|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
|
|
|
|
|
|
|
Outlander - "ไซไฟ ไวกิ้ง ปะทะมังกร ที่เจ๋งทั้งแนวคิดและการผูกเรื่อง"
Outlander / ไวกิ้ง ปีศาจมังกรไฟ
คริสตศักราช 709 ประเทศนอร์เวย์ ยุคสมัยของชนเผ่าไวกิ้งที่กำลังเฟื่องฟูและเรืองอำนาจ ณ หมู่บ้านเฮร็อต ผู้คนในหมู่บ้านต่างไว้อาลัยให้กับการจากไปของ กษัตริย์เฮลก้า ซึ่ง วูล์ฟฟริค (Jack Huston) ทายาทผู้กระหายสงคราม แต่ยังขาดความชาญฉลาดในการปกครองคน ซึ่ง ฮร็อตการ์ (John Hurt) ผู้ปกครองของที่นี่ได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้ และพยายามให้ เฟร์ย่า (Sophia Myles) ลูกสาวแต่งงานกับวูล์ฟฟริคเพื่อที่จะให้เขาปกครองอาณาจักรและให้ลูกสาวได้ปกครองวูล์ฟฟริคไม่ให้ทำอะไรนอกลู่นอกทางอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ข้ามผ่านเส้นขอบฟ้าไปสู่ห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ก็มียานอวกาศลำหนึ่งตกลงมาในเขตเดียวกัน ซึ่งในซากของยาวอวกาศลำนั้น ก็มีผู้รอดชีวิตที่ชื่อว่า ไคแนน (James Caviezel) เขาเป็นนักรบจากต่างดาว และไม่ใช่เขาผู้เดียวที่โดยสารมากับยานลำนี้ ! มันก็ยังมีผู้โดยสารที่ไม่ได้รับเชิญอีกหนึ่งชีวิต มัวร์เวน คือสัตว์ประหลาดลักษณะคล้ายมังกรสุดกระหายเลือด และทรงพลัง ที่ได้ทำสงครามกับเผ่าพันธ์ของ ไคแนน มาอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเมื่อ มันได้หลุดออกมา มันก็ได้บุกทำลายล้างชนเผ่าไวกิ้งจนแทบหมดสิ้น ในที่สุด ไคแนน ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่วมมือกับชนเผ่า ไวกิ้งผู้กล้า ทำสงครามกับปีศาจร้ายตัวนั้นก่อนที่มันจะฆ่าทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ !
สิ่งแรกที่ต้องขอชมสำหรับ Outlander คือการนำเรื่องราวที่ไม่น่าจะเข้ากันได้อย่าง มนุษย์ต่างดาว ไวกิ้ง และ มังกรไฟ มาผสมผูกเหตุการณ์อยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้ คือแค่คิดเนี่ยก็สนุกแล้ว เพราะเนื้อหาแบบนี้ส่วนมากมักจะไปปรากฎในรูปแบบเกมส์เสียมากกว่า แต่นั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือ แนวคิด ที่น่าสนใจและมีความ แปลกใหม่ อยู่ในระดับหนึ่ง และก็จากการที่หนังเรื่องนี้มีความหลากหลายมาก มันจึงทำให้เราได้นึกถึงหนังเก่าๆหลายเรื่อง อาทิ ในส่วนของสัตว์ประหลาดที่ให้อารมณ์เหมือน Alien, Predator และ Godzilla รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศนอร์เวย์ และไวกิ้ง ทำให้นึกไปถึงตำนานของ Beowulf บุรุษผู้ทรงพลังที่ออกไล่ฆ่าสัตว์ประหลาด ซึ่งหลังจากได้ไปค้นประวัติของ Howard McCain ผู้กำกับหนังเรื่องนี้จึงทำให้รู้ว่า พี่แกเป็นคนที่ชื่นชอบเรื่องราวของ Beowulf เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ครั้งจะเขียนเป็นบทภาพยนตร์ก็ต้องการให้มีความแปลกใหม่ที่คนอื่นคาดไม่ถึง จึงได้หาแนวร่วมอีกคนคือนาย Dirk Blackman ที่ชื่นชอบเรื่องทำนองเดียวกันมาร่วมวงเสริมแต่งเรื่องราวโดยการใส่ความเป็นไซไฟ เทคโนโลยีขั้นสูงในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่รูปร่างเหมือนมนุษย์กับยานอวกาศ ใส่ความดิบเถื่อนในเรื่องของตำนานพวกไวกิ้ง และสัตว์ประหลาดมังกรไฟ (ที่ในเรื่องควรเรียกว่า เอเลี่ยน ถึงจะถูก) จนในที่สุดก็กลายมาเป็นภาพยนตร์แอกชั่นเรื่องนี้
Outlander ถือเป็นหนังฟอมร์ระดับกลางๆ แต่ถึงกระนั้นหนังก็ยังมีสเปเชี่ยวแอฟเฟ็กที่อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ขี้เหล่เท่าไรนัก ซึ่งสิ่งที่ทำออกมาได้ดีที่สุดก็คือในฉากที่ตัวละคร ไคแนน เล่าให้ เฟร์ย่า ฟังการล่าอาณานิคมของเผ่าพันธ์เขาที่ต้องทำลายล้างเผ่าพันธ์ของ มัวร์เวน เพียงเพื่อต้องการดาวของพวกมันมาสร้างอาณานิคมตนเอง ที่ทำออกมาได้น่าตื่นตาทีเดียว แม้จะน่าเสียดายที่ฉากที่ว่ามีเพียงไม่กี่นาที ในส่วนของ สัตว์ประหลาด ในเรื่องแม้ในช่วงแรกๆของหนังจะใช่เทกนิคสไตล์หนังเกรดบีประเภทสัตว์ประหลาดโผล่มาอาละวาดตอนกลางคืนที่ให้เราเห็นแบบ วับๆแวมๆ ไม่ชัดมาก แต่ในช่วงหลังของหลังผู้สร้างก็ได้มาเน้นการปรากฎตัวของสัตว์ประหลาดที่ชัดเจนขึ้น (แม้ในเรื่องจะบอกว่าเป็นมังกรไฟ หรือเอเลี่ยนเมื่อว่ากันตามจริงที่รูปร่างคล้าย Godzilla) และฉากที่คิดว่าทำออกมาได้ดีอีกฉากก็คือการวางกับดักจับ มัวร์เวน ที่ทำออกมาได้น่าติดตามและงานด้านภาพในช่วงนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะฉากที่ มัวร์เวน กระโดดออกจากเปลวเพลิงกลายเป็นมังกรไฟทำลายหมู่บ้าน รวมไปถึงฉากรังของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ที่ดูหลอน ลึกลับ แต่ก็ดึงดูดสายตาดีทีเดียว
ถึงจะบอกว่า แนวคิด เป็นสิ่งที่หนังเรื่องนี้ได้เปรียบและน่าชื่นชมที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บท จะดีตามไปด้วย เพราะในหนังยังมีช่องโหว่งหลายจุดนัก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง วูล์ฟฟริค เฟร์ย่า และ ไคแนน ที่ยังดูไร้ความลึกเท่าที่ควร หรือแม้กระทั่งฉากจบที่ ไคแนน ตัดสินใจทำลายเครื่องส่งสัญญาณ เพื่อที่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้ ที่ทำให้แอบคิดว่า ยานช่วยเหลือก็มาถึงโลกแล้วทำไมตัดใจจากไปโดยไม่ตรวจสอบอะไรเลย (พูดชัดๆก็คือ มาง่ายไปง่าย นั่นเอง) แต่หนังกลับสร้างปมการกระทำของเจ้าสัตว์ประหลาด มัวร์เวน ได้อย่างมีเหตุมีผล เพราะหนังสัตว์ประหลาดบางเรื่องมักจะเน้นแต่การสร้างเทกนิคจนลืมเรื่องของ แรงจูงใจ ไปสะส่วนใหญ่
ส่วนนักแสดงในเรื่องก็ถือว่าพอมีชื่อครับ เริ่มจาก James Caviezel ในบท ไคแนน ที่โด่งดังจากบทพระเยซูใน The Passion of the Christ (2004) ,Highwaymen (2003) หนังไล่ล่าคนขับรถโรคจิต และ Deja Vu (2006)หนังล่าทะลุเวลาทุนสูง ซึ่งใน Outlander ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่พี่แกได้เป็นดารานำแอกชั่นอย่างเต็มตัวครั้งแรกก็ว่าได้ ส่วนเรื่องการแสดงนั้นก็ถือว่าสอบผ่าน แม้จะดูเป็นแอกชั่นหน้าตายไปหน่อยก็ตาม อีกคนคือ Sophia Myles ในบท เฟร์ย่า ซึ่งหลายคนอาจจะคุ้นหน้าเธอจากซี่รี่ย์แวมไพร์ Moonlight , Tristan + Isolde (2006) หนังย้อนยุคที่ประกบดาราอย่าง James Franco และ หนังสงครามต่างพันธุ์เท่ๆอย่าง Underworld ทั้ง 2 ภาค ซึ่งเธอก็ดูเหมาะกับบทหญิงสาวที่เป็นทั้งนักรบและดูอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน และรุ่นใหญ่ John Hurt ในบท ฮร็อตการ์ ที่แม้บทจะไม่มากแต่ก็ถือว่าดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือกับบทผู้ปกครองเฮร็อตครับ
โดยรวมแล้ว Outlander เป็นหนังแอกชั่นที่มีความสดในด้านเนื้อหา แต่ก็มีการดำเนินเรื่องแบบสูตรสำเร็จไปหน่อย เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังสัตว์ประหลาดนิดๆ ไซไฟหน่อยๆ ที่มีฉากหลังแนวย้อนยุค ทั้งนี้ Outlander ถือเป็นหนังที่มีความพยายามของผู้สร้างในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆในวงการภาพยนตร์ ซึ่งแม้ผลลัพธ์ที่ได้มาอาจะไม่ได้ดั่งใจผู้ชมมากนัก แต่ก็ถือเป็นความบันเทิงในระดับที่น่าพอใจแล้ว ยิ่งเมื่อเทียบกับหนังฟอร์มเดียวกันเรื่องก่อนๆ
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 27 มิถุนายน 2552 12:31:14 น. |
Counter : 9717 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: bigluckyfx IP: 27.145.28.47 17 กุมภาพันธ์ 2566 19:37:20 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
!#@# สวัสดีครับ กับทุกๆคนที่เข้ามาสู่ Blog นี้ของผม ขอให้สนุกกับการอ่านรีวิวภาพยนตร์ต่างๆนะครับ อาจจะมีถูกใจมั้ง ไม่ถูกใจมั้ง เพื่อนๆคนไหนคิดเห็นเหมือนกัน หรือแตกต่างกันตรงไหนก็บอกกล่าวกันได้ครับ ^^ #@#!
|
|
| |
หายหน้าไปหมักส่วนผสมซะนานเลยค่ะ