"Yes Man" - ชีวิตเปลี่ยนได้เพียงปากตอบรับ และ ใจเปิดกว้าง
Yes Man / คนมันรุ่ง...เพราะมุ่งเซย์ เยส
คาร์ล อัลเลน ชายหนุ่มที่ชีวิตย่ำอยู่กับที่ กับการพูดแต่คำว่า ไม่ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เจอกับเพื่อนเก่าที่ชวนเขาเข้าร่วมกับโครงการช่วยเหลือด้วยตนเองโดยมีกติกาง่าย ๆ เพียงข้อเดียว คือการพูดว่า ได้ เพื่อตอบรับกับทุก ๆ เรื่อง และไม่ว่ากับอะไรก็ตาม การปลดปล่อยพลังของคำว่า ได้ เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตของคาร์ลไปในทางที่น่ามหัศจรรย์อย่างคาดไม่ถึง ทำให้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งงานและเปิดประตูหัวใจให้กับรักครั้งใหม่ แต่ความกระตือรือร้นของเขาในการที่จะรวบเอาทุก ๆ โอกาสไว้อาจจะกลายมาเป็นเรื่องดี ๆ ที่มากเกินไปก็ได้
หลังจากผลงานเรื่องก่อนๆไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ อาทิ The Number 23 (2007) , Fun with Dick and Jane (2005) หรือที่ดูดีขึ้นมาหน่อยคือการไปพากษ์เสียงตัวเอกใน Horton Hears a Who! (2008) หนังอนิเมชั่นแฝงข้อคิดของปีที่แล้ว และตอนนี้ Jim Carrey กลับมาพร้อมกับหนังใหม่ Yes man ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการหวนกับไปสู่บทบาทตลกโปกฮาในหนังที่น่าจดจำอย่าง ใน Liar Liar (1997) , Bruce Almighty (2003) เสียด้วย
และหากใครคิดว่าหมดยุคของหนังตลกหนุ่มอารมณ์ดีนายนี้แล้วก็อาจต้องคิดใหม่ เพราะ Yes man ถือเป็นหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่จัดว่าเข้าขั้น ดี เรื่องหนึ่งในระยะหลังๆของหนังแนวนี้เลยทีเดียว
ชีวิตของ คาร์ล เป็นลักษณะของของพวกที่ชอบปิดกั้นตนเองอย่างสุดโต่ง เขาไม่ตอบรับกับทุกๆเรื่องรอบตัว อาทิ ไม่รับสายจากเบอร์แปลกๆที่ไม่โชว์ชื่อ , ไม่รับใบปลิวข้างถนน , ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปงานสังสรรค์ของหมู่เพื่อนฝูง ,ปฏิเสธการอนุมัตจากบรรดาลูกค้าที่มากู้เงินโต๊ะเขา ตลอดจนเป็นคนที่ ไม่ แม้แต่จะเผชิญหน้ากับอดีตภรรยาของเขาเอง ชีวิตของเขามีความสุขจากการได้เช่าดีวีดีหนังจากร้านเช่ามาดูทุกค่ำคืน (ที่เห็นๆในเรื่องก็เรื่อง 300 กับ Saw) ทั้งยังต้องเผชิญกับความจำเจ ซ้ำซากที่ประดังเข้ามาในแต่ละวัน
จนกระทั้งวันหนึ่ง ที่เพื่อนเก่าของ คาร์ล ยื่นมือเข้ามาชักชวนเขาเข้าสู่โปรแกรมการอบรม ใช่ ก็คือไม่ในอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป โดยเขาได้ สัญญา กับตนเองว่าจะตอบรับกับทุกเรื่อง และเลิกพูดคำว่า ไม่ ตลอดระยะเวลาช่วงหนึ่ง แล้วเขาก็เริ่มจากการที่เขาเริ่มเปลี่ยนการตอบว่า ไม่ จนค่อยๆมาเป็น ใช่ ในที่สุด และจากการตอบรับอย่างไม่ค่อยแน่ใจในครั้งแรก ก็นำเขาได้พบกับ อัลลิสัน สาวสวยที่เป็นครูสอนการถ่ายรูปรูปขณะวิ่งจ็อกกิ้งยามเช้า และเป็นนักร้องในผับเล็กๆยามกลางคืน หญิงสาวที่ใช้ชีวิตต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง เธอเปิดรับสิ่งต่างๆรอบตัวและสนุกไปกับมัน นั่นเป็นจุดที่ทำให้ คาร์ล เริ่มสนใจในตัว อัลลิสัน มากเข้าไปอีก
หนังค่อยๆนำเสนอให้เราได้เห็นว่าหลังจากที่ คาร์ล เริ่มตอบ Yes กับทุกเรื่องตรงหน้าแล้ว ชีวิตของเขาก็ดีขึ้นทันตาเห็น ทั้งหน้าที่การงาน ,ความรักครั้งใหม่ ,เรียนขับเครื่องบิน เรียนดนตรี ฯลฯ ซึ่งทำให้ชีวิตของเขาดู มีสีสัน และ สดชื่น มากกว่าก่อน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอัลลิสันก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
ฉากต่างๆในเรื่องสามารถนำเสนอออกมาได้ค่อนข้างดี การถ่ายภาพต่างๆและดนตรีประกอบก็เพราะใช้ได้ทีเดียว อาทิเช่น ฉากที่ คาร์ล และ อัลลิสัน นั่งคุยกันที่เก้าอี้ในสวนหลังวิ่งจ็อกกิ้งเสร็จ ส่วนฉากฮาๆนั้นก็ทำออกมาได้ไม่เลว ต้องยกเครดิตให้กับ "Jim Carrey" ที่นำเสนอตัวละครตัวนี้ได้ออกมาบ้านิดๆ น่ารักหน่อยๆ มีเสน่ห์ และน่าเห็นใจไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะตลกทางการทำหน้าทำตา ถือเป็นการกลับมากับบทแนวนี้ที่ดีครับ ส่วน Zooey Deschanel นางเอกของเราก็เล่นได้สวยใส น่ารักครับ ดูเป็นธรรมชาติและเข้าขากับหนุ่ม Carrey อย่างสุดๆ จากที่เริ่มสะดุดตาเธอจากบทนางเอกในหนังหนีภัยลึกลับอย่าง The Happening (ที่ตั้งใจไปดูความหักมุม แต่ได้ความน่ารักของนางเอกมาแทน ^^) ได้ข่าวมาว่า นอกจากเป็นนักแสดงแล้วน้อง Zooey ยังเป็นนักร้องด้วย ฉะนั้นในฉากร้องเพลงเสียงเธอจึงดีจริงๆ เชื่อเลยครับว่าหลังดูหนังเรื่องนี้จบคงมีใครหลายคนหลงเสน่ย์สาวหน้าน่ารักคนนี้อย่างแน่นอน ดาราที่เด่นอีกคนก็คือ Rhys Darby ในบท นอร์แมน หัวหน้าและเพื่อนของคาร์ล ที่โผล่มาแต่ละทีก็มีฮาครับ
ส่วนตัวแล้วชอบเกือบทุกฉากในหนังเรื่องนี้ครับ อาทิ ฉาก คาร์ล ร้องเพลงช่วยคนที่กำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย , ฉากกินกระทิงแดง ,ฉากโรแมนติกบนเวทีแสดงดนตรียามค่ำคืน , ฉาก คาร์ล และ อัลลิสัน ไปเที่ยวด้วยกัน คือทุกอย่างล้วนดูเป็นไปในทางเดียวกัน และให้อารมณ์ ฟิวกู๊ด อย่างสุดๆครับ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าตัวหนังจะไม่มีเนื้อหาสาระเลย เพราะ ในช่วงท้ายหนังพยายามทำให้เห็นว่าหลังทุกคนรู้ความจริงว่าทุกอย่างที่ คาร์ล ตอบ Yes นั้นเกิดจากสัญญาในการอบรมหลักสูตรพัฒนาตนเอง นั่นทำให้ทุกคนรอบกายเริ่มแคลงใจว่า จริงๆแล้วทุกๆเรื่องที่ คาร์ล ตอบรับนั้นเกิดจาก ความต้องการในใจ ของตนเอง หรือเป็นเพียงแค่ การทำตามกฎสัญญา นั่น ซึ่งก็นำมาสู่การพิสูจน์ตัวเองของเขาในที่สุด
หนังสรุปให้ผู้ชมและตัวของคาร์ล เข้าใจพร้อมๆกันว่า การตอบรับกับทุกๆเรื่องนั้น ถือเป็นเปิดทุกๆโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เราก้ต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากการเปิดโอกาสนั่นด้วย ต้องรู้จักคิด พิจารณา เลือก ที่จะตอบรับ ไม่ใช่ สักแต่ว่าตอบรับ อย่างเดียว ไม่งั้นชีวิตแทนที่จะดีขึ้น อาจกลายเป็นอีกแบบก็ได้
ผมชอบประโยคหนึ่งที่ตัวละครของ Jim Carrey สารภาพในนางเอกฟังในตอนท้ายว่าว่า
จริงๆแล้วเมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่เปิดรับโอกาสใดๆเลยในชีวิต ผมปฏิเสธทุกเรื่องที่อยู่ตรงหน้า และผมกลัวที่จะให้คนอื่นรู้จักผม เพราะถ้าพวกเขารู้ว่าจริงๆแล้วตัวผมไม่มีอะไรวิเศษเลย สักวันพวกเขาจะทิ้งผมไป แต่เมื่อผมเริ่มที่ตอบรับ มันทำให้ผมมาเจอคุณ และตัวผมก็เปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เป็น (ไม่แน่ใจว่าจำมาถูกไหม แต่น่าจะประมาณนี้ คือ ฟังแล้ว นึกถึงตัวเองมากครับ เพราะเจ้า คาร์ล มีส่วนคล้ายๆ จขบ. อยู่หลายอย่าง เหอๆ )
ส่วนอีกประโยคก็มาจากนางเอก
ตอนเราเด็กๆ เราเคยคิดว่าโลกใบนี้เป็นสนามเด็กเล่น แต่เมื่อโตมาแล้วเรากลับที่ลืมเลือนมันไป
เป็นประโยคง่ายๆที่สะท้อน ตัวตนของ อัลลิสัน ได้เป็นอย่างดี ที่มีพฤษติกรรมชอบทำอะไรแปลกๆ และสนุกกับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ทั้งยังไปสะกิดใจลึกๆของ คาร์ล อีกด้วย ว่าจริงๆแล้วเขาก็อย่างที่จะเป้นอย่างนั้น แต่เพียงแค่เขาไม่กล้าที่จะเปิดตัวเองเท่านั้นเอง
Yes man ถือเป็นหนังที่บอกกับเราว่า บางครั้งแค่เพียงเรา เปิดปาก ลองเซย์เยส กับบางเรื่องที่ไม่คุ้นเคย พร้อมทั้งลอง เปิดใจ มองทุกอย่างรอบตัว เพียงแค่นั่นโลกใบนี้ก็กลายมาเป็นสนามเด็กเล่นอย่างที่เราเคยฝันไว้ในวันวานแล้ว รวมไปถึงอาจทำให้ใครหลายคนได้สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่า การใช้ชีวิต ได้ไม่น้อย และเป็นหนังที่ดูแล้ว สนุกอย่างมีสาระ ที่ไม่ควรพลาดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
Create Date : 11 มกราคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 12 มกราคม 2552 0:07:20 น. |
Counter : 4951 Pageviews. |
|
|
|