มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราไม่สามารถอยู่คนเดียวในสังคม ดังนั้นจงปรับตัวเองเพื่อที่จะอยู่ในสังคม อย่างเป็นสุข
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
ประเพณีโฎนตา ( โดนตา )

<<ประไปณี โฎนตา >> ประเพณีวันสารทของชาวอีสานใต้


ประเพณีวันสารทของชาวสุรินทร์,บุรีรัมย์,
ประวัติ /ความเป็นมา
ความเป็นมาสารท มาจากคำบาลี หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง ภาษาสันสกฤตเป็น ศารท คำว่าสารท และ ศารท หมายถึง การทำบุญเดือนสิบ เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากมี ความเชื่อว่าระยะนี้เป็นระยะที่ยมบาลปล่อยเปรตให้มาเยี่ยมบ้านเดิมของตน เพื่อรับส่วนบุญที่ญาติจะอุทิศให้ลูกหลานญาติพี่น้องมีความเชื่อว่า ญาติของตนที่ตายแล้ว อาจจะไปเกิดในอบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ อดอยากจึงทำบุญอุทิศให้โดยหวังว่าเมื่อวิญญาณได้รับอนุโมทนาส่วนบุญแล้ว จะได้พ้นจากภูมิอันทุกข์ทรมานนั้นไปเกิดในภูมิใหม่ที่ดีกว่านั้น
คำสารทนี้อ่านออกเสียงพ้องกับคำว่า ศราทธ์ ซึ่งเป็นพิธีส่งดวงวิญญาณขึ้นสวรรค์ของชาวฮินดู กระทำโดยลูกชายของผู้ตายซึ่งมีภรรยาร่วมพิธีด้วย พิธีศราทธ์ แปลว่า พิธีที่ทำด้วยศรัทธา ถือความเชื่อความมุ่งมั่นวิริยอุตสาหะจริงๆ ของญาติผู้ตาย เพราะทำกันลอดเวลา คือ อาจจะทำทุกวัน ในปีแรกแห่งการตาย พิธีนี้ชื่อเรียกอกอย่างหนึ่งว่า สบิณฑนะ คือ พิธีถวายข้าวบิณฑ์ หรือก้อนข้าวสังเวยวิญญาณผู้ตายเมื่อวิญญาณมีกำลังพอที่จะเดินทางไปสู่ปรโลกได้ ชาวฮินดู เชื่อว่าร่างกายของคนตายนั้นสูญสลายไปเสียแล้วเพราะถูกเผาหรือฝัง วิญญาณจึงอยู่ในสภาพเปรต วนเวียนอยู่ตามสถานที่ที่เคยอาศัย ไม่สามารถเดินทางไปสู่ปรโลกได้ เพราะไม่มีประสาทสัมผัส ไม่มีกำลัง ดังนั้นญาติจึงทำพิธีถวายข้าวบิณฑ์ แด่วิญญาณในพิธีศพ 4 ครั้ง และหลังจากวันตายไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ทุกวัน ในวันที่ 11 เป็นพิธีศราทธ์ครั้ง ใหญ่ มีการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญให้ผู้ตาย ญาติพากันสวดวิงวอนให้พระเจ้าช่วยเปรตให้พ้นจากทุกข์ ญาติปล่อยวัวหนุ่มสาวคู่หนึ่ง โดยประทับตราตรีศูล และจัดพิธีแต่งงานให้วัวทั้งคู่ ขอพรจากวัว ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้า แล้วปล่อยไป มีการเลี้ยงอาหารแก่พราหมณ์ 11 คน หลังจากนั้น ญาติก็จะทำพิธีศราทธ์ทุกวันหรือเดือนละ 4 ครั้ง 2 ครั้ง หรือ 1 ครั้ง แล้วแต่ศรัทธา ข้าวบิณฑ์ที่ใช้ในพิธี คือ ก้อนข้าวกลมๆ ขนาดเท่าผลมะตูม 6 ก้อน ทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำนมโคใส่ในใบตองหรือภาชนะ มีจอกน้ำตั้งไว้ด้วย ที่ยกเอาพิธีศราทธ์มาให้รับทราบนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าพิธีศราทธ์ของฮินดูไม่ใช่พิธีเดียวกันกับพิธีสารทของไทย ซึ่งหมายถึงฤดูกาลทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย แต่พิธีสารทไม่ใช่เทศกาล ส่วนพิธีทำบุญให้วิญญาณผู้ตายของฮินดูที่เป็นเทศกาลในช่วงเวลาเดียวกับเทศกาลสารทนี้ก็มี คือ พิธีทำบุญเปตมาส มีขึ้นในวันข้างแรมของเดือนภัทรบท ประมาณเดือนสิงหาคม ? กันยายน เป็นพิธีทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษและสมาชิกครอบครัวที่ตายไปแล้ว มีการสังเวยน้ำแก่วิญญาณผู้ตายในวันดิถี คือ วันทางจันทรคติที่ตรงกับวันตายของผู้ล่วงลับในช่วงเวลาแห่งเทศกาลนี้บางบ้านก็เชิญพราหมณ์มาทำพิธีด้วย จตุปัจจัยที่ใช้เป็นวัตถุสังเวย ได้แก่ เงิน ข้าวสุก นมเปรี้ยว พืชผล ผัก และอาหารคาวหวานอื่นๆ ให้พราหมณ์ และมีการเชื้อเชิญวิญญาณของผู้ตายในรอบปีนี้มาสิงสถิตร่วมกับวิญญาณของบรรพบุรุษอื่นๆ ณ มุมหนึ่งของบ้านด้วย
สำหรับเทศกาลสารทของไทยเอง ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กล่าวถึงพิธีสารทว่า ในวันเพ็ญเดือน 10 เป็นวันเริ่ม ?พระราชพิธีภัทรบท? พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จออกวัดหน้าพระธาตุ ทรงอังภาสพระภิกษุสงฆ์ด้วยข้าวมธุปายาสยาคุ ทรงบูชาพระรัตนตรัยด้วยพวงมาลาและธงหลากสี ทรงถวายอัฐบริขาร และกิลานเภสัช แด่พระภิกษุสงฆ์ แล้วทรงอุทิศพระราชกุศลแด่พระญาติที่ล่วงลับ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเช่นนี้เป็นเวลา 3 วัน ในวันที่ 3 เสด็จเทวาลัยของพราหมณ์ ทรงเสี่ยงพราหมณ์มากกว่าร้อยคน ด้วยข้าวมธุปายาสและยาคู เป็นเวลา 2 วัน ทรงถวายผ้าสาฎกแด่พราหมณ์ทุกคน ส่วนสาธุชนชาวพระนครก็ปฏิบัติพิธีสารท ทำนองเดียวกับพระราชพิธีภัทรบท ทั้งพิธีพุทธและพิธีพราหมณ์ เป็นที่น่าสังเกตว่า พิธีภัทรบทของชาวสุโขทัยโบราณมีลักษณะคล้ายกันกับพิธีเปตมาของชาวฮินดูในอินเดียในปัจจุบันนี้มาก จึงพอสรุปได้ว่า พิธีภัทรบทได้เค้ามาจากพิธีเปตมาสเช่นเดียวกับพิธีจองเปรียงของชาวสุโขทัยโบราณ ได้เค้ามาจากพิธีปวาลีของชาวฮินดูนั่นเอง
เทศกาลสารทไทย เป็นเทศกาลที่มีปฏิบัติกันในภาคกลาง ส่วนภาคที่มีพิธีคล้ายๆ กัน เช่น ?กิ๋นก๋วยสลาก? ในภาคเหนือ ?บุญข้าวประดับดิน?และ?บุญข้าวสาก? ในภาคอีสาน ?บูชาข้าวบิณฑ์? ในภาคใต้ สำหรับพิธีสารทของไทยภาคกลางมีขึ้นในวันสิ้นเดือนสิบ ชาวบ้านจะนไอาหารคาวไปเลี้ยงพระ ส่วนอาหารหวานมีแต่กระยาสารทกับกล้วยไข่เท่านั้น มีการตักบาตรธารณะ คือ ชาวบ้านใส่บาตรด้วยกระยาสารทห่อด้วยใบตองกับกล้วยไข่ แต่บางแห่งก็จะไม่แยกกัน คงใส่ข้าวรวมลงในบาตรด้วย เมื่อพระฉันข้าวเช้าเสร็จก็ฉันกระยาสารทเป็นของหวาน และฉันกล้วยไข่กลั่วคอไปด้วย พระยาอนุมานราชธนเล่าไว้ว่า เมื่อสมัยก่อนเมื่อใกล้ถึงวันสารท ชาวบ้านทุกบ้านก็กวนกระยาสารท โดยมีส่วนผสมของข้าวเม่า ข้างตอก ถั่ว งา มะพร้าว และน้ำตาล กวนให้เข้ากันบนเตาไฟจนเหนียวเป็นปึก เมื่อเย็นลงจะกรอบ แล้วห่อด้วยใบตองเป็นห่อๆ เพื่อนำไปตักบาตรและแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน ถ้าจะให้กระยาสารทเหนี่ยวดีก็ใส่แบะแซ (น้ำผึ้งขาว) เข้าไปด้วย เหตุการณ์ในอดีเกี่ยวกับเทศกาลสารทนี้ถูกพรรณนาไว้อย่างเพราะพริ้งในนิราศเดือนว่า?.
ถึงเดือนสิบเห็นกันเมื่อวันสารท ใส่อังคาสโภชนากระยาหาร
กระยาสารทกล้วยไข่ใส่โตกพาน พวกชาวบ้านทั่วหน้าธารณะ
เจ้างามคมห่มสีชุลีนบ แล้วจับจบทัพพีน้อมศีรษะ
หยิบข้าวของกระยาสารทใส่บาตรพระ ธารณะเสร็จสรรพกลับมาเรือน
สำหรับวันสารทของชาวสุรินทร์จะมีความแตกต่างออกไป คือวันสารท ชาวสุรินทร์ เรียกว่า ?แขเบ็ณฑ์? ถือว่าเป็นพิธีสำคัญสำหรับชีวิต สำหรับเดือนสิบชาวสุรินทร์เรียกว่า ?แขพ้อดระบ็อด? เพี้ยนจากคำว่า ?ภัทรบท? เช่นกัน จุดประสงค์ คือการทำบุญและรำลึกถึง และการแสดงกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวสุรินทร์เชื่อว่า ปู่ ย่า ตา ทวด ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ถ้ายังไม่ได้เกิดที่อื่น วิญญาณจะยังคงอยู่รักษาดูแลทุกข์สุขของลูกหลาน หรือบางทีไปเกิดเป็น ?ปรทัตตูปชีขีเปรต? คือ เปรตที่อยู่ด้วยบุญกุศลที่บรรดาญาติอุทิศไปจากโลกนี้เป็นอาหาร
กำหนดงาน
ขึ้น 15 ค่ำ ? แรม 15 ค่ำ เดือน 10 สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ที่ //www.tat.or.th/festival
กิจกรรม / พิธี
พิธีสารทหรือพิธีเบ็ณฑ์นี้ แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ สารทเล็กและสารทใหญ่ เรียกว่า เบ็ณฑ์ตูจและเบ็ณฑ์ธม เบ็ณฑ์ตูจตกในวันขึ้น 15 ค่ำ ถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันที่ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนต่างจัดแจงเตรียมงานอย่างจริงเอาจังทีเดียว ชาวบ้านจะพากันไปวัดทุกๆ วัน ตลอด 15 วัน ทางวัดก็จัดให้มีการเทศน์ และตอนเย็นพระก็เจริญพระพุทธมนต์ แต่ละครอบครัวล้วนแต่มีตัวแทนไปวัด ทั้งนั้นตอนนี้คนแก่ก็สนทนาธรรมะ หนุ่มๆ สาวๆ ก็จะฉวยโอกาสตอนนี้พบปะสังสรรค์
การไปร่วมงานที่วัดในระยะนี้ บรรดาพ่อบ้านแม่เรือนจะพากันถือศีลอย่างเคร่งครัด บางคนรับศีล 8 หรือศีล 5 ก็ได้ตามศรัทธาและโอกาส ชาวสุรินทร์เรียกว่า ?กันซง? (กัน คือ ปฏิบัติ ถือ ซง คือ พระสงฆ์) รวมแล้วหมายถึง การปฏิบัติพระภิกษุสงฆ์นั่นเอง
สำหรับประเพณีกันซงนี้ พระเณรในวัดจะลงศาลาทุกวัน แล้วจัดเวรกันตั้งแต่พระเถระจนถึงสามเณรมาให้ศีล บางครั้งก็จะจัดเวรกันเทศน์ตามลำดับ เป็นวิธีการที่ดีประการหนึ่งที่จะฝึก พระ เณรในอันที่จะแสดงออกและทำประโยชน์ให้แก่สังคม ในการเผยแพร่ศาสนา
ในตอนค่ำนับจากวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หากผ่านไปที่เมืองสุรินทร์จะได้ยินเสียงกลองชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกลองยาว 2 ลูก ตีประโคม ณ สถานที่ชุมนุม เสียงไพเราะ เรียกกลองนี้ว่า ?สะกวรเบ็ณฑ์? คือ กลองสารทนั่นเอง จะตีกลองนี้ได้ก็ในเดือนสารทเท่านั้น เมื่อสิ้นเทศกาลก็จะเลิกตี บางทีก็มีสังคีตดีดสีตีเป่าขับประโคม มีเครื่องเป่าชนิดหนึ่งเรียกว่า ?แป็ยฮังโกง? เป็นปี่ที่ทำด้วยไม้รวกเสียงทุ้มประสานเสียงกับปี่เล็ก (แป็ยเยียล) และบิณ (ตรัว) มีลักษณะเหมือนกีตาร์ เสียงไพเราะจับใจมาก ในยามดึกสงัดเมื่อได้ยินเสียงดนตรีเหล่านี้แล้วก็จะรู้สึกซาบซึ้งวิเวกวังเวง เป็นเสียงคล้ายเชิญชวนชาวบ้านว่า ?มาถือถึงเดือนสารทแล้ว มาทำบุญกันเถิด?
ครั้งถึงแรม 14 ค่ำ เมื่อได้บำเพ็ญวัตร หรือ กันซง สิ้นสุดลงแล้วก็ถึงวันสุกดิบ อันเป็นวันที่สำคัญยิ่ง ทุกบ้านจะจัดเตรียมข้าวต้มและอาหารคาวหวานอื่นๆ เพื่อสังเวยเซ่นสรวงดวงวิญญาณของบรรพชนและนำไปวัดในวันรุ่งขึ้นต่อไป ต่างก็ตระเตรียมสิ่งของต่างๆ มีภาชนะสำหรับใส่ของ ภาชนะนั้นก็ต้องเลือกที่สวยงามมีค่า เช่น ถาดเงิน ขันเงิน พานเงิน หรือถาดทองสำริด แต่โดยทั่วไปแล้วมักใช้กระเชอซึ่งสานด้วยไม้ไผ่ เรียกว่า ?กันเจอโดนตา? แล้วก็ตกแต่งสำรับอันมีผลหมากรากไม้ อาทิเช่น เผือก มัน สาคู อย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ที่ขึ้นหน้าที่สุดก็คือ ข้าวต้มและกล้วยเกือบทุกชนิด ข้าวต้มของชาวสุรินทร์นั้นห่อด้วยใบมะพร้าวอ่อน บางทีก็มีกล้วยน้ำว้าและถั่วเป็นไส้ มีความยาว 7-8 นิ้ว ชาวสุรินทร์ เรียกว่า ?อันซอมหรืออันซอมเบ็ณฑ์? คือ ข้าวต้มในเดือนสารทนั่นเอง แต่ละครอบครัวทำเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อนำไปถวายพระแล้วเลี้ยงกันเองในครอบครัว (ในชนบทไม่นิยมทำกระยาสารทกัน)
นอกจากเครื่องเซ่นดังกล่าวแล้วก็มีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขาดเสียไม่ได้ คือ ?บายเบ็ณฑ์? หรือก้อนข้าวนั่นอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ?บายบัตรโบร? จากศัพท์สันสกฤตว่า บัตรบรม ซึ่งหมายถึงก้อนข้าวที่จะเป็นเครื่องเซ่นแก่บุรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว บ้างปั้นเป็นก้อนรวมกับถั่วงา ก้อนใหญ่ประมาณเท่ากับลูกหมากแล้วฝังเหรียญ 50 สตางค์ หรือเหรียญสลึงพอให้แลเห็น เหรียญนี้จะนำไปถวายพระต่อไป ก้อนข้าวนั้นไม่แน่นอนนัก บางคนก็ใช้ 49 ก้อน โดยถือตามที่นางสุชาดา ปั้นถวายพระพุทธเจ้า แต่บางทีก็มากหรือน้อยกว่านั้นก็มี ทั้งนี้แล้วแต่ฐานะของครอบครัว และก้อนข้าวนี้จะใส่รวมกับของสังเวยอื่นๆ เพื่อเอาไปให้พระสวดรัตนสูตร ระงับโรคภัย แล้วก็เอาก้อนข้าวทั้งหมดนี้ไปทิ้งตามท้องนาของตน เพื่อให้มดและปลากิน โดยถือกันว่าเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนาให้งอกงามสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังกล่าวคำอุทิศแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วซึ่งเป็นส่วนแห่งเปรตพลีอีกโสดหนึ่งด้วย
งานที่วัด ในยามเย็นวันนี้ กลองใหญ่ที่วัดจะกระหึ่มเสียงก้องกังวานไปทั่วหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาฟ้ากว้างอันเต็มไปด้วยต้นข้าว ซึ่งกำลังงอกงาม หลังจากเสียงกลองที่วัดได้เงียบลงไป กลองสารทที่บ้านก็ประดังเสียงกึกก้อง ชาวบ้านทั้งผู้เฒ่าและหนุ่มสาวต่างพากันไปแห่พนมหมากที่วัด การแห่พนมหมากหรือเรียกว่า ?แห่ผกา? แห่กันเป็นหมู่ แต่ละหมู่บ้านก็แห่ไปตามหมู่บ้านของตนไปทุกๆ หลังคาเรือน ไปถึงหน้าบ้านใครก็ต้อนรับ แสดงความดีอกดีใจเลี้ยงกันตามฐานะ นอกนั้นก็บริจาคจตุปัจจัยไทยธรรม ครั้นได้แห่ไปทั่วแล้วก็แห่ไปรวมกันที่วัด ณ ที่นั้นก็นิมนต์สมภารวัดขึ้นธรรมาสน์ ทำคานหาม แห่นำขบวนโดยรอบโบสถ์การแห่นี้ก็มีการร่ายรำทำเพลงสนุกสนานรื่นเริง ดอกไม้สำคัญที่ประดับเข้าไปในขบวนแห่ คือ ?ดอกกัลปพฤกษ์? ซึ่งในหน้านี้จะบานสะพรั่งไปทั่วท้องทุ่งอันเวิ้งว้าง
ยามพลบค่ำในวันแรม 14 ค่ำนี้ ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ทุกคนในครอบครัวจะต้องกลับมาถึงบ้านก่อนประกอบพิธีเซ่นสรวง และต้องมาพร้อมหน้ากันในวันนี้ เมื่อทุกคนกลับจากการทำงานพร้อมกันแล้ว แต่ละครอบครัวก็ไปนั่งพร้อมเพรียงกัน ณ สถานที่จัดเซ่นวิญญาณของบุรพชน โดยถือว่าวิญญาณของปู่ ย่า ตา ทวด ท่านได้มานั่ง ณ เบื้องหน้าลูกหลานพร้อมแล้ว ทุกคนตั้งแต่พ่อบ้านต่างนั่งคุกเข่า ถ้ามีธูปเทียนก็จุดแล้วกราบลงครั้งหนึ่ง พ่อบ้านหรือผู้ปกครองในบ้านนั้นกล่าวขอขมาลาโทษต่อบรรพบุรุษทั้งหลายมารับเซ่นสรวงสังเวย เมื่อเซ่นสรวงสิ้นสุดลงแล้ว บางทีผู้ใหญ่ในตระ***ลนั้นๆ ก็อบรมสั่งสอนลูกหลาน ของตนให้ประพฤติชอบให้มีมารยาทเป็นระเบียบเรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนโยน และให้ตั้งตนอยู่ตามฐานะ ในเย็นวันนี้บางที่ก็จะเลี้ยงกันสนุกสนานเฮฮา
รุ่งขึ้นทำพิธี ?จะโดนตา? ที่วัด เสียงระฆังวัดประสานกับกลองใหญ่ก้องกังวาน ท่ามกลางความมืดในย่ำรุ่งของวันแรม 15 ค่ำ อีกวาระหนึ่ง เพื่อให้พระลงทำวัตรสวดมนต์เช้า และปลุกชาวบ้านให้ เตรียมตัวไปประกอบพิธีเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษที่วัดอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่หนุ่มสาวต่างพากันหาบหิ้วสิ่งของของตนไปวัดก่อนรุ่งอรุณ เอาของเซ่นเมื่อค่ำวานนี้ไปทั้งหมด ไปทำพิธีที่วัดอีกครั้งหนึ่ง ครั้งถึงวัด แล้วแบ่งข้าวของออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งไว้ถวายพระ และอีกส่วนหนึ่งไว้เซ่นวิญญาณบรรพบุรุษ
พิธีจะโดนตานั้น คำว่า จะ แปลว่า เท โดนตา แปลว่า ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ บรรพบุรุษ คงหมายความว่า วันนี้เทกระจาดกระเชออุทิศให้คุณตาคุณยายทีเดียว ขณะที่พระสงฆ์กำลังทำวัตรในพระอุโบสถชาวบ้านก็ถือสรรพสิ่งที่แบ่งเพื่อเซ่นนั้น ประทักษิณรอบอุโบสถ ครั้นได้เวลาสางซึ่งเป็นเวลารุ่งอรุณ (ชาวบ้านเรียกว่า ?ประเฮียม เยียกชะโงก? ถือว่าเป็นวันและเวลาที่บรรดาวิญญาณของบรรพบุรุษของตนมองดู หรือค้นหาญาติมิตรหรือลูกหลานของตนว่า ได้มาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ตนบ้างหรือไม่ เชื่อกันว่า วิญญาณบรรพบุรุษ หรือ ?โดนตา? ถ้ามาในวันนั้นไม่เห็นลูกหลานหรือพี่น้องของตนมาบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เหมือนคนอื่นแล้ว ก็จะเที่ยวร้องไห้คร่ำครวญไปเจ็ดวันเจ็ดคืน และเมื่อไม่พบญาติของตน ไม่ได้กินข้าวปลาอาหารก็จะ ซูบผอมกลับไปเสวยวิบากกรรมของตนต่อไป เมื่อประทักษิณแล้วก็เอาของเหล่านั้นไปเทรวมกัน ณ สถานที่ ที่จัดไว้ซึ่งถือเป็นการเสียสละและรำลึกถึงบุญคุณของบุพการี อันเป็นการแสดงออกซึ่งกตัญญูกตเวทิตาธรรม อีกด้วย จะทำพิธีนี้ได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว อันเป็นเวลาแสงเงินแสงทองต่อกัน เรียกเวลานี้ว่า ?เงียเลีย ประเฮียม?
เมื่อได้นำของไปถวายและได้รับศีลรับพรพระแล้ว กลองสารทก็เริ่มดังเป็นจังหวะอีกครั้งหนึ่ง ณ ลานวัด ทุกคนจะรู้แก่ใจว่า ?ดูมวยวัดกันเถิด? มวยในวันนี้เรียกว่า ?ดัลเบ็ณฑ์? (ดัล คือ ชก, มวย) โดยเอาลานวัดเป็นเวที ได้เปรียบคู่ตั้งแต่เย็นวานนี้ หลังจากแห่พนมหมากหรือแห่ผกาแล้ว แต่บางที่ถ้าเปรียบคู่แล้วก็ขึ้นชกในทันที เรียกชกในครั้งนี้ว่า ชกถวายพระหรือจะถือว่าให้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษชมก็ได้ แต่ชกไม่เกิน 3 ยก เป็นการประลองผีมือกันเพื่อความรื่นเริง บางที่ก็เป็นมวยประเภทศึกชิงนางก็มี คือ ได้โกรธเคืองแค้นกันมานาน ตั้งแต่ตรุษสงกรานต์ในเรื่องชิงนางกัน ถ้าเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงผู้ใหญ่เข้าก็จะจับตัวมาลองดีกันวันนี้เพื่อให้คนรักชมว่าใครดีกว่าใคร ครั้นการชกได้สิ้นสุดลงแล้ว กรรมการหรือผู้เป็นประธานในที่นั้นก็จะให้คืนดีกัน แนะนำพร่ำสอนไม่ให้ทะเลาะวิวาทกันเพราะเหตุแห่งสตรี บางที่มีมวยคู่สูงอายุ เป็นมวยชั้นครู ผู้เปรียบคู่ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คือ อายุต้อง 40 ล่วงแล้ว หน้าผากค่อนข้างกว้าง กติกาการชกต้องใช้หัวเท่านั้นความจริงไม่ใช่ชกแต่ ?ชน? ห้ามใช้มือและเท้า เป็นที่น่าเสียดายมวยรุ่นนี้บัดนี้หายากเสียแล้ว
เมื่อเสียงหัวเราะแสดงความรื่นเริงค่อยๆ สงบลง กลองสารทก็ลดเสียงลงเป็นลำดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบลงตามเดิม นั่นเป็นเครื่องหมายว่าสารทหรือแขเบ็ณฑ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว คงเหลือแต่ข้าวต้มกองใหญ่ ซึ่งเป็นหน้าที่เด็กวัดจะช่วยกันจัดการต่อไป







Create Date : 18 สิงหาคม 2551
Last Update : 1 กันยายน 2551 20:30:19 น. 3 comments
Counter : 812 Pageviews.

 

แวะมาเจิมขอบคุณที่นำสิ่งดีดีมาฝากค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักกันเน๊าะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 18 สิงหาคม 2551 เวลา:15:45:43 น.  

 
เกิ๊ดมนึ๊เสร็นโมเลิงสามเซิ๊บชนัมเฮยเตือบตาเด่ง ถาเบ็ญเวียโมปียังนา ยิ๊ เวียยังแจ๊ะแองเตอนอ เตือบตาเด่งเต่อนิ๊


โดย: R-Kapi IP: 119.31.115.146 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:21:22:56 น.  

 
ที่เกาหลี ก็มีงานคล้ายๆๆ งานโฎนตาสุรินทร์ บุรีรัมย์ จัดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แต่ที่เกาหลีจะเป็นวันหยุดยาว ทุกคนในครอบครัวอยู่ไกล้ไกลไปทำงานที่ใหนก็จะกลับบ้าน มีการทำบุญอุทิศให้ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ ล่างลับไปแล้ว และเลี้ยงฉลองในบรรดาญาติมิตร และรัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดด้วย ทำคล้ายๆๆงานโดนตามาก เป็นเทศกาลที่สำคั
ญมากของเกาหลี


โดย: บุรีรัมย์ ในต่างแดน IP: 123.208.146.68 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2552 เวลา:3:38:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ตาแหยม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนอีสานใต้ ที่มีความรักและหลงไหลในประเพณีและ วัฒนธรรม ท้องถิ่นอีสาน แม้จะเข้ามาทำงานที่เมืองกรุงเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เคยลืมกลิ่นโคลนสาบควาย
Friends' blogs
[Add ตาแหยม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.