ถนนสายนี้...มีตะพาบ (ครั้งที่ 67) "เจ็บ"
ถนนสายนี้...มีตะพาบ (ครั้งที่ 67) ฉันนั่งมองวิวข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งนาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สีเขียวของต้นข้าว ต้นไม้ และใบหญ้าทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย ยิ่งเป็นยามเช้าที่มีแดดอ่อนๆ ที่เริ่มสาดแสงมาก็ยิ่งทำให้รู้สึกสดใส ฉันนั่งรถเมล์คันเก่าๆ ที่เปิดกระจกให้ลมพัดเข้ามาให้ความรู้สึกเย็นสบาย รู้สึกว่าหัวเหอฟูไม่เป็นทรงแต่ฉันก็ไม่ใส่ใจ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันไม่เมารถเหมือนอย่างเคย วันนี้ตาพาฉันนั่งรถเมล์ไปเยี่ยมยาย ซึ่งตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ห่างจากอำเภอเราไปประมาณ 60 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะรถจอดรับผู้โดยสารตลอดทาง ยายของฉันป่วยมาได้เป็นเดือนแล้ว เริ่มจากปวดท้อง ซึม กินอะไรไม่ค่อยได้และผอมลงเรื่อยๆ แม่กับน้าจึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ตอนแรกหมอบอกว่าเป็นนิ่ว ต่อมาบอกว่าเป็นมะเร็ง ต้องไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดซึ่งพร้อมกว่าโรงพยาบาลเล็กๆ อย่างที่นี่ ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอฉันได้ไปเยี่ยมยายบ่อยๆ เพราะโรงพยาบาลอยู่ทางเดียวกับที่ฉันต้องปั่นจักรยานไปโรงเรียนทุกวัน หลังเลิกเรียนฉันเลยแวะเข้าไปเยี่ยมยายก่อนกลับบ้านทุกวัน พอเย็นวันศุกร์-เสาร์ก็จะไปนอนเฝ้ายายที่โรงพยาบาลกับแม่ แต่พอย้ายไปอยู่ในตัวจังหวัดฉันเลยได้ไปเยี่ยมแค่วันเสาร์ หรือ อาทิตย์เท่านั้น ไปเช้า บ่ายๆ ก็ต้องกลับเพราะยังไม่ปิดเทอมและโรงพยาบาลที่นี่ให้คนเฝ้าได้แค่ 1 คน หลังจากยายเข้ารับการผ่าตัด ดูเหมือนว่ายายจะมีอาการดีขึ้น แต่ก็ชอบพูดอะไรแปลกๆ ดูงงๆ เบลอๆ บางครั้งก็เพ้อบอกว่ามีคนมาเยี่ยม และคนเหล่านั้นก็เป็นคนที่ตายไปแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงเป็นเพราะอาการป่วย ทำให้ยายพูดอะไรแปลกๆ ไปบ้าง ถ้าอาการดีขึ้นก็คงจะเลิกพูดไปเอง ยายบ่นว่าผมเหนียวอยากสระผม ฉันก็ปลอบว่าเดี๋ยวกลับบ้านก่อนเดี๋ยวจะสระผมให้ เพราะที่นี่เป็นตึกรวม คนไข้และญาติมีมากจะทำอะไรก็ไม่สะดวกนัก และเกรงใจคนอื่นๆ ด้วย ยายชอบบ่นว่าอยากกินซุปมะเขือ ฉันก็ต้องปลอบอีกว่าเดี๋ยวกลับบ้านจะบอกให้แม่ทำให้กิน จะกินเยอะแค่ไหนก็ได้ แต่ตอนนี้หมอไม่ให้กินอาหารรสจัดเพราะยังไม่หายดี ฉันหยุดความคิดลงเมื่อมาถึงจุดหมาย คือ บขส. ในตัวจังหวัด แล้วหิ้วกระเป๋าซึ่งมีข้าวเหนียวกับหมูทอดที่ยายทวดลุกขึ้นมานึ่งให้ตั้งแต่เช้ามืดเพื่อให้เตรียมมาเป็นอาหารกลางวันก้าวลงจากรถตามตาไป เรานั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างต่อไปยังโรงพยาบาลอีกต่อหนึ่ง เมื่อมาถึงตาบอกให้ฉันขึ้นไปก่อน ตาขอนั่งพักก่อนแล้วจะตามขึ้นไปทีหลัง ฉันวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างร่าเริง พอไปถึงเตียงที่ยายเคยนอนอยู่ก็พบแค่ความว่างเปล่า ฉันยืนงงอยู่สักพัก หันซ้ายหันขวาไปเจอพยาบาลก็เลยเดินไปถาม ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่า ยายของหนูที่นอนอยู่เตียงนั้นไปไหนคะ พยาบาลหันมองตามือของฉันแล้วก็หันกลับมาบอก อ๋อ คนไข้เตียงนั้นเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเช้าค่ะ ตอนนี้ญาติเอาศพกลับบ้านไปแล้ว ฉันยืนอึ้งกับคำพูดของพยาบาล หัวสมองขาวโพลน ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกในตอนนั้นได้ พอตั้งสติได้ก็ผลุนผลันวิ่งลงบันไดไปหาตาข้างล่าง เมื่อไปถึงก็บอกกับตาว่า พ่อ เขาบอกว่าแม่เสียแล้วพ่อ พอพูดจบน้ำตาฉันก็ไหลลงมาทันทีแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ตาก้าวนำฉันไปก่อน แล้วพาไปขึ้นรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างหน้าโรงพยาบาลเพื่อไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านเหมือนเดิม ระหว่างทางฉันนั่งร้องไห้มาตลอด น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ใครจะมองก็ช่าง ฉันไม่สนใจทั้งนั้น เพราะยามนี้มันห้ามน้ำตาไม่ได้จริงๆ ฉันอยากให้มันเป็นเพียงความฝัน อยากให้มันเป็นแค่เรื่องโกหก ความทรงจำที่เกี่ยวกับยายผุดออกอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหลเพราะยังไม่อาจทำใจได้ว่าตอนนี้ฉันเสียยายไปแล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้าน ยายทวดเดินออกมารับแล้วดึงฉันเข้าไปกอด ฉันก็ปล่อยโฮออกมาทันที ทวดก็ร้องไห้และเอาด้ายมาผูกข้อมือเรียกขวัญให้ ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้านจึงได้เห็น ยาย นอนอยู่บนแคร่ ยายใส่เสื้อลูกไม้กับผ้าถุงผืนใหม่ มีสำลีอุดจมูกอยู่ พอเห็นยายฉันก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง ฉันทรุดตัวลงกราบยายแล้วเอาแต่ร้องไห้ หันไปหาแม่ก็เห็นแม่ยืนเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ เป็นครั้งแรกที่หัวใจมันเจ็บจนเหมือนจะขาดใจ ไม่เคยคิดว่าจะเสียคนที่รักไปเร็วขนาดนี้ เพราะยายอายุแค่ 50 กว่าเอง แถมจากกันโดยยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะล่ำลา มีหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำให้ มีหลายคำที่ไม่เคยได้บอก คนทั้งบ้านตกอยู่ในความเศร้าหมอง แทบจะกินน้ำตาต่างข้าว ตั้งแต่จำความได้นี่เป็นครั้งแรกที่บ้านเราจัดงานศพ ฉันยังมึนๆ เบลอๆ เหมือนอยู่ในความฝัน ได้แต่ช่วยทำนั้นทำนี่ไปเรื่อยๆ ทั้งล้างจาน เสิร์ฟอาหาร พยายามวุ่นวายเพื่อไม่ให้สมองว่างพอจะคิดถึงเรื่องของยาย วันแม่เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน โรงเรียนจัดงานวันแม่และเชิญแม่ให้ไปร่วมงาน แต่แม่ของฉันไม่ได้ไปเพราะต้องเฝ้าแม่ของตัวเองอยู่ ฉันจึงต้องไหว้แม่ของเพื่อนแทน ซึ่งฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเข้าใจเหตุผลดี วันนี้แม่ของฉันยังยืนอยู่ข้างๆ แต่แม่ของแม่ไม่อยู่อีกแล้ว ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้เจอ ได้คุย ได้เห็นหน้าอีกแล้ว ตอนทำบุญฉันบอกแม่ว่าอย่าลืมทำซุปมะเขือด้วยนะ เพราะก่อนจะเสียยายบ่นว่าอยากกิน ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดที่หลายๆ คนเคยพูดไว้ว่า ยามที่คนที่เรารักยังมีชีวิตอยู่อยากกินอะไรก็หาให้กินเถอะ ในตอนที่ยังกินให้เราเห็นได้ ไม่ใช่หาให้ยามที่ต้องเคาะโลงเรียก ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะได้กินจริงๆ หรือเปล่า ฉันค่อนข้างสนิทกับยาย เพราะเป็นหลานคนแรกของบ้าน และพ่อแม่ก็อยู่ในช่วงสร้างตัว จึงต้องทำงานหนักทั้งวัน จึงเอาฉันไปฝากไว้กับตายายเสมอ ปกติฉันจะเรียกยายทวดและยายว่าแม่ เหมือนที่เรียกแม่ และเรียกตาว่าพ่อเหมือนที่เรียกพ่อ เวลาสามสาวอยู่พร้อมกันแล้วเรียกแม่ ก็จะหันมาทั้ง 3 คน จนฉันต้องหัวเราะทุกครั้งที่เรียก ถ้าจะเรียกครั้งต่อไปจึงต้องระบุว่าเรียก แม่-ทวด, แม่-ยาย หรือว่าแม่เฉยๆ แต่ต่อไปคงเหลือแค่ 2 แม่ให้เรียก เพราะแม่-ยาย ไม่อยู่ให้เรียกอีกต่อไปแล้ว ตอนเด็กๆ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ยายจะชอบมาเรียกที่หน้าบ้านเพื่อพาไปข้างนอกทุกที ไม่ว่าจะไปช้อนปลา ขุดหน่อไม้ หาเห็ดโคน แหย่ไข่มดแดง ถึงจะขัดใจ จะขี้เกียจ เพราะติดการ์ตูน แต่ฉันก็จะตามไปด้วยทุกครั้ง ช่วงแรกๆ ที่ยายเสีย ฉันยังฝันว่ายายมาเรียกอยู่หน้าบ้านเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ไปด้วย เพราะแม่ปลุกให้ตื่นขึ้นมาซะก่อน ยายเป็นความทรงจำที่ทั้งสดใส และเจ็บปวดเมื่อนึกถึง ฉันยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณเลยสักครั้ง ฉันอยากให้ยายได้ร่วมงานรับปริญญา อยากให้ยายได้ภูมิใจกับหลานสาวคนนี้ อยากให้ยายยืนอยู่ข้างๆ เหมือนในยามที่เป็นเด็ก แต่ก็รู้ดีว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ ตอนแรกว่าจะไม่เขียนเพราะคิดไม่ออก แต่เมื่อวานได้ยินเพลง จุดธูปบอกแม่ ทำให้นึกถึงยายขึ้นมาทันที เพลงนี้ฟังครั้งแรกก็เล่นเอาน้ำตาร่วง ยิ่งดู MV ก็ยิ่งซึ้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องสั้นแต่เป็นเรื่องเล่าของความเจ็บปวดหนักๆ จากการสูญเสียหนึ่งในคนที่รักที่สุดเป็นครั้งแรกแทนค่ะ ขอขอบคุณเพลงจาก Youtube จาก RS ค่ะ
Create Date : 30 ตุลาคม 2555 |
|
86 comments |
Last Update : 30 ตุลาคม 2555 18:22:48 น. |
Counter : 2424 Pageviews. |
|
|
|