บ้านเล็กหลังนี้เป็นที่อยู่ของสองลุงป้า (ป้ายายกับลุงหนอม)
ในที่สุดเลือกมาเชียงใหม่ พอดีช่วงนั้น ค่าเงินบาทลด หนังสือที่ทำปิดตัวทีละเล่ม ภายในเดือนเดียวมันปิดตัวหมด เออ...ดีจะได้หมดเวรหมดกรรมกันไป เพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้โงหัวขึ้นมาเลย ทำหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นรีไรเตอร์ เริ่มงานช่วงบ่าย กว่าจะเสร็จงานสี่ห้าทุ่ม อยู่เวรข่าวก็เที่ยงคืน กลับมานอนอีกทีตีหนึ่งตีสอง ชีวิตง่วงนอนตลอดเวลา นอกจากรีไรท์ข่าว เขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์รายวันทุกวัน ยังต้องเขียนคอลัมน์ให้หนังสือฐานสัปดาห์วิจารณ์รายสัปดาห์ หนังสือจันทร์รายเดือน ”
ในช่วงนั้น กล่าวได้ว่า แพร จารุ เป็นหนึ่งในนามปากกาของนักเขียนหญิงที่มีชื่อประดับอยู่ตามหน้ากระดาษต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสาร มีผลงานเขียนหลายประเภทที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงอยู่เสมอ ทั้งในหน้าวรรณกรรมวิจารณ์ บทแนะนำหนังสือ รายงานความเคลื่อนไหวในแวดวงวรรณกรรม รวมถึงการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนหลายฉบับ
ผลงานเด่น เช่น วรรณกรรมเยาวชน เรื่อง มานะกับอาม่า และ แผ่นหลังพ่อ (ได้รับรางวัลประเภทบันเทิงคดีจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ) รวมเรื่องสั้น ชุด ไก่ป่ากับกรงเมือง สร้อยฟางหญ้า นอกหน้าต่าง เป็นต้น นวนิยาย เพื่อน ชีวิตนี้ต้องเดินต่อไป รวมบทความ ชุด ผู้หญิงคิด เป็นต้น
ดวงตา วรรณศิลป์ แห่งหนังสือพิมพ์มติชนยังเคยกล่าวถึง แพร จารุไว้ในคอลัมน์ คนเขียนหนังสือ มติชนสุดสัปดาห์ ว่าเป็น “นักเขียนแนวอัตถนิยม มีพลังที่มุ่งมั่นกับการเขียนหนังสือ บนเส้นทางวรรณกรรมที่มีเป้าหมายมิใช่วรรณกรรมอันมากด้วยอารมณ์
“ ที่ดวงตา วรรณศิลป์ เขียนถึง มันนานมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่ เขียนหนังสือช่วงแรก ๆ มี แผ่นหลังพ่อ กับ มานะและอาม่า ออกมา ดวงตาเขาก็เอาไปเขียนให้กำลังใจนักเขียนใหม่ ถึงตอนนี้เขาอาจจะไม่คิดอย่างนั้นแล้วก็ได้
ช่วงนั้นเป็นช่วงรู้สึกเริ่มรุ่งเรือง เป็นความรู้สึกแบบเด็ก ๆ แต่ความรู้สึกนั้นก็ดีมีพลังเหมือนกันสร้างพลังได้เหมือนกัน คือหลังจากนั้นก็มีหนังสือรวมเล่มออกมาปีละสองเล่มสามเล่มอยู่หลายปี
ทำงานหนักมาก มีวันหยุดอาทิตย์ละหนึ่งวัน แต่ต้องเขียนงานส่ง และไม่ได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์ เพราะไม่มีครอบครัว วันเสาร์หรืออาทิตย์เขาไว้สำหรับคนมีครอบครัว
ตอนนั้นไม่คิดจะลาออก ไม่คิดจะหยุด เพราะคิดว่าเราเป็นคนสำคัญของงาน ขาดเราไม่ได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ตลกมาก อย่าว่าแต่งานเลย โลกนี้ขาดใครไปสักคนก็ไม่เป็นไรด้วยซ้ำ ”
หนังสือเล่มนี้ชื่อ โฮ่ง โฮ่งโอ่ง ชีวิตหมา ๆ
ผลของการหักโหมกับงานเขียนหลากหลายคอลัมน์และงานประจำในเวลาเดียวกันด้วยวัยที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์และในฐานะสาวโสดที่เต็มไปด้วยอิสรภาพเต็มมือ ก็คือ
เกิดอะไรขึ้นไม่รู้อยู่ ๆ ก็ไม่สบายขึ้นมา เริ่มจากปวดหัวเข่า และวิตกจริต คิดว่าตัวเองจะตาย เป็นมะเร็งแน่ ๆ เป็นโรคอื่นไม่ได้เพราะพ่อตายด้วยมะเร็ว ก็เลยคิดว่าต้องตายเหมือนพ่อแน่ มันเป็นภาพติดตา ติดอยู่ในความรู้สึก ติดอยู่ในหัวใจ เพราะอยู่กับพ่อที่นอนป่วยด้วยโรคมะเร็งยาวนาน ก็คิดว่าตัวเองจะตายแน่ คิดว่าจะเป็นมะเร็งที่หัวเข่า ก็เลยไปตรวจที่โรงพยาบาลข้าง ๆ สะพานที่นวลฉวีถูกเอาไปทิ้ง
ตอนนั้นคุณบัว ปากช่อง (นักเขียน)นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล คุณอรสม (อรสม สุทธิสาคร นักเขียนสารคดี) เธอฝากเงินไปให้ลุงบัว ก็เอาเงินไปให้ลุงบัว ยิ่งเห็นสภาพลุงป่วยยิ่งใจเสีย
พอไปตรวจหมอบอกว่า เพราะมีช่องว่างที่กระดูกหัวเข่า ช่องว่างทำให้เกิดหินปูน และบอกว่าผ่าตัดได้แต่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์อาจพิการ
เอ้า ! แล้วฉันจะผ่าทำไมกัน ฉันได้ยาสีสวยมาหลายขนาน และหมอบอกให้ไปซื้อที่ใส่หัวเข่า แต่ฉันไม่เอา พอกลับมาถึงบ้านก็ตัดสินใจมาเชียงใหม่ เพราะคิดว่า ช่วงสุดท้ายจะมาอยู่กับคนที่เรารัก ตอนนั้นยังคิดเรื่องตายอยู่ แบบกลัวความตาย”
“มันเป็นเรื่องตลกก็คือว่า ตอนป่วยนั้น กินยาไปครั้งเดียวเหมือนยาวิเศษ แต่ความจริงไม่ใช่หรอก เราเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเอง เปลี่ยนสภาพอากาศ และพอดีช่วงนั้นเรามาเช่าบ้านอยู่ใหม่ ๆ
อยู่บ้านในชนบท และเราไม่มีรถใช้สักคัน ต้องเดินออกจากบ้านมาที่ถนนไกลมากประมาณสองกิโลเมตร ไปไหนมาไหนก็ต้องเดิน ถ้าเข้าเมืองก็นั่งรถประจำทาง ในตัวเมืองเชียงใหม่ค่ารถในเมืองแพง เราก็ใช้วิธีเดิน ถ้าไม่ไกลมาก เราว่าการเดินเป็นวิถีที่พอดีนะ
สลับกับไปอยู่แม่แจ่ม เมืองกลางหุบเขา ต้องข้ามผ่านดอยอินทนนท์ไปอีกฝากหนึ่ง ชีวิตที่นั่นไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย มีเกสเฮ้าส์กลางทุ่งนา มีข้าวกินสามมื้อจากร้านอาหารชั้นดีที่คุณถนอม(ถนอม ไชยวงศ์แก้ว เพื่อนชีวิต)ไปเล่นดนตรีที่ร้านหนึ่ง เขามีสวัสดิการพร้อม
ชีวิตที่หลุดออกมาจากสังคมเก่า ๆ รู้สึกโล่งสบายมากที่ไม่ต้องรับข่าวสารใด ๆ ไม่ต้องอ่านข่าวหรือคอลัมน์วรรณกรรม ชีวิตที่เปลี่ยนไป การเดินด้วยเท้าและการใช้ชีวิตสบาย ๆ เราคิดว่า มันทำให้อาการปวดเข่าที่ว่าหายไป และมันไม่กลับมาอีกเลย จนลืมไปเลยว่าเคยปวดหัวเข่ามันหายไปตอนไหนไม่รู้
หนังสือหายากไม่มีขายแล้วเช่นกัน
ช่วงสุดท้าย”ที่เหมือนการเริ่มต้นวิถีชีวิตใหม่ในดินแดนภาคเหนือซึ่งศิลปินและนักเขียนจำนวนหนึ่งเลือกมาพำนักอาศัยและทำงาน เช่นเดียวกับแพร จารุ นับเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลให้วันนี้ ชื่อของแพร จารุ กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นพลังขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคม
เช้านี้มีงาน กลุ่มเยาวชนรักษ์เหมืองฝาย เขาไปทำงานกัน ก่อนที่เหมืองฝายจะถูกริ้อทิ้ง เพื่อการท่องเที่ยวล่องเรือสำราญ เตรียมจะรื้อตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ พ่อดีน้ำท่วมเมืองก็เอาเหตุผลนี้มาอ้าง รัฐบาลนี้ก็คงเช่นกัน
ฝายทดน้ำ ภูมิปัญญาเก่าแกของล้านนา และไม่ใช่แก่อย่างเดียวนะ ยังใช้งานได้ ทดน้ำไปใช้กับนาไร่ แถวลำพูน เชียงใหม่ เป็นความมั่นคงด้านอาหาร แต่หลายรัฐบาลมาแล้ว อยากจะทุบ
ความผิดของมันเพียงแต่ว่ามันขวางลำน้ำ ล่องเรือสำราญผ่านไม่ได้เท่านั้นเอง ตอนนี้ฉันทำสารคดีเรื่อง “เมืองแม่น้ำในหุบเขา”
นอกจากสารคดีเรื่องล่าสุดคือ “เมืองแม่น้ำในหุบเขา” แพร จารุ เล่าว่า ยังมีงานอีกหลายเรื่องที่กำลังเขียนอยู่
“ก็เขียนไปเรื่อย ๆ เพราะมีอาชีพเป็นคนเขียน หรือเกิดมาเพื่อเขียนหนังสือ ช่วงหลังเราเขียนสารคดีมากขึ้น แต่ไม่ใช่สารคดีท่องเที่ยวเหมือนเก่า
สารคดีเปลี่ยนไปแล้ว หรือทำหน้าที่ได้มากขึ้น สารคดีรับใช้สังคมมากขึ้น
มีหนังสือเด็ก ๆ อยู่เล่มหนึ่งทำที่เชียงใหม่ ชื่อ เพื่อนเด็ก ฉันเขียน เป็นวรรณกรรมเยาวชน เรื่อง “ไลลาน่ารัก” เขียนเรื่องหลาน ๆ เด็ก ๆ ที่นี่ ทางกองบรรณาธิการเขาเอาไปทำเป็นการ์ตูนภาพ หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางขาย ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นค่ะ
สรุปก็คือว่า ยังเขียนอะไรต่ออะไรอยู่ทุกวัน
ในวันที่ผู้เขียนไปพบเธอที่เชียงใหม่ ได้เห็นบทบาทสำคัญอย่างหนึ่ง ของ แพร จารุ คือเป็นที่ปรึกษาโครงการนักข่าวเยาวชนเพื่อสิ่งแวดล้อม
“โครงการนี้เริ่มจากว่า เรามองเห็นว่า ในจังหวัดเชียงใหม่มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และผลกระทบจากการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอยู่มาก เช่นสิทธิในการปฏิเสธโครงการของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนบ้านตัวเอง และเรามองว่า ช่องทางสื่อคือช่องทางหนึ่งในการเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐาน และการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง
เป็นโครงการหนึ่งของ ภาคีคนฮักเจียงใหม่ และมีมูลนิธิไทยรักษ์ป่า สนับสนุนการทำงาน ฉันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการผลักดันโครงการ และเป็นที่ปรึกษาโครงการนี้ เราไม่ได้หวังว่า เด็ก ๆ จะเติบโตเข้าไปมีอาชีพเป็นนักข่าว แต่รู้ช่องทางข่าว ช่องทางการเรียกร้องสิทธิ
ก็มีการฝึกทำข่าวจริง ๆ จากนักข่าวมืออาชีพในจังหวัดเชียงใหม่นับสิบคน แบบเข้าค่ายกินอยู่ที่อุทยานดอยสุเทพ-ปุย เด็ก ๆ 30 คน จากสามโรงเรียนในเมืองเชียงใหม่ แบ่งเป็นกลุ่ม คือหนังสือพิมพ์ กับกลุ่มวิทยุ หลังจากผ่านการฝึกอบรมแล้ว ก็ตั้งเป็นศูนย์ข่าวเยาวชนฮักเจียงใหม่
มีการฝึกงานกันจริง
ชีวิตก็เข้าสู่ปกติ เขียนงานไปลงหนังสือส่วนกลาง เขียนไปบ้าง หยุดไปบ้าง ไม่มีอะไรพิเศษ”
แพร จารุ กล่าวถึงงานเขียนตัวเองว่า “ไม่มีอะไรพิเศษ” ขณะที่กลุ่มเพื่อนฝูงในแวดวงวรรณกรรมบางคนในเมืองเชียงใหม่กระซิบว่า เวลานี้แพร จารุ กลายเป็นนักเขียนเมืองใต้ที่ไปทำงานสร้างสรรค์เมืองเหนืออย่างเงียบ ๆ ในหลายด้าน นอกจากการเขียน
“ช่วงหลังเชียงใหม่มีโครงการแมกกะโปรเจค เริ่มจากโครงการสร้างกระเช่าขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว พวกนักเขียนเมืองเหนือก็รวมตัวกันไปช่วยงานพวกเอ็นจีโอในพื้นที่ ก็ช่วยแบบช่วยเขียน ตีฆ้องร้องป่าว และทำหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า เดือนเต็มดวงที่ดอยหลวงเชียงดาว
หนังสือเพื่อส่วนรวมยังหาซื้อไปอ่านได้ค่ะ
นักเขียนสิบกว่าคนที่เขียนเล่มนี้ และพวกศิลปินก็ทำเพลงชื่อรักเชียงดาว เชิญนักเขียนจากกรุงเทพมาด้วย คุณสุชาติ สวัสดิศรีก็มา ได้มวลชนเยอะ
ต่อมาก็มีงานของภาคีคนฮักเจียงใหม่ เป็นการรวมตัวของคนในเมืองเชียงใหม่ ทั้งพวกที่เกิดเชียงใหม่และมาอยู่เชียงใหม่ สรุปก็คือพวกรักเชียงใหม่นั่นแหละ
ซึ่งการเข้าไปช่วยงาน เราเข้าไปอย่างนักเขียนคนหนึ่งที่สนใจกิจกรรม เป็นอาสาสมัครไม่เต็มตัว มันก็ไม่ต่างจากเราอยู่กับอาม่า( “อาม่า”เป็นตัวละครมีชีวิตในโลกแห่งความจริงของ แพร จารุ ที่เคยถูกนำมาเขียนถึงในหนังสือชื่อ “มานะกับอาม่า”-ผู้เขียน) ก็ช่วยอาม่าขายของชำ แกะกระเทียม ทำไข่เค็ม หรืออช่วงที่อยู่ทะเลกับชาวประมง เราก็ช่วยชาวเลตากปลาแห้งปลาหมึก ขนของลงเรือให้เขาไปหาปลา(เอามาเขียนเรื่องบ้านในความรัก)
สรุปก็คือเรามาอยู่ที่นี่ก็ช่วยงานเหมือนกันไม่ต่างกัน อยู่ที่นี่เราสามารถช่วยงานได้โดยการเขียน และเราพอจะเขียนหนังสือได้ ก็ช่วยงานโดยการเขียนเท่านั่นเอง มีนักเขียนที่เป็นอาสาสมัครภาคีหลายคน มี อัคนี มูลเมฆ วดีลดา แสงดาว ศรัทธามัน ไพทูรย์ พรหมวิจิตร ภูเชียงดาว และอีกหลายคน
”
หนังสือเก่าไม่มีแล้วค่ะ
<b>ในฐานะคนใต้ที่ไปอยู่เมืองเหนือเช่นเดียวกับนักเขียนชาวใต้อีกหลายคน คิดว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจมาอยู่กันที่นี่
“รุ่นพี่คนหนึ่งเคยพูดว่า เรามาอยู่ที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีการประนีประนอมสูง ซึ่งคงจะจริง แต่ฉันไม่ได้อยู่ในสังคมที่ประนีประนอม อยู่ในส่วนที่ขัดแย้ง เพราะเราอยู่ในสังคมของคนทำงาน พวกนักคิดนักเขียน พวกเอ็นจีโอ แต่มีข้อดีว่าความขัดแย้ง การไม่ประนีประนอมนั้น พวกเขาทำเพื่อส่วนรวมและมีความปรารถนาดีต่อสังคมส่วนใหญ่
เรายังอยู่แบบคนใต้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต กะปิ พริกแกง สะตอลูกเนียง แม่ยังส่งมาจากใต้
หนังสือเก่าไม่มีแล้วค่ะ
ไม่ขาดอะไร สิ่งที่ขาดก็คือทะเล นอกนั้นทุกอย่างมีพร้อม แค่ช่วงหน้าร้อนเชียงใหม่ไม่น่าอยู่ เพราะมีหมอกควันมาหลายปีแล้วเหมือนอยู่ในหนังวิทยาศาสตร์ อย่างไรอย่างนั้น เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองแอ่งกระทะ เมื่อก่อนมลพิษไม่มาก บ้านเรือนน้อย ต้นไม้เยอะ อากาศถ่ายเทได้ สิบปีที่มาอยู่ที่นี้เห็นการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว และไม่มีทิศทาง ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบบ้าคลั่ง การสร้างถนน ขุดอุโมงค์ ทำไนท์ซาฟารี พืชสวนโลก ล้วนแล้วแต่เพิ่มภาระให้เมือง
สรุปก็คือ เดี๋ยวนี้เชียงใหม่ไม่ใช่เมืองน่าอยู่แล้ว ยิ่งช่วงเทศกาล คนเมืองเชียงใหม่เขาไม่ค่อยกล้าออกจากบ้าน สงกรานต์ก็สาดน้ำกันน่ากลัว
ลอยกระทงปล่อยโคมกันสว่างไสว ไม่รู้เมื่อไหร่จะไปติดสายไฟ คนที่การไฟฟ้าบอกว่า เดี่ยวนี้ทำโคมผิด ๆ ใช้ลวดให้ไฟติดนาน ซึ่งถ้าไปติดกับสายไฟฟ้าเมื่อไหร่ไฟอาจจะดับหมดเมืองได้
เพื่อนที่เป็นคนที่นี่จริง ๆ เธอบอกว่าเธอเห็นมาตั้งแต่เล็ก เขาไม่ได้มีไฟสว่างอยู่บนฟ้านะ เขาจุดแค่ให้มันพอไล่อากาศออกจากโคมให้มันลอยขึ้นไป ลอยไปบนฟ้าแบบลอยเคราะห์ ไม่ใช่ลอยกันไปเรื่อย การปล่อยโคมในเชียงใหม่ถือว่ามีปัญหามาก ไม่ใช่ช่วงลอยกระทงก็ปล่อย ตามร้านอาหารปล่อยให้แขกดู
คนที่มาอยู่เมืองนี้และมาเที่ยวก็มาหลอกกันเอง ปล่อยโคม แต่งตัวแบบหลอก ๆ เหมือนหนังจักรวงศ์ ๆ นั่งตามร้านอาหารขันโตก แล้วบอกว่านี่แหละเมืองเหนือ
เคยไปกินขันโตกหรู กับเจ้าของบ้านเจ้าของเมืองด้วย ถามว่า แต่งการแบบนั่นเป็นเมืองหรือเป็นเผ่าไหน ท่านตอบว่า เผ่าลิแก ถามว่านี่อาหารอะไรน้ำพริกอ่องแบบไหน มีกลิ่นเหมือนปลาประป๋องเลยสงสัยใส่ซ๊อสมะเขือเทศ
สิบกว่าปีที่มาอยู่ พบว่าเชียงใหม่เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย ถ้าเป็นคนก็ถูกใช้งานเยี่ยงทาสจนหมดแรงแล้ว หากไม่ให้พักผ่อน ดูแลสุขภาพก็คงตายแหละ”
สำหรับวัยที่นิ่งลง และทำงานเขียนเพื่อเป้าหมายทางสังคมมากขึ้น ความใฝ่ฝันสูงสุดของแพร จารุ ก็คือ
ที่ดอยอินทนนท์ กุล ปัญญาวงศ์ เป็นผู้แอบถ่าย แพรจารุ และถนอม ไชยวงษ์แก้ว
“ฉันว่ายิ่งอายุมากขึ้นความฝันจะเล็กลง หรือว่าความฝันจะหายไป เรื่อย ๆ หรือเรื่องที่เราฝันนั้นเป็นเรื่องใหญ่เกินไป และไม่มีวันจะเป็นไปได้เลย ฉันคิดว่าคนเขียนหนังสือฝันที่จะเห็นสิ่งดีงามในสังคม ฝันที่จะเห็นชีวิตผู้คนอยู่กันด้วยความรัก มีความปลอดภัยในชีวิต อยากเห็นสังคมที่สงบสุข แต่นับวันสิ่งที่เราฝันมันห่างไกลจากความเป็นจริง ดังนั้น ฉันจึงตอบว่า ถึงวันนี้ความฝันอันสูงสุดไม่มีแล้ว”
-------------------------------
ชุดนี้เป็นหนังสือเพื่อส่วนรวมเขียนกันหลายคนค่ะใครบ้างดูชื่อที่หน้าปกได้
Create Date : 18 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 6 สิงหาคม 2552 9:27:56 น. |
|
44 comments
|
Counter : 2967 Pageviews. |
|
เรื่องเพื่อนนะคะ
แต่จำไมได้แล้ว
เพราะว่านานมากๆ
ดีใจจังได้อยู่ใกล้ๆนักเขียน