เมื่อคืนนี้ร้อนอบอ้าวมาก ... แต่ยังดีที่ได้ลมฝน พัดมา และโชคดีอีกเช่นกันที่ฝนไม่ตก.. ตื่นเช้ามาดูพระอาืทิตย์ขึ้นด้วยความสดชื่น ..
แสงสีทองสวยงามมาก .. มีใครทำสีหกลงที่ท้องฟ้าหรือเปล่าหว่า ??
เกิดมาก็เพิ่งเคยมาดูพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางหมู่ปะการัง .. ที่นี่แหละ
ปะการังที่นี่ คงได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ แบบนี้ทุกวันสินะ..
เจ้าหอยมือเสือก็ด้วย .. มีความสุขละสิ
หาดทราย ถูกฉาบไปด้วยสีทอง..
มีใครกันหนอ จะโชคดีแบบเรากันบ้าง..
ดีใจ ที่เกิดมาเป็นคนไทย ..ที่มาได้เจอธรรมชาติที่สวยงาม เจอที่นี่ ..
ขอบอกว่าตะวันที่นี่ ใหญ่กว่าที่ไหนๆ
วันใหม่ เริ่มต้นได้อย่างสมบูรณ์..
หลังจากพระอาทตย์ขึ้น ผมขอตัวเพื่อนๆ พี่ๆ ไปเดินเล่นให้รอบเกาะ .. นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำ !! ผมสัญญากับตัวเองไว้
พร้อมจะออกเดินทางอีกครั้ง ..
...
รอยเท้านี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เบื้องหน้าของหาดขาวนี้ .. คือ เกาะพีพีดอน และเกาะ พีพีเล ครับ
เบื้องหน้า หินสีทองก้อนนี้คือ ..เกาะยูง
ธรรมชาติสร้างสรรค์
ความสวยงามมีอยู่ทั่วไป อยู่ที่ใครจะเก็บเกี่ยวมาได้มากเท่าไหร่
หินสวยๆ และเกาะสวยๆ
หาดขาว เผยตัวอีกครั้ง เตรียมรับวันใหม่..
ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็เดินวนรอเกาะแล้วครับ ดีใจมากที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ ได้สำเร็จ .. ก็อยากสัมผัสสเกาะสวยๆ แห่งนี้ให้มากที่สุด นี่นา..
สุดยอดทะเลไทย
ทิวสนลู่ลม
และแล้ว ..นักท่องเที่ยวก็เริ่มมากันแล้วครับ
ไม่รู้ว่าเธอคนนี้จะชอบไหม ..
ผมลงไปดำน้ำ สัมผัสความงดงามใต้ทะเลอีกครั้งหนึ่ง ปะการังที่นี่สวยและสมบูรณ์อีกที่หนึ่งเลยทีเดียว น้ำก็ใสมาก เหมาะกับการดำน้ำมากครับ
เวลาประมาณ 11.30 เราเดินทางออกจากเกาะไม้ไผ่ และเตรียมตัวกลับกันแล้วครับ
ขากลับ เราแวะทานอาหารเย็นกันที่สุราษฏร์ และไม่ลืมที่จะแวะที่นี่ครับ
วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 50 ถนนรักษ์นรกิจ หมู่ 3 ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พระบรมธาตุไชยาเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเป็นหนึ่งในสามของ โบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาของภาคใต้ ได้แก่ พระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจดีย์พระมหาธาตุวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช และพระพุทธไสยาสน์ในถ้ำคูหาภิมุข บริเวณวัดคูหาภิมุข จังหวัดยะลา
จากคำบอกเล่าของชาวเมืองไชยา ได้มีตำนานที่เล่าขานเกี่ยวกับเจดีย์พระบรมธาตุไชยาว่า ครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวอินเดียสองคนชื่อ ปะหมอ กับปะหมัน ทั้งสองเดินทางโดยเรือใบเข้ามาถึง เมืองไชยา ได้พาบริวารขึ้นบกที่บ้านนาค่ายตรงวัดหน้าเมือง ในตำบลเลเม็ด เจ้าเมืองมอบให้ปะหมอ ซึ่งเป็นนายช่างมีความเชี่ยวชาญการก่อสร้าง สร้างเจดีย์พระบรมธาตุไชยา ครั้นเสร็จก็ตัดมือตัดเท้า เสีย เพื่อมิให้ปะหมอไปสร้างเจดีย์ที่งดงามเช่นนี้ให้ผู้ใดอีก ปะหมอทนบาดพิษบาดแผลไม่ได้ ถึงแก่ความตาย เจ้าเมืองได้หล่อรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรไว้ เป็นเครื่องหมายแทนตัวปะหมอ ส่วนน้องชายที่ชื่อปะหมันได้ไปครองเกาะพัดหมัน และตึงรากอยู่ที่นั้นจนกระทั่งสิ้นชีวิต สถานที่ตั้งบ้านเรือนของปะหมันนั้นเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง มีนาล้อมเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ สมัยโบราณที่นี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมาก คณะมโนราห์ที่เดินทางผ่านจะต้องหยุดไหว้รำร้องถวายมือ คณะใดไม่เคารพคนในคณะจะชัก หรือเกิดเหตุขัดข้องต่างๆ ถ้าใครไปตั้งคอกเลี้ยวหมูในบริเวณดังกล่าวหมูจะตายหมดทั้งคอก
เจดีย์พระบรมธาตุไชยาเป็นสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัยองค์เดียวที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 ไม่ปรากฎประวัติการสร้างและผู้สร้าง เข้าใจว่าสร้างในขณะที่เมืองไชยาสมัยศรีวิชัยกำลังเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
หลักฐานที่ยืนยันถึงอาณาจักรศรีวิชัยอายุไม่ต่ำกว่า 1200 ปี จังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ใช้ภาพของ เจดีย์พระบรมธาตุนี้เป็นสัญลักษณ์ในดวงตราประจำจังหวัด และเป็นสัญลักษณ์ในธงประจำกอง และผ้าพันคอลูกเสือด้วย ซึ่งถือกันว่าถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานี หากไม่ได้ไปนมัสการ พระบรมธาตุไชยาแล้วก็เหมือนกับยังไปไม่ถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ส่วนทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมนั้น มีลักษณะเป็นเจดีย์องค์เดียว ในปัจจุบันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด โดยองค์เจดีย์พระบรมธาตุมีความสูงจากฐานใต้ดินถึงยอด 24 เมตร ตั้งอยู่ บนฐาน สี่เหลี่ยมสูงย่อเก็จ ขนาดฐานวัดจากทิศตะวันตกยาว 13 เมตร ฐานนี้สร้างก่อนสมัยที่ พระชยาภิวัฒน์ (หนู ติสโส) จะบูรณะ ตั้งอยู่บนผิวดินซึ่งมีระดับต่ำกว่าพื้นดินปัจจุบัน ทางวัดได้ขุด บริเวณโดยรอบ ฐานเป็นเสมือนสระกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ลึกประมาณ 60-70 เซนติเมตร เพื่อให้ฐานเดิม ปัจจุบันมีน้ำขังอยู่รอบฐานตลอดปี บางปีในหน้าแล้งรอบๆ ฐานเจดีย์พระบรมธาตุ จะแห้ง มีตาน้ำพุ ขึ้นมา ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถแก้โรคภัยต่างๆ ได้ ต่อมาทางวัด ได้ใช้ปูนซีเมนต์ ปิดตาน้ำเสีย
โดยองค์เจดีย์พระบรมธาตุเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรมุขย่อ
มุขด้านหน้าหรือมุขด้านตะวันออก
เปิดมีบันไดขึ้นสำหรับให้ประชาชนเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปภายในเจดีย์
เมื่อเข้าไปภายใน จะเห็นองค์พระเจดีย์หลวง
เห็นผนังก่ออิฐแบบไม่สอปูนลดหลั่นกันขึ้นไปถึงยอดมุข อีกสามด้าน ทึบทั้งหมด
ที่มุมฐานทักษิณมีเจดีย์ทิศหรือเจดีย์บริวารตั้งซ้อนอยู่ด้วย หลังคาทำเป็น 3
ชั้นลดหลั่น กันขึ้นไป แต่ละชั้นประดับรูปวงโค้งขนาดเล็กและสถูปจำลองรวม 24
องค์ เหนือขึ้นไปเป็นส่วนยอด ซึ่งได้รับการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 5
เป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์ยอดเจดีย์ที่เดิมหักลงมาถึงคอ ระฆัง
ทำให้เห็นลวดลายละเอียดเสียหายมาก
รวมทั้งฐานเจดีย์ที่จมอยู่ใต้ดินได้ขุดดินโดยรอบฐาน พระเจดีย์
และทำลายรากไม้ในบริเวณนั้นแล้ว
ก่ออิฐถือปูนตลอดเพื่อให้เห็นฐานเดิมของเจดีย์ อีกทั้งลวดลายประดับเจดีย์ ได้มีการสร้างเพิ่มเติมใหม่ด้วยปูนปั้นเกือบทั้งหมด เป็นลายปั้นใหม่ ตามความคิดของผู้บูรณะ มิได้อาศัยหลักทางโบราณคดี รวมถึงลานระหว่างเจดีย์และพระระเบียง เปลี่ยนจากอิฐหน้าวัวเป็นกระเบื้องซีเมนต์ จนถึงในรัชกาลปัจจุบัน พ.ศ.2521-2522 ได้รับการ บูรณะปฎิสังขรณ์ใหญ่อีกครั้ง โดยการบูรณะในครั้งนี้เป็นการซ่อมแซมของเก่าที่มีอยู่เดิมให้คง สภาพดี เพื่อไว้เป็นปูชนียสถานที่สำคัญของชาติสืบต่อไป
รอบองค์พระธาตุมีเจดีย์เล็ก 4 ทิศ ล้อมรอบด้วยวิหารคด ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ขนาดต่างๆ โดยรอบทั้ง 4 ด้าน
พระพุทธรูปศิลาแลงสมัยศรีวิชัยครับ
หลังจากนั้นก็ได้เวลาทานอาหารสักที ร้านอาหารร้านนี้อยู่ริมทะเลครับบรรยากาศดีทีเดียว ..
ข้างล่างนั่น ปูเต็มเลยครับ
ปูทั้งนั้นเลย
บรรยากาศชายทะเลยามเย็น นั่งทานอาหารไปชมวิวไปมีความสุขดีครับ
ขอปิดท้ายด้วยภาพนี้แล้วกันนะครับ นับเป็นทริปที่ประทับใจอีกทริปหนึ่ง ได้สัมผัสความสวยงามแบบสุดๆ และได้ทำอะไรที่ไม่คิดว่าจะได้ทำมาก่อน ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มีใจนักสู้ไม่ย่อท้อต่อความลำบากกันนะครับ !! อิอิ
แน่นอน มันเป็นอีกรสชาติหนึ่งของชีวิต ..
เจอกันทริปหน้าครับ
ยังไม่เคยไปกระบี่เลย เป็นอีกที่ที่อยู่ในลิสต์หางว่าวของตัวเองเหมือนกัน
เห็นรูปสวยมากๆ ขนาดนี้ ไม่พลาดแน่นอนค่ะ