียดอารมณ์ชิ้นล่าสุดต่อจากParis je t’aime"




[บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของภาพยนตร์]



New York, I Love You เป็นการรวมดาราแถวหน้าของฮอลลีวูดทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่มาไว้ในหนังเรื่องเดียวกันพร้อมการนำเสนอเรื่องราวต่างๆของ “เมืองรัก” ตามรอย Paris je t’aime โดยผู้อำนวยการสร้างคนเดียวกัน เพียงเปลี่ยนฉากหลังจาก ปารีส ประเทศฝรั่งเศส มาเป็นนิวยอร์ก เมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาแทน โดยมี 10 เรื่องสั้นที่นำเสนอมุมมองความรักอันหลากหลาย ที่กระจายอยู่ทั่วมหานครอันแสนวุ่นวายแห่งนี้ ผ่านฝีมือของผู้กำกับ 10 คนจากหลายสัญชาติ ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ทำให้ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ในระดับที่สูงพอสมควร และผลที่ได้ก็คือเรื่องราวที่บางตอนละเมียดอารมณ์จนอิ่มเอม บางตอนชวนหัวจนอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ บางตอนเข้าใจได้ง่าย บางตอนต้องตีความกันไป ซึ่งโดยภาพรวมแล้วถือว่าทำออกมาได้น่าพอใจครับ แม้จะไม่ได้ถึงขั้น “ยอดเยี่ยม” สะทีเดียว แต่ก็มีบางส่วนของหนังที่ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่ว่าจะเป็นส่วนของการลำดับเรื่องราวที่ดูไหลลื่น การถ่ายทอดบรรยากาศต่างๆ บวกกับการแสดงของเหล่านักแสดงในเรื่องที่งัดเสน่ห์และความสามารถกันออกมาแบบไม่มีใครยอมกันเลยทีเดียว



เนื่องจากหนังมีถึง 10 เรื่องสั้น จึงขอแยกเขียนเป็นเรื่องๆนะครับ เพื่อจะได้เห็นภาพรวมของแต่ละเรื่องชัดเจนขึ้น


เริ่มจากฉากเปิดเรื่องที่ชายสองคนบังเอิญขึ้นแท็กซี่คันเดียวกันในชั่วโมงเร่งด่วนก่อนที่จะพบว่าสถานที่ที่พวกเขาจะไปก็อยู่ในเส้นทางเดียวกัน ตามมาด้วยการสนทนาโต้เถียงถึงการใช้เส้นทางที่ดีที่สุด และจบลงที่ทั้งคู่ถูกคนขับรถแท็กซี่คันดังกล่าวไล่ลงจากรถ …..


....................





เรื่องที่ 1

Chinatown – เจียงเหวิน

หนุ่มนักล้วงกระเป๋า (เฮย์เด็น คริสเทนเซ่น) พบภาพถ่ายของสาวสวยคนหนึ่ง (ราเชล บิลสัน) ในกระเป๋าสตางค์ที่เขาขโมยมา และในไม่ช้า เขาก็พบว่าตัวเองต้องต่อสู้กับชายอีกคน (แอนดี้ การ์เซีย) เพื่อแย่งชิงหัวใจของหญิงสาวคนนั้น

เรื่องราวในตอนนี้เปิดฉากด้วยการแสดงในเห็นถึงสภาพแวดล้อมของเมืองอันแสนวุ่นวายที่บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมา ทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำ จนไม่ได้สังเกตถึงคนรอบกาย ผิดกันกับหนุ่มนักล้วงกระเป๋าคนนี้ที่คอยเฝ้ามองชีวิตของคนอื่นบนถนนแห่งนี้เพื่อหาจังหวะเผลอของชีวิตผู้อื่นขโมยของมีค่ามาเป็นของตน ซึ่งหนังก็ไม่ได้บอกถึงเหตุผลว่าที่หนุ่มคนนี้ทำไปนั่นเพื่อประทังชีวิตตนเอง หรือ เพียงเพราะความรู้สึกสนุกเท่านั้น แต่จะด้วยอะไรก็ตามการล้วงครั้งล่าสุดของเขา กลับนำมาซึ่งปัญหาที่เขาต้องโดนลูบคมครั้งใหญ่

ส่วนที่ดีที่สุดของตอนนี้ก็คือฉากที่ตัวละครชายทั้งสองชิงไหว ชิงพริบ ทั้งในบนสนทนา และ การโชว์ความสามรถในการ “ล้วง” โต้ตอบกันชนิดไม่ยอมกันง่ายๆ เพื่อให้หญิงสาวตรงหน้าประทับใจ ซึ่งหนังทำตรงนี้ออกมาได้สนุกพอสมควรครับ

สุดท้ายแม้ชายหนุ่มนักล้วงจะเก่งในเรื่องของการขโมยสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ผลที่ออกมาก็คือกลับเป็นเขาเองที่ถูกหญิงสาวขโมยสิ่งมีค่าที่สุดในตัวไป นั่นก็คือ “หัวใจ” ของเขาเอง

นักแสดงทั้ง “เฮย์เด็น คริสเทนเซ่น” และ “แอนดี้ การ์เซีย” ทำได้ดีไม่แพ้กันครับ ยิ่งฉากชิงไหว ชิงพริบนี่ลุ้นตามพี่แกทั้งสองเลยจริงๆ ส่วนสาว “ราเชล บิลสัน” ถือว่าบทของเธอในเรื่องไม่ต้องแสดงอะไรมากครับ เรียกว่ามานั่งสวยอย่างเดียวเลยจริงๆ

(“เฮย์เด็น คริสเทนเซ่น” และ “ราเชล บิลสัน” ทั้งคู่เคยแสดงร่วมกันมาแล้วใน Jumper (2008))





เรื่องที่ 2

The Diamond District – มิรา แนร์

พ่อค้าเพชรชาวอินเดีย (ไอร์ฟาน ข่าน) และว่าที่เจ้าสาวคนหนึ่ง (นาตาลี พอร์ทแมน) ได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษระหว่างการเจรจาซื้อขายเพชรเม็ดงาม เขานับถือศาสนาเชน ส่วนเธอนับถือศาสนายิว ทว่าความแตกต่างกลับสร้างช่วงเวลาที่น่าประทับใจ จนกลายเป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง

สิ่งที่ดูโดดเด่นในตอนนี้ก็คือบนสนทนาของตัวละครทั้งคู่ครับ ที่โต้ตอบไปมาถึงความแตกต่างด้านศาสนา โดยที่ค่อยๆเปิดเผยตัวตนของทั้งคู่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว

คนเราถ้ารักกันแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะนับถือศาสนาอะไร เราก็พร้อมที่จะก้าวเข้าไปแม้จะต้องปรับตัวบ้าง ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง แต่นั่นมันก็คุ้มค่าแล้วเพื่อการใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก ไม่ว่าสิ่งที่รออยู่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ก็ตาม แต่แค่เราเชื่อมั่นในสิ่งที่เรารักและเลือก แค่นั้นมันก็พอแล้วที่จะออกไปเผชิญกับสิ่งที่รออยู่

นักแสดง “นาตาลี พอร์ทแมน” เธอกลับมาร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างชุดนี้อีกครั้ง หลังจากผลงานชิ้นก่อน Paris je t’aime และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เธอยังรักษาการแสดงได้ดีตามมาตรฐานครับ

(ลองคิดเล่นๆ ถ้าตอนนี้เปลี่ยนเอา “เฮย์เด็น คริสเทนเซ่น” มาเล่นในบทของ “ไอร์ฟาน ข่าน” เราอาจจะได้เห็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ กับ เจ้าหญิง แพดเม่ อมิดาลา จากหนัง Star Wars มาเข้าฉากในยุคปัจจุบันก็ได้)




เรื่องที่ 3

The Upper West Side - ชุนจิ อิวาอิ

นักดนตรีหนุ่มคนหนึ่ง (ออร์แลนโด บลูม) หมกตัวเองอยู่ในอพาร์ทเมนท์ เพื่อทำดนตรีประกอบให้ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องหนึ่ง เขาติดต่อกับโลกภายนอกด้วยโทรศัพท์มือถือและอีเมลผ่านทางหญิงสาวลึกลับ (คริสติน่า ริชชี่) ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ เมื่อเธอฝากข้อความไว้ว่าเขาต้องอ่านนิยายสองเรื่องของดอสโตเยฟสกี เพื่อทำความเข้าใจงานสร้างสรรค์ชิ้นนี้ ชายหนุ่มจึงทำตามคำร้องขอ จนกระทั่งหญิงสาวมาปรากฏกายที่หน้าประตูห้องพักของเขา

เรื่องราวในตอนนี้เป็น 1 ใน 3 ตอนที่ส่วนตัวแล้วชอบมากที่สุดครับ ด้วยการดำเนินเรื่องที่เรียบๆ แฝงลูกเล่นเล็กๆน้อยๆ และปิดท้ายให้ผู้ชมคิดกันต่อไป


ความรักที่ตอนนี้สะท้อนออกมาก็คือความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันครับ โลกที่เราสามารถรักใครสักคนได้ โดยไม่เคยเห็นหน้ากัน อย่างตัวละครนักดนตรีหนุ่ม เค้าไม่เคยเห็นหน้าของสาวที่คอยช่วยเหลือเขาเลยสักครั้ง แต่เขาก็ยังรู้สึกดีๆกับเธอ เพราะเธอคอยอยู่ข้างๆ และให้กำลังใจยามที่เขาท้อแท้อยู่เสมอ แม้ไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกดีๆจะเกิดขึ้นไม่ได้ ด้านฝ่ายหญิงสาวเธอมักจะเลี่ยงไม่ให้ฝ่ายชายเห็นหน้าทุกครั้งที่ชายหนุ่มขอดูภาพผ่านทาง MMS พร้อมไม่เคยตอบตกลงนัดกินข้าวที่ฝ่ายชายชวนเลยสักครั้ง เธอแสดงความห่วงใย และคอยช่วยเหลือฝ่ายชายอยู่ตลอดเวลาผ่านทางโทรศัพท์ โดยไม่ต้องการเผยตัวตนให้เขาได้รู้ เพราะเธอมีความสุขพอแล้วในสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จนกระทั้งเธอโผล่มาหาชายหนุ่มโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ด้วยเหตุผลบางประการ

ตอนนี้ได้ผู้กำกับ “ชุนจิ อิวาอิ” จาก Love Letter , April’s Story และ Hana and Alice มากำกับ ครับ ส่วนนักแสดงสาว “คริสติน่า ริชชี่” ผู้ชมจะได้เห็นหน้าเธอเพียงแวปเดียวในฉากจบของตอนนี้ แบบเดียวกับที่พระเอกในเรื่องของเราได้เห็น ซึ่งตรงนี้เราจะเข้าใจถึงอารมณ์ของตัวละครนักดนตรีหนุ่มได้ในทันที อารมณ์ของคนที่มืดแปดด้านไม่รู้จะหันไปพึ่งใครและเมื่อเปิดประตูมาพบความช่วยเหลือที่มาพร้อมรอยยิ้มของคนที่เขาเฝ้าคิดถึงตลอดมา







เรื่องที่ 4

Soho - อีวอง อัตตาล

ผู้กำกับ “อีวอง อัตตาล” แบ่งเรื่องราวของตัวเองเป็น 2 เรื่องครับใน New York, I Love You

1.กลางดึกของคืนหนึ่ง หนุ่มนักเขียน (อีธาน ฮอว์ค) หว่านเสน่ห์ใส่สาวสวยสะท้านทรวงคนหนึ่ง (แม็กกี้ คิว) ที่หน้าภัตตาคารย่านโซโหหลังทั้งคู่ออกมายืนสูบบุหรี่ด้านหน้าร้าน และมารู้ภายหลังว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ใครจะมาเกี้ยวพาราสีได้โดยง่าย

เรื่องของชายหนุ่มที่ทำทุกวิถีทางที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้หญิงที่เขาเผอิญเจอกัน และไม่อยากให้นี่เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญธรรมดา “การเริ่มต้น” เริ่มจากชายหนุ่มยื่นไฟแช็คให้แก่หญิงสาวที่กำลังต้องการไฟต่อบุหรี่ และถ้าเขาไม่เริ่มพูดอะไรสักอย่าง การพบเจอของเขาและเธอคงจบลงที่เมื่อจุดไฟให้แล้วก็กล่าวขอบคุณและจากกันไปทางใครทางมัน ทั้งที่เหตุการณ์นี้ควรจะมีอะไรที่มากกว่านั้นได้ ถ้าเรารู้จักเริ่มต้นก่อน

สิ่งที่น่าจดจำที่สุดไม่ใช่ความสวยของสาว “แม็กกี้ คิว” ครับ แต่ตกเป็นของพระเอกหนุ่ม “อีธาน ฮอว์ค” ที่โชว์ความสามารถในการ เดินพร่ำบทสนทนาคนเดียวเพื่อจีบสาวเจ้านานถึง เกือบ 2 นาที พร้อมหว่านเสห่ห์ไปพร้อมๆกัน ซึ่งทำให้นึกย้อนไปถึงบทของฮอว์ค ในหนังเก่าๆของเขาเองอย่าง Before Sunrise (1995) และ Before Sunset (2004) สะจริงๆ ดูแล้วอยากจะเห็นฮอว์คกลับมาเล่นหนังแนวโรแมนติกเต็มรูปแบบอีกไวๆครับ

2.กลางดึกของคืนหนึ่ง ชายและหญิงเกิดต้องตาต้องใจกันระหว่างออกมาสูบบุหรี่นอกร้านอาหาร ครั้งนี้ ผู้หญิง (โรบิน ไรท์ เพนน์) เป็นฝ่ายจีบผู้ชายก่อน และฝ่ายชาย (คริส คูเปอร์) ก็มีทีท่าสนใจเธอเช่นกัน แต่เมื่อทั้งคู่กลับมายังโต๊ะของตัวเองในร้าน ความลับที่พวกเขาปิดบังเอาไว้ก็ถูกเปิดเผย

ทั้ง 2 เรื่องนี้มีความเหมือนกันตรงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์แบบเดียวกันคือ หน้าร้านอาหาร และเป็นไปในแนวทางเดียวกันคือการเริ่มต้นพูดของตัวละครตัวหนึ่ง และฉากจบที่เซอร์ไพรส์ความรู้สึกผู้ชมในระดับหนึ่งครับ

บางที “คนแปลกหน้า” ที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิตเรา อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่เราคิด แต่เป็นเรื่องที่ฟ้ากำหนดมาก็ได้ ซึ่งนั่นเราจะไม่มีวันได้รู้ถ้าเราปล่อยให้เขาหรือเธอ คนนั้นผ่านไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง ส่วนสำหรับบางคนที่ได้เจอคนที่ใช่แล้ว แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นคนแปลกหน้าเวลาอยู่ด้วยกัน ไม่ยอมที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กับอีกฝ่ายได้เห็น นั่นก็อาจจะทำให้ชีวิตคู่ไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นบางครั้งการลองสวมบทแกล้งเป็นคนแปลกหน้าเข้าหากัน ก็อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะเผยตัวตนที่เก็บไว้ให้เขาคนนั้นได้เห็นและปรับความเข้าใจกัน





เรื่องที่ 5

Central Park - เบร็ท แรทเนอร์

เมื่อเภสัชกร (เจมส์ คาน) แนะนำให้หนุ่มน้อยอกหัก (แอนตัน เยลชิน ) พาลูกสาวคนสวยของเขา (โอลิเวีย เธิร์ลบี) ไปร่วมงานพร็อม เจ้าหนุ่มจึงไปคอยหญิงสาวอยู่ในเซ็นทรัล พาร์ค และต้องเซอร์ไพรส์เมื่อพบว่าเธอนั่งอยู่ในรถเข็นคนพิการ แต่เขาก็พาเธอไปงานจนได้ เมื่อถึงเวลากลับบ้าน พวกเขาต้องเดินผ่านเซ็นทรัล พาร์คอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันจะเปลี่ยนชีวิตของหนุ่มน้อยคนนี้ไปตลอดกาล

ตอนนี้ก็เป็น 1 ใน 3 ตอนของเรื่องที่ผมชอบมากที่สุด หรือ จะเรียกว่าชอบที่สุดใน New York, I Love You เลยก็คงไม่ผิดครับ ผู้กำกับ “เบร็ท แรทเนอร์” สร้างสรรค์มุกตลก และ การดำเนินเรื่องที่ลงตัวอย่างที่สุด รวมไปถึงการคัดเลือกนักแสดงทั้งสองที่ฉายแววอย่างสุดขีดจากบทเด่นทั้งสอง โดยฝ่ายชาย “แอนตัน เยลชิน” ดาวรุ่งพุ่งแรงที่ปีนี้มาแรงกับหนังฟอม์รยักษ์อย่าง Star Trek (2009) และ Terminator Salvation (2009) ในบทชายหนุ่มใส ๆซื่อ ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงสาว “โอลิเวีย เธิร์ลบี” ที่ดูเป็นตัวละครหญิงที่สดใสที่สุดจากทั้งหมด 10 เรื่องใน New York, I Love You เลยทีเดียว และที่สำคัญในตอนนี้ยังได้สาว “เบล็ค ไลฟ์ลี่” ควิสเอสจากซี่รี่ย์สาวแสบ "Gossip Girl" มาสร้างสีสันในบทแฟนเก่าของพระเอกอีกด้วย แม้จะโผล่มาเพียงฉากเดียวแต่ก็ขโมยซีนเลยทีเดียวครับ

ความรักในตอนนี้เหมือนเป็นดั่งบททดสอบของตัวละครเด็กหนุ่ม ที่มาได้คู่ไปงานพร็อม เป็นสาวที่นั่งอยู่ในรถเข็นคนพิการ ครั้งแรกที่ทั้งคู่พบกัน แววตาของฝ่ายชายแฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอมาพร้อมกับรถเข็น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ปริปากพูดสักคำ ทั้งคู่ไปงานพร็อมด้วยกันทั้งเต้นรำ และ ทำอะไรด้วยกัน โดยที่ฝ่ายชายไม่มีท่าทีรังเกียจ จนกระทั้งมาถึงฉากจบสุดน่ารักที่เซอร์ไพรส์ผู้ชมและตัวละครเด็กหนุ่มไปพร้อมๆกัน





เรื่องที่ 6

Greenwich Village - อัลเลน ฮิวส์

หนุ่มสาวคู่หนึ่ง (แบรดลีย์ คูเปอร์ และ ดรีอา เดอ มัทเทโอ) ต่างเร่งรุดไปหากัน คนหนึ่งวิ่งไป อีกคนไปทางรถไฟใต้ดิน เพื่อยืนยันให้อีกฝ่ายเห็นว่าค่ำคืนที่ผ่านมามีความหมายต่อชีวิตของพวกเขาเพียงใด ก่อนที่พวกเขาจะพบกันเป็นครั้งที่สอง

ในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นตอนที่ออกแนวมืดมัวและอาศัยการตัดภาพที่ดูยุ่งเหยิงที่สุดครับ หนังเล่าเรื่องโดยผ่านความนึกคิดของตัวละครทั้งคู่ ทั้งสองต่างพูดถึงแต่ความกังวลที่อยู่ในใจในการมาพบกันครั้งนี้ ทั้งๆที่ต่างฝ่ายยังไม่แน่ใจเลยว่าจะได้เจอกันหรือไม่ จนกระทั้งทั้งคู่มาถึงที่ที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก

ในส่วนของฉากจบของตอนนี้ ตัวหนังฉลาดในการไม่ต้องใส่บทสนทนาลงไปเลย เมื่อชายหนุ่มกับหญิงสาวสองคนนี้เจอกัน และเลือกที่จะให้ภาพเพียงภาพเดียวแสดงแทนความรู้สึกทั้งหมดที่ตัวละครทั้งคู่พร่ำบอกกับตัวเองทั้งแต่ตอนต้น

นักแสดงหนุ่ม “แบรดลีย์ คูเปอร์” เพิ่งผ่านงานแนวรักอย่าง He's Just Not That Into You มาเมื่อต้นปี ตามมาด้วยหนังสุดฮาอย่าง The Hangover และผลงานอีกสารพัดที่เข็นออกมาในช่วงนี้ จัดได้ว่าเป็นดาราคิวทองอีกคนในตอนนี้ก็คงจะว่าได้ และพี่แกก็ดูจะเหมาะกับบทในหนังแนวนี้สะด้วยสิ



เรื่องที่ 7

The Upper East Side - เชคาร์ กาปูร์

อดีตนักร้องโอเปร่า(จูลี่ คริสตี้) เข้าพักในโรงแรมสุดโปรด เพียงเพื่อมาดื่มแชมเปญกับเด็กรับใช้ของเธอ (ไชอา ลาบัฟ ) ทันใดนั้น เมื่อมองผ่านไปยังผ้าม่านหน้าต่างบานหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ทว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือแค่ภาพลวงตา

ตอนนี้จัดได้ว่ามีอารมณ์แตกต่างกับตอนอื่นๆที่สุดครับ หนังให้อารมณ์เศร้าๆ เหงาๆ คล้ายโลกที่ความฝัน กับ ความจริงปะปนกัน ซึ่งดูแล้วต้องไปนั่งตีความกันต่อเองครับ และถ้าไม่นับความ “งง” ที่เกิดขึ้นหลังดูจบแล้ว สิ่งที่ถือว่าน่าจดจำในตอนนี้นอกจากบรรยากาศอึนๆแล้ว ก็คือ การแสดงของพระเอกหนุ่ม “ไชอา ลาบัฟ” ที่พลิกมาดพระเอกหนังหุ่นยนต์ถล่มโลกและลูกชายของอินดี้ ได้แทบจะหมดไปเลยจริงๆ ทั้งสำเนียงการพูด และ การเดิน ที่เจ้าตัวซ้อมฝึกเต็มที่เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ แววตา และ สีหน้าของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเศร้า นับเป็นการเผยการแสดงอีกด้านของพระเอกหนุ่มคนนี้ให้ผู้ชมได้เห็นครับ และเขาก็ทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ



เรื่องที่ 8

Central Park - นาตาลี พอร์ทแมน

ยามบ่ายอันสดใสที่ลานน้ำพุในเซ็นทรัล พาร์ค เด็กหญิงผิวขาว (เทย์เลอร์ เกียร์) นั่งเล่นอยู่กับพี่เลี้ยงชายผิวดำ (คาร์ลอส อาคอสต้า) แต่เมื่อเวลาแห่งความสุขหมดลง และชายหนุ่มพาหนูน้อยไปส่งคืนแม่ของเธอ ความจริงบางอย่างจึงเผยตัวออกมา

ดาราสาว “นาตาลี พอร์ทแมน” นอกจากจะร่วมแสดงแล้ว ยังโชว์ฝีมือการกำกับครั้งแรกในตอนนี้อีกด้วยครับ แม้เนื้อเรื่องจะพอคาดเดาได้ง่าย แต่ในส่วนของอารมณ์ที่หนังสื่อแล้วก็ถือว่าสื่อออกมาตรงๆดีครับ เป็นเรื่องของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และไม่หวังอะไรตอบแทนอย่างแท้จริง



เรื่องที่ 9

Chinatown - ฟาตีห์ อาคิน

เมื่อศิลปินคนหนึ่ง (ยูเกอร์ ยูเซล) ได้พบหญิงสาวชาวจีน (ซูฉี) ผู้ทำงานในร้านขายชา เขาเกิดแรงบันดาลใจอย่างมาก จนต้องร้องขอให้เธอมาเป็นแบบให้เขาวาดภาพ แต่เธอปฏิเสธ จนเมื่อโชคชะตาผันแปร ศิลปินล้มป่วยลง หญิงสาวจึงได้เห็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา

ศิลปินหนุ่มรุ่นใหญ่คนนี้ไม่สามารถสลัดภาพของผู้หญิงชาวจีนคนนี้ได้ เขาทำทีท่าเข้าไปในร้านชาและซื้อมันบ่อยๆไม่ใช่เพราะเขาชอบมัน แต่เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับสาวในฝันของเขาเสียมากกว่า หลังกลับมาถึงห้องเขาจะวาดภาพหญิงสาวคนนี้ทุกครั้ง จนสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเอ่ยปากพูดคุยกับเธอครั้งแรก ในการชวนเธอมาเป็นแบบให้เขา

สิ่งที่ตอนนี้แฝงไว้ก็คงจะเป็นเรื่องของ “รักที่ไม่กล้าเอ่ย” และ “ความรักที่มาช้าเกินไป” ครับ สุดท้ายแล้วแม้หญิงสาวจะไม่สามารถมาเติมเต็มชีวิตของศิลปินหนุ่มใหญ่รายนี้ได้ แต่เธอก็ได้เติมเต็มความฝันของศิลปินหนุ่มในผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา



เรื่องที่ 10

Brighton Beach - โจชัว มาร์สตัน

คู่หญิงชายวัยไม้ใกล้ฝั่ง (อีไล วอลแลช และ คลอริส ลีชแมน ) เดินทอดน่องช้า ๆ ไปตามทางเท้าของบรู๊คลิน เพื่อซึมซับบรรยากาศ และรำลึกถึงช่วงเวลาอันหอมหวานแห่งความรัก

ตอนนี้นอกจากจะเป็นตอนสุดท้ายของหนังแล้ว ยังเป็นตอนที่สุดท้ายใน 3 ตอนที่ส่วนตัวผู้เขียนชอบมากที่สุดด้วย ด้วยองค์ประกอบที่ไม่ต้องใช้อะไรมาก นอกจากตัวละครชายหญิงชราคู่หนึ่ง บวกกับบทสนทนาที่ไหลลื่นเป็นธรรมชาติ มุกตลกชวนอมยิ้ม และการแสดงของนักแสดงรุ่นเก๋าทั้งคู่ที่เอาคนดูอยู่หมัดทีเดียว

โดยใน New York, I Love You นั้น จะมีตัวละครร่วมอยู่ตัวหนึ่งก็คือตากล้องสาวที่รับบทโดย “เอมิลี่ โอฮาน่า” เป็นตัวเชื่อมตัวละครต่างๆในเรื่องครับ และเป็นตัวละครที่ทำให้เกิดฉากจบของเรื่องขึ้น



เมื่อดูจบแล้วย้อนกลับไปที่ฉากเปิดเรื่องที่ชายสองคนบังเอิญขึ้นแท็กซี่คนเดียวกัน ตอนนี้ผู้ชมจะรู้แล้วว่าคนหนึ่งก็คือ ตัวละครของ "แบรดลีย์ คูเปอร์” กับ อีกคนก็คือตัวละครหนุ่มที่หนังเผยให้เราเห็นในช่วงกลางเรื่องว่าเขากำลังมีปัญหากับแฟนสาวอยู่เพียงเท่านั้น ซึ่งตรงนี้หนังอาจจะต้องการสื่อว่าบางทีทุกๆคนที่เราเจอในแต่ละวันนั่นล้วนมีจุดเชื่อมโยงเล็กๆกันอยู่ครับ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเมืองเล็กๆที่มีประชากรน้อยๆถึงจะให้ทุกคนมีจุดเชื่อมโยงกันได้ แต่แม้ในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ที่ประชากรสุดจะหนาแน่น ก็ล้วนมีความเป็นไปได้เช่นกัน

สุดท้ายแล้ว New York, I Love You จัดเป็นหนังโรแมนติกที่อาศัยเรื่องราวความหฤหรรษ์ของ “ความรัก” และ “เสน่ห์ของเมืองนิวยอร์ก” มาผสมกันได้อย่างค่อนข้างลงตัวครับ เหมาะแก่คนที่อยากพาตัวเองไปลองสัมผัสกับหลายแง่มุมรักที่แฝงอยู่ในเมืองแห่งนี้ และเมื่อดูจบคุณอาจจะพบแง่มุมความรักที่คุณเคยมองข้ามไปก็ได้ครับ




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2552
15 comments
Last Update : 11 ตุลาคม 2552 13:43:45 น.
Counter : 3525 Pageviews.

 

คล้าย กับ Love Actually-2003 เลยเปล่าค่ะ มีหลายเรื่อง

 

โดย: Kiky IP: 210.213.11.46 10 ตุลาคม 2552 17:24:54 น.  

 

ขอ สารภาพ บาป ว่า อ่านมะจบ 55+

เด่ว จากลับมาอ่านอีกรอบนะ ^^

เขียนดีเนอะ ชมๆ

 

โดย: Nuch IP: 58.8.14.54 12 ตุลาคม 2552 0:25:29 น.  

 

ไม่ชอบ Paris je t’aime เลย

แต่ครั้งนี้จะลองฝืนดูอีกสักครั้ง

เพราะนิวยอร์กมันคงให้อารมณ์ที่น่าประทับใจหน่อย

 

โดย: Mr.Chanpanakrit 12 ตุลาคม 2552 21:40:21 น.  

 

บอกตามตรงว่าไม่ได้ติดใจ Paris je t’aime เท่าไหร่นัก แต่กับ New York, I Love You ส่วนตัวคิดว่าอารมณ์มันง่ายต่อการเข้าถึงมากกว่า และ ลงตัวกว่าในหลายแง่ครับ ^^

ที่สำคัญ ดาราในเรื่องใหม่นี้กินขาดนะผมว่า อิๆ

 

โดย: negima_xx 12 ตุลาคม 2552 22:22:44 น.  

 

อ่านแล้วยิ่งเพิ่งตัณหาความอยากดู
แต่เสียดายคงไม่มีโอกาส
ออร์แลนโด บลูม แอบหล่อนะคะ
อยากไป New York เลย

 

โดย: Nicha_Nadia IP: 117.47.4.223 17 ตุลาคม 2552 15:11:32 น.  

 

น่าสนใจมากเลย
จะไปดูหนังเรื่องนี้ให้ได้คะ ^^*

 

โดย: MikiJunG IP: 115.87.84.12 19 ตุลาคม 2552 22:30:30 น.  

 

2.กลางดึกของคืนหนึ่ง ชายและหญิงเกิดต้องตาต้องใจกันระหว่างออกมาสูบบุหรี่นอกร้านอาหาร ครั้งนี้ ผู้หญิง (โรบิน ไรท์ เพนน์) เป็นฝ่ายจีบผู้ชายก่อน และฝ่ายชาย (คริส คูเปอร์) ก็มีทีท่าสนใจเธอเช่นกัน แต่เมื่อทั้งคู่กลับมายังโต๊ะของตัวเองในร้าน ความลับที่พวกเขาปิดบังเอาไว้ก็ถูกเปิดเผย


ช่วยเล่าถึงตอนนี้ให้ฟังหน่อยได้มั๊ยคะ?
ที่ตอนสุดท้ายความลับเปิดเผยอะไร
พอดีเราไปห้องน้ำพอดีเลยอะค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

โดย: พิม IP: 124.120.247.48 24 ตุลาคม 2552 21:01:48 น.  

 

^
^
^

***สปอย์ตอบจ้า***

ในตอนจบของตอนนี้ คือ พอถาพตัดเข้ามาในร้านอาหารที่ทั้งคู่ยืนคุยกัน คือความจริงที่ว่า ทั้ง 2 คนนี้เป็นสามีภรรยากันจริงๆครับ แต่ทั้งคู่ไม่ค่อยได้เปิดใจคุยกันอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ดูเหมือนไม่ค่อยมีความสุข แต่การที่ได้ออกไปคุยกันอย่างคนแปลกหน้าที่หน้าร้าน กลับทำให้ทั้งคู่เริ่มที่จะมองเห็นด้านที่ซ่อนไว้ของอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนจะจบที่ภาพทั้งคู่พูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุขที่สุดโดยไม่แคร์สายตาใดๆในร้านอาหาร


จบแล้วครับ^^









 

โดย: negima_xx 24 ตุลาคม 2552 22:21:38 น.  

 

โหหหหห
พอรู้ตอนจบรู้สึก....ว๊าววว

55 ขอบคุณนะคะ

 

โดย: พิม IP: 115.87.77.97 25 ตุลาคม 2552 21:51:25 น.  

 

มีคำถามอีกอย่างหนึ่งค่ะ รบกวนหน่อยนะคะ

เรื่องที่ 7

The Upper East Side - เชคาร์ กาปูร์

ทำไม ถึงคิดว่า ไชอา เป็น เด็กรับใช้อะค่ะ?
เพราะตอนเราดูเรานึกว่าเป็น เด็กยกกระเป๋าของโรงแรมนี้ซะอีก

ขอบคุณค่ะ ^^

 

โดย: พิม IP: 124.122.173.107 28 ตุลาคม 2552 21:15:34 น.  

 

อืม ตอนนี้ ส่วนตัวก็ออกจะยังคง งง ๆ อยู่นะครับ โดยเฉพาะกับประโยคที่ ไชอา พูดกับ ผู้หญิงคนนั้นก่อนที่จะตัดสินใจทำอย่างที่เราเห็นในหนัง (ประโยคนั้น ถ้าจำไม่ผิด ไชลา พูดว่า "คุณทนอยู่ได้ยังไงกัน")

ส่วนเรื่อง เด็กรับใช้ เพราะเหตุจากเรื่องย่อหนังระบุว่าเช่นนั้นครับ แต่ภาพในหนังจริงๆ ดูเหมือนจะเป้น พนง.โรงแรมสะมากกว่า เหอ ๆ

 

โดย: negima_xx 29 ตุลาคม 2552 21:02:54 น.  

 

ดู Paris, Je t'aime สี่ห้ารอบแล้ว บ้างเรื่องก็ไม่ชอบ NewYork,I Love U ยังไม่ได้ดูอยากดูมาก มีเรื่องหนึ่ง ที่ คล้ายตัวเอง

 

โดย: ผัดไท ~ กวีไร้รัก IP: 115.67.63.63 1 พฤศจิกายน 2552 16:44:09 น.  

 

เรื่องชายผิวดำกะเด็กผิวขาวนี่
เขาเป็นพ่อลูกกันไม่ใช่หรอค่ะ
ในเมื่อตอนที่แม่มารับ
แม่เรียกผูชายที่มากับแม่ว่า "เอ็ด"
และตอนที่ผู้ชายผิวดำเต้นบนเวทีเสร็จ
เด็กผู้หญิงผิวขาวก็เรียก "แด๊ดดี้ แด๊ดดี้" นี่ค่ะ

(แอบงง)

 

โดย: บีซี่ IP: 161.200.255.162 8 พฤศจิกายน 2552 1:13:20 น.  

 

เรื่องชายผิวดำกะเด็กผิวขาวนี่
เขาเป็นพ่อลูกกันไม่ใช่หรอค่ะ
ในเมื่อตอนที่แม่มารับ
แม่เรียกผูชายที่มากับแม่ว่า "เอ็ด"
และตอนที่ผู้ชายผิวดำเต้นบนเวทีเสร็จ
เด็กผู้หญิงผิวขาวก็เรียก "แด๊ดดี้ แด๊ดดี้" นี่ค่ะ

(แอบงง)

 

โดย: บีซี่ IP: 161.200.255.162 8 พฤศจิกายน 2552 1:13:24 น.  

 

^
^
^

ใช่แล้วครับ ถึงบอกไปว่า สุดท้ายความจริงบางอย่างก็ถูกเผยออกมา เพราะหนังเหมือนจะหลอกคนดูในช่วงแรกๆ(อีกแล้ว) ว่า ชายผิวดำ เป็นพี่เลี้ยงของเด็กคนนี้ ^^

เป็นตอนที่ดูเข้าใจง่าย และ สื่อมาตรงๆ ดีครับ

 

โดย: negima_xx 8 พฤศจิกายน 2552 15:26:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


negima_xx
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




!#@# สวัสดีครับ กับทุกๆคนที่เข้ามาสู่ Blog นี้ของผม ขอให้สนุกกับการอ่านรีวิวภาพยนตร์ต่างๆนะครับ อาจจะมีถูกใจมั้ง ไม่ถูกใจมั้ง เพื่อนๆคนไหนคิดเห็นเหมือนกัน หรือแตกต่างกันตรงไหนก็บอกกล่าวกันได้ครับ ^^ #@#!