|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ลูกอายุ 9-10 เดือน
//mamma.com/column/baby/
ลักษณะของเด็ก
เด็กที่อายุเกิน 9 เดือนแล้ว จะเล่นอยู่คนเดียวได้นานขึ้น เป็นเพราะเด็กเริ่มจะมีความเป็นตัวของตัวเอง ในฐานะคนคนหนึ่ง และสนใจสภาพแวดล้อมรอบการอย่างลึกซึ้งขึ้น ดังนั้นจึงทำอะไรได้นาน เล่นของเล่นนานขึ้นโดยไม่เบื่อ นอกจากของเล่นแล้ว เด็กยังสนใจเล่นกับของใช้ เช่น ที่เขี่ยบุหรี่ ขวดใส่เครื่องสำอาง ช้อน ชาม มือจับลิ้นชัก ปลั๊กไฟ สวิตซ์ ฯลฯ เด็กจะเล่นของต่าง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทางด้านร่างกายของเด็กเอง เด็กจะนั่งอยู่คนเดียวได้นาน มือมีแรงจับของได้ดีขึ้น และขยับปลายนิ้วได้อิสระขึ้น เด็กวัย 9 เดือนนี้ส่วนใหญ่จะนั่งเล่นคนเดียวได้แล้ว แต่ระดับความสามารถในการเคลื่อนไหว จะแตกต่างกันมาก เด็กบางคนที่เดินได้เร็วมากก็เดินได้แล้วในวัยนี้ บางคนเกาะเดินได้ บางคนเกาะยืนแล้วปล่อยมือตั้งไข่ได้เดี๋ยวนึง บางคนไม่สนใจยืนเลยแต่ชอบคลาน บางคนใช้วิธีนั่งถัดเอาก็มี
เด็กจะชอบจับตามองว่าผู้ใหญ่ทำอะไร และเลียนแบบได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสอนแกแค่ไหน บ้านที่มีปู่ย่าหรือตายายอยู่ด้วย และขยันสอนเด็กเลียนแบบ เช่น ให้โบกมือบ๊ายบาย ปิดตาจ๊ะเอ๋ หรือบางคนอาจก้าวหน้าถึงปิดปากจุ๊บด้วย แต่ถ้าเด็กอยู่กับพ่อแม่ซึ่งคิดว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสอนให้เด็กทำอย่างนั้น เด็กก็จะไม่ทำ เด็กวัยนี้ชักจะเล่นซนแบบอันตราย โดยไม่ต้องมีใครสอน ถ้าคุณแม่เผลอวางขวดน้ำปลาเอาไว้ เจ้าหนูอาจจะเปิดจุกออกเทเล่น หรือเอามาเขย่า ๆ หยดน้ำปลาเล่น เห็นบุหรี่ก็เก็บมากิน กินยาแดงกินยาแก้ปวดหรือยาระงับประสาท ที่ใครลืมวางเอาไว้ และชอบทำอะไรที่ผู้ใหญ่คาดไม่ถึงได้บ่อย ๆ เมื่อเด็กเคลื่อนไหวมากขึ้น อุบัติเหตุตกจากที่สูงก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว คงไม่มีเด็กคนไหนในวัยนี่ที่ไม่เคยตกจากที่สูงเลย ความแตกต่างระหว่างเด็กแอคทีฟ (อยู่ไม่สุข) กับเด็กเฉย ๆ จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นเด็กแอคทีฟจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แม้แต่นาทีเดียวตั้งแต่ลืมตาตื่น จนถึงเวลานอน ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นต้องเขย่าไม้กั้นเตียง พอเอาลงพื้นปั๊บจะคลานปร๊าด ไปยังของอะไรที่ตนสนใจทันที เวลากินจะไม่ยอมนั่งนิ่ง ๆ ในเก้าอี้ กินไปได้หน่อยเดียวจะพยายามปีนลงเสียแล้ว เวลาอาบน้ำไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ให้อาบ จะเล่นกับสบู่หรือฟองน้ำให้ได้ อาบน้ำเสร็จก็ไม่ค่อยยอมให้ใส่เสื้อ ชอบให้ตัวล่อนจ้อนอย่างอิสระเสรี เด็กแบบนี้กลางวันก็นอนน้อย และมักจะประสบอุบัติเหตุบ่อย ๆ คุณแม่ของเจ้าหนูจอมซนทั้งหลาย จะไม่ค่อยมีเวลาหายใจเต็มปอดเอาเสียเลย
ส่วนเด็กที่ชอบอยู่เฉย ๆ นั้น มักจะนอนกลางวันนาน ๆ และเล่นอยู่คนเดียวได้นาน ๆ คุณแม่ของเด็กแบบนี้ จะมีเวลาเหลือพอที่จะประดินประดอย ทำอาหารให้ลูกอย่างประณีตได้ ระยะเวลานอนของเด็กนั้น จะแตกต่างกันมากระหว่างเด็กซนกับเด็กเฉย เด็กที่สนใจของทุกอย่างที่ขวางหน้า และเล่นโดยไม่ยอมเหนื่อยง่าย ๆ จะสนุกอยู่กับการเล่น กว่าจะยอมนอนก็ดึก ในสมัยก่อนซึ่งผู้ใหญ่นอนแต่หัวค่ำตื่นแต่เช้า เด็กก็นอนตั้งแต่ทุ่มหนึ่งสองทุ่ม แต่ว่าสมัยนี้ ไม่ว่าบ้านไหน ๆ จะนอนกันดึกเพราะดูทีวีบ้าง วีดีโอบ้าง เด็กมีเพื่อนเล่น จึงไม่ค่อยจะยอมนอน เด็กสมัยนี้จำนวนมากที่กว่าจะนอนก็ 3 ทุ่มไปแล้ว
ถ้าเป็นเด็กแอคทีฟ และกว่าคุณพ่อจะกลับจากทำงานนั้น ประมาณ 3 ทุ่มทุกวัน เด็กอาจตื่นเล่นกับพ่ออยู่ถึง 5 ทุ่ม ก็ไม่น่าจะผิดกติกาอะไร ถ้าคำนึงถึงความสัมพันธ์อันชื่นมื่น ของครอบครัว เด็กจะนอน 5 ทุ่มและตื่น 9 โมงเช้า ตามแบบเด็กสมัยใหม่ ถ้าเราจับให้เด็กนอนตั้งแต่หนึ่งทุ่ม เพราะยึดมั่นในระบบนอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้าว่าเป็นสิ่งดี คุณพ่อกลับจากทำงานตอน 3 ทุ่ม จะต้องย่องเหมือนแมวขโมยเจ้าบ้าน จะคุยกับคุณแม่ก็ต้องกระซิบกระซาบ พอตกดึกพ่อแม่กำลังจะนอน ลูกกลับตื่นลุกขึ้นมาจะเล่น หรือร้องกวนหลายครั้งจนพ่อแม่อดนอน นอกจากนั้น เด็กที่นอนแต่หัวค่ำ มักจะตื่นแต่เช้ามืด ในขณะที่พ่อแม่กำลังหลับสนิท เล่นเอาพ่อโมโหตวาดลูกเอาก็มี แถมตอนกลางวัน พ่อยังต้องไปนั่งสับปะหงกในที่ทำงาน จนเสียงานอีก แบบนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นครอบครัวกันไปทำไม
ความคิดที่ว่าควรนอนหัวค่ำตื่นแต่เช้านั้น ชักจะไม่เหมาะกับสังคมสมัยใหม่เสียแล้ว แต่ถ้าเป็นสังคมชนบทซึ่งพ่อแม่ทำไร่ทำนา ต้องตื่นแต่เช้าแข่งกับตะวัน เด็กก็ควรจะได้รับการเลี้ยงดู ให้เหมาะกับสภาพการทำงานของพ่อแม่ เมื่อเด็กตื่นขึ้นมากลางดึก คุณแม่จะต้องพยายามทำให้เด็กนอนโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะใช้วิธีการอย่างไร ถ้าให้ดูดนมแม่แล้วนอนใน 2-3 นาทีก็ให้ดูดดีกว่าอุ้มร้องเพลงกล่อมอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง ถ้าเด็กฉี่เปียกแล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ จะร้องต่ออีกครึ่งชั่วโมงละก็ ปล่อยเอาไว้อย่างนั้นจนถึงเช้าค่อยเปลี่ยน แต่ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วก้นแดงอาจใช้ผ้าอ้อมกระดาษซึ่งไม่เปียกเฉอะแฉะ (ในกรณีที่อากาศเย็น หรือนอนห้องแอร์ เพราะผ้าอ้อมกระดาษนั้นค่อนข้างอบ) หรือใช้ผ้าอ้อมปูเฉย ๆ แบบสมัยก่อน ไม่ต้องนุ่งให้ จะไเปลี่ยนให้ได้อย่างรวดเร็ว เด็กยังไม่ทันตื่น แต่วิธีนี้ถ้าเป็นเด็กผู้ชายและนอนหงาย เด็กอาจจะยิงจรวดนำวิถีโค้งออกนอกเตียงไปเลย
เด็กในวัย 9-10 เดือนนี้ ถ้าคุณแม่จบให้ฉี่ก่อนคุณแม่เข้านอนตอนดึก จะมีเด็กประมาณครึ่งหนึ่ง ที่ไม่ฉี่อีกจนถึง 6 โมงเช้า แต่ถ้าอากาศหนาวเด็กจะฉี่บ่อยขึ้น เด็กวัยนี้จะชินกับอาหารเสริมเกือบทุกชนิดแล้ว เรื่องที่ว่าจะให้เด็กกินอาหารปริมาณเท่าไรนั้น ควรขึ้นอยู่กับความต้องการของเด็กแต่ละคน เด็กส่วนใหญ่จะปรับตัวให้เข้ากับผู้ใหญ่ได้ ถ้าคุณแม่ไม่ได้บังคับ ให้เด็กกินของที่ไม่ชอบเอามาก ๆ แล้ว เด็กจะยอมกินโดยดี เพราะฉะนั้น คุณแม่ไม่ต้องทำอาหารเสริมให้เด็กเป็นพิเศษ แบ่งเอาอาหารของผู้ใหญ่ให้เด็กก็ได้ ไม่ต้องห่วงว่าเด็กจะกลายเป็นคนเลือกอาหาร หรือเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโต ถ้าอาหารที่ให้นั้นมีทั้งแป้ง ผัก และเนื้อหรือถั่วครบถ้วน
เรื่องที่ว่าควรจะให้เด็กวัยนี้ ได้รับอาหารเสริมวันละ 2 มื้อ หรือ 3 มื้อนั้น ก็แล้วแต่ความต้องการของเด็ก ถ้าเด็กกินข้าวหมดภายใน 10-15 นาที จะให้วันละ 3 มื้อก็ได้ แต่ถ้าป้อนข้าวมื้อหนึ่ง ใช้เวลาเกือบถึงชั่วโมง ขืนให้วันละ 3 มื้อ เด็กจะไม่มีเวลาออกไปเล่นนอกบ้าน เพราะฉะนั้นควรคิดถึง เวลาที่เด็กจะได้เล่นข้างนอก อย่างน้อยเช้าเย็นช่วงละ 1-1/2 ชั่วโมงเป็นหลัก เวลาที่เหลือให้เป็นเวลานอน และเวลาให้อาหาร ตามความเหมาะสมของเด็กแต่ละคน
ถ้าปฏิบัติตามข้างต้นแล้ว ส่วนใหญ่ในวัยนี้ เด็กจะได้ขนมปังหรือก๋วยเตี๋ยวหนึ่งมื้อ และข้าวต้มอึกหนึ่งมื้อ สำหรับเด็กที่ไม่ชอบของเละ ๆ อย่างข้าวต้ม วันหนึ่ง ๆ อาจจะกินข้าวสวยนิ่มๆ เพียงมื้อเดียวก็ไม่เป็นไร ขอให้เด็กได้รับนมอย่างเพียงพอเป็นใช้ได้
ขนมสำหรับเด็กระยะนี้ มีมากมายหลายอย่าง ขนมปังกรอบ ซาลาเปา ขนมฝรั่ง แพนเค้ก คัสตาร์ด ขนมกล้วย ขนมตาล และขนมไทย ๆ หลายอย่างที่เด็กกินได้ ขอให้สะอาดและรสอ่อนไม่หวาดจัด คุณแม่บางคนไม่ยอมให้ลูกกินขนมเลย เพราะกลัวเด็กจะไม่กินข้าว แต่ขนมเป็นของอร่อย น่าจะให้เด็กได้ดีใจที่ได้กินของอร่อยบ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่ควรให้ขนมเด็กมากกว่าสองครั้งต่อวัน คุณแม่บางคนก็ตามใจให้เด็กกินขนมทั้งวัน เด็กอาจจะสุขในตอนนี้ แต่มีหวังคงจะต้องทุกข์กายในภายหลังแน่
สำหรับผลไม้ ควรให้เด็กกินเป็นชิ้น โดยไม่ต้องบดหรือปรุงแต่รส เด็กจะชอบมากกว่า เด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่ ควรให้นมแม่ตอนเช้าหลังตื่นนอน และให้ตอนที่เด็กตื่นขึ้นมากลางดึก นอกจากนมแม่ ควรให้อาหารเสริม 2 มื้อ และให้นมวัวหลังอาหาร เด็กวัยนี้ ถ้าให้แต่นมแม่และให้กินข้าวนิดเดียว ธาตุอาหารจะไม่พอเพียง
เมื่อเด็กโตขึ้น มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น อาจจะต่อต้านเวลาถูกจับให้นั่งกระโถน ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเคยยอมนั่งแต่โดยดี สำหรับโรคที่เด็กวัยนี้เป็นกันมาก ถ้าเด็กคนไหนไม่เคยเป็นไข้มาก่อนเลย ให้นึกถึงส่าไข้ไว้ด้วย เพราะท่าทีของพ่อแม่ที่รู้จักโรคนี้ กับคนที่ไม่รู้จักจะต่างกันอย่างลิบลับ ถ้าอยู่ในช่วงที่ไข้เลือดออกระบาด ให้นึกถึงไข้เลือดออกเอาไว้ด้วย พยายามให้เด็กได้น้ำมาก ๆ ในช่วงที่เป็นไข้ เด็กอาจมีตุ่มเล็ก ๆ ตามผิวหนัง ซึ่งเรียกว่า ผื่นเม็ดนูน (Strophulus) แต่ไม่มีไข้ ขอให้คิดว่าเป็นผื่นแพ้ชนิดหนึ่ง
เด็กระยะนี้มักจะมีฟันหน้าขึ้นครบ 4 ซี่ แต่ยังไม่ถึงกับต้องแปรงฟันให้เด็ก ถ้าคุณแม่ขยัน เอาผ้าสะอาดเช็ดให้ก็พอ
อาหารการกิน
เด็กระยะ 9-10 เดือนนี้ อัตราเพิ่มของน้ำหนักจะลดลง อยู่ระหว่างประมาณ 5-10 กรัมต่อวันโดยเฉลี่ย ถ้าเด็กคนไหนน้ำหนักเพิ่ม ในอัตรา 15-20 กรัมต่อวัน ควรจำกัดอาหารประเภทแป้ง ไม่ให้กินข้าวเกินมื้อละ 1 ถ้วย (ให้กินกับข้าว หรือผลไม้ หรือนมเปรี้ยวแทน)
กับข้าวสำหรับเด็กวัยนี้ ไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรพิสดารกว่าเดือนก่อน ๆ เด็กยังคงกินไข่ เต้าหู้ ฟักทอง ผักบุ้ง ตำลึงได้เหมือนเดิม เพียงแต่หั่นให้ชิ้นหยาบขึ้น และเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น
สำหรับอาหารประเภทปลา ไม่ต้องจำกัดอยู่เฉพาะปลาเนื้อขาว ปลาทู ปลาโอ ปลาอินทรี ให้กินได้ แต่ควรระวังเรื่องก้างปลาติดคอด้วย
อาหารทะเล จำพวก กุ้ง ปู หอย ให้ได้ในปริมาณน้อย ๆ หน่อย อาหารพวก หมู เนื้อไก่ ควรบดให้ ถ้าให้เป็นชิ้น ๆ เด็กส่วนใหญ่จะเคี้ยวนิดหน่อย แล้วเอาลิ้นดุนออกมาหมด
เด็กวัยนี้จะกินขนมต่าง ๆ ได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นขนมที่แข็งจนเกินกำลังกัด และลูกอมซึ่งมีอันตรายจากการติดคอ ขนมเป็นของที่เด็กชอบ ควรให้เด็กได้ของชอบสักวันละครั้ง และควรกำหนดให้เป็นเวลา เช่น ให้ก่อนนมมื้อบ่าย ๆ ไม่ควรให้เด็กกินขนมพร่ำเพรื่อทั้งวัน เพราะจะมีผลทำให้เด็ก กินอาหารหลักได้น้อยลง และร่างกายได้แต่น้ำตาลมากเกินไป สำหรับเด็กที่อ้วนเกินไปอยู่แล้ว (น้ำหนักเกิน 10 กิโลขึ้นไปในวัย 9 เดือน) ไม่ควรให้ขนมมาก เลี่ยงไปให้ขนมประเภทวุ้นและผลไม้ (ยกเว้นกล้วยซึ่งให้แคลอรี่สูง)
การเล่นของลูก เสริมสุขภาพ
เด็กวัยนี้อยากลุกขึ้นยืนและเดิน คุณแม่ควรช่วยสนับสนุน ฝึกในเรื่องนี้ เก็บของเกะกะในห้องให้หมด และให้เด็กเกาะกล่องใหญ่ ๆ เข็นเดิน ถ้าเดินก่อนเด็กเข็นกล่องกระดาษแข็งได้แล้ว เดือนนี้ควรหาอะไรหนัก ๆ (เช่น เบาะนั่ง) ใส่เข้าไปในกล่อง เพราะถ้าเบาเกินไปเด็กจะเข็นไม่ได้ ไม่ควรให้เด็กเข็นรถที่มีล้อเดินเพราะรถจะวิ่งเร็วเกินไป ถ้าเป็นเก้าอี้หนัก ๆ ที่มีล้อ พอจะให้เด็กเข็นได้ แต่คุณแม่จะต้องเฝ้าอยู่ด้วย
เด็กวัยนี้จะจับเชือกได้เองแล้ว จึงชอบนั่งชิงช้า แต่คุณแม่ต้องอยู่ข้าง ๆ ด้วย เวลาให้เล่นชิงช้าควรหาแผ่นอะไรนิ่มๆ ปูข้างล่าง หรือปูทรายหนา ๆ ใต้ชิงช้าก็ได้ ไม้ลื่นเตี้ย ๆ เด็กวัยนี้ก็ชอบเล่นมาก เด็กที่ยังยืนไม่เก่ง คุณแม่ควรช่วยฝึกให้ยืน โดยให้จับห่วง 2 มือ และคุณแม่ช่วยดึงให้ยืน การฝึกแบบนี้ทำวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 5-6 นาทีก็พอแล้ว เด็กที่น้ำหนักตัวมาก จนยืนไม่ไหวไม่ควรฝืนให้ยืน
คุณแม่ควรให้เด็กได้เล่นนอกบ้าน อย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมง แต่ไม่ใช่เอาเด็กใส่รถเข็นเดินเล่นเท่านั้น ควรปล่อยให้เด็กเล่นออกกำลัง บนพื้นสนาม ที่จริงน่าจะมีใครสนใจ ทำสนามเด็กเล่นที่มีชิงช้าไม้ลื่น และเครื่องเล่นสำหรับเด็กให้ทั่วบ้านทั่วเมือง ขนาดที่ว่าบ้านไหน ๆ ก็เดินไปเล่นได้ เด็กไทยจะได้แข็งแรงกันอย่างถ้วนหน้ากับเขาบ้าง
Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550 |
|
9 comments |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 16:51:39 น. |
Counter : 10820 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: muay IP: 81.235.175.99 13 ธันวาคม 2551 2:32:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่น้องพูมค่ะ IP: 58.181.214.135 7 กรกฎาคม 2553 13:56:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่น้องพูมค่ะ IP: 58.181.214.135 7 กรกฎาคม 2553 13:59:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อน้องน้ำมนต์ IP: 10.242.1.155, 203.149.16.43 28 กรกฎาคม 2553 9:02:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่น้องข้าวโอ๊ต IP: 10.34.45.74, 119.31.126.164 20 พฤศจิกายน 2554 13:48:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: บานเย็น IP: 203.172.242.177 26 กรกฎาคม 2555 12:45:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่น้องไอรีน IP: 115.87.21.56 1 กุมภาพันธ์ 2557 21:46:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: น้องนะโม IP: 223.205.128.245 12 พฤษภาคม 2557 11:48:10 น. |
|
|
|
|
|
|
|