อ.เริ่มเขียนการ์ตูนมาตั้งแต่ปี 1968 (กรี๊ด!!! ฉันยังเป็นวุ้นอยู่เลย!?) ผลงานเด่นๆ มากมาย คือ ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ระดับ Professor ในมหาวิทยาลัย Kyoto Seika ในสาขา Manga Program ตั้งแต่ปี 2000 ผลงานล่าสุดคือ A Horse Traveling Time
ในราวๆ จะเรียกว่าในยุคสมัยนั้น ปี 1978 เรื่องความรักในแนว Homosexualไม่ใช่เรื่องต้องห้าม คงต้องบอกว่าในญี่ปุ่นแหละนะ(แต่คงไม่ส่งเสริมให้ใครทำ ?) การ์ตูนแนว Boys love ก็เริ่มเฟื่องฟูมาแต่นั้น รวมทั้งผลงานของอาจารย์ KT ด้วย ว่ากันว่า อาจารย์คือผู้เปิดศักราชการ์ตูน Homosexual ในปัจจุบันในผลงานชื่อ Kaze to Ki no Uta [The song of the Wind and trees] เป็นผลงานการ์ตูน YAOI ขั้นคลาสิกมาจนถึงทุกวันนี้ (แต่ฉันไม่เคยอ่านอ่ะ T_T) ก็เป็นอันหมดข้อสงสัยว่าหนุ่มๆ ของอาจารย์ที่พัวพันกันอยู่ มัน Y หรือไม่ Y (ฮา)
ภาพประกอบ Kaze to ki no uta
ส่วนตัวฉันก็เริ่มรู้จักอาจารย์จากเรื่อง สุสานฟาโรห์ ของยอดธิดาค่ะ จำชื่อพระเอกกับนายเอกไม่ได้แล้ว แต่จำชื่อน้องนายเอกได้แม่น ไนท์เคลียร์ เพราะชื่อเพราะและแปลกดี ^o^ จากนั้นก็เรื่อง Terra E เพราะเป็นอนิเมดัง (ขึ้นหิ้งคลาสิกเช่นกัน) เคยฉายช่อง 3 ด้วย เป็นแนว Sci-Fi Fantasy ที่นึกถึงก็ประทับใจทุกครั้ง
ฉบับภาษาไทย เป็นของ สนพ.มิตรไมตรี
การเขียนการ์ตูนแนว Homosexual ในสมัยนั้น เน้นหนักในเรื่องทางจิตวิทยา การที่อ. KT เลือกที่จะเขียนการ์ตูนแนว Homo นั้น อาจารย์ให้เหตุผลว่า
ด้วยแนว Boys love จึงทำให้เราสามารถแสดงออกได้ถึงบุคลิกภาพ 2 เพศ (ความเป็นหญิงและชาย) ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในมนุษย์
เด็กหนุ่มพวกนั้นก็สามารถเป็นตัวแทนได้ทั้ง 2 เพศในหนึ่งเดียว เพื่อที่เราจะนำมาถกกันในเรื่องของความรักและ sex ถ้าความสัมพันธ์ของความรักและ sex แสดงออกได้ผ่านความรักของชายและหญิงได้ ก็สามารถหลีกเลี่ยงการเน้นในเรื่องเพศได้ แต่เราสามารถถกกันถกกันเกี่ยวกับปัญหาที่นอกเหนือจากข้อจำกัดในเรื่องเพศใน Boys love ได้ เช่นเดียวกับในกรณีความรักหญิงชาย เป็นเรื่องยากที่จะมาคุยกันเรื่องบุคลิกภาพ 2 เพศเนื่องจากในความเป็นจริงนั้นผลลัพธ์ของความรัก คือการให้กำเนิดชีวิตใหม่นั่นเอง
อ่านแล้ว อ.มีมุมมองน่าสนใจเยอะนะคะ สมแล้ว พูดถึงเรื่องคำว่า Yaoi นี่ ตอนเรารู้จักมันใหม่ๆ มันไม่ได้มีความหมายกว้างเหมือนในปัจจุบันเลย ก็ออกไปทางลามกอย่างที่จขบ.บอกนั่นแหละ แต่แล้ววันหนึ่งคำนี้มันก็กลายเป็นคำทั่วไปที่ใช้กันได้อย่างไม่มีขวยเขิน ก็อึ้งๆ เหมือนกัน... (จะมีศัพท์ทางภาษาศาสตร์ใช้เรียกคำที่ความหมายกว้างขึ้น generalize หรือเปล่านะ ไม่แน่ใจค่ะ ตอนนี้ขี้เกียจค้น)
ปล. อ.ทาเคมิยะที่คุณเขียนถึง จับคู่กับอ.ที่อยู่ในบล็อกเราตอนนี้พอดี ฮ่า