คนเขียนหนังสือ ชีวิตเบิกบานในการงาน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
17 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 

แม่และฉัน 3 ชีวิตที่มองเห็นสิ่งเลวร้าย






“

ทำไมลูกมองเห็นแต่สิ่งไม่ดี”

แม่พูดกับฉันในเช้าวันหนึ่ง วันที่ฉันไปวัดกับแม่ ซึ่งถือเป็นวันพิเศษมาก ๆ ที่แม่พาลูกสาวไปวัดได้

การไปวัดมันดูรุงรังสำหรับฉันมาก อันดับแรกคือการแต่งเนื้อแต่งตัว ต้องนุ่งกระโปรงให้เรียบร้อย ใส่เสื้อที่ดูใหม่มาก ๆ มันเป็นปัญหาจริง ๆ เพราะฉันชอบใส่เสื้อเก่า ๆ เก่ามากเท่าไหร่ยิ่งดี เสื้อเก่าสวมใส่สบาย

เรื่องการแต่งตัวของฉันเป็นปัญหาระดับครอบครัวเลยแหละ ครั้งหนึ่งมีการสัมภาษณ์ฉันออกรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องการเขียน ช่วงนั้นสำนักพิมพ์ดอกหญ้ารุ่งเรือง มีรายการโทรทัศน์ด้วย

ฉันไม่ได้ดูรายการที่ว่านั้น มันออกสองตอน แต่เมื่อผ่านไปแล้ว ฉันก็ถูกตำหนิมาตามสายมากกว่าสองสายว่า ทำไมไม่ใส่เสื้อที่มันใหม่ ๆ สักหน่อยล่ะ พี่บางคนเห็นด้วยว่าเสื้อยืดสีดำที่ฉันใส่คอย้วยด้วย ฉันรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่ได้พูดถึงหนังสือที่ฉันเขียนหรือเรื่องที่ฉันพูดสักนิด

เอาละ...กลับมาที่วัดก่อนดีกว่า
แม่ประสบความสำเร็จในการพาลูกสาวไปวัด วันพิเศษทางศาสนาอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ลานวัดมีโต๊ะยาววางอยู่พร้อมกับบาตรพระวางเรียง ผู้คนมากมายมาใส่บาตรกัน และจุดเทียน มีที่สำหรับจุดธูปเทียนบูชาด้วย หลังจากนั้นพระก็ลงมานั่งข้าง ๆ บาตร เพื่อนสวดมนต์

“แม่ดูพระรูปนั่นซิ เอาบุหรี่ไปจุดกับเทียนบูชา”

ฉันรีบสะกิดบอกแม่ เมื่อเห็นพระรูปหนึ่งเอาบุหรีไปจุดกับเทียนบูชาก่อนไปนั่งข้างบาตร

แม่พยักหน้ารับรู้ไม่พูดอะไร

“ดูไม่ดีเลยนะแม่ ท่านน่าจะไปสูบให้พ้น ๆ นี่ยังเอาเทียนที่ชาวบ้านจุดบูชามาจุดบุหรี่อีก”

คราวนี้แม่ไม่นิ่งเฉยแล้ว หันว่ามาพูดเบา ๆ แต่เสียงเข้มว่า

“ทำไมลูกถึงมองเห็นแต่สิ่งไม่ดี สิ่งดี ๆ ก็มีทำไมลูกไม่เห็น”

คราวนี้ฉันต้องปิดปากเงียบ นั่งนิ่ง

****************
จบพิธีทางศาสนาแล้ว กลับมาถึงบ้าน ฉันก็เผลอเล่าเรื่องนี้ให้น้องฟังอีก คราวนี้ไม่ได้เล่าเรื่องเดียวเอามาเปรียบเทียบกับเรื่องราวอันเป็นประสบการณ์เก่าด้วย เกี่ยวกับเรื่องเทียนบูชา

เล่าให้น้องฟังว่าครั้งหนึ่งไปเที่ยวบนดอยสูง ในวันนั้นเขาเป็นวันปีใหม่ของชาวมูเซอ เขามีปีใหม่ มีการเต้นจะคึกันทั้งคืน จุดเทียนบูชาเทพเจ้าของเขา

ในระหว่างนั้นมีหนุ่มจากพื้นราบขึ้นไปด้วยมอเตอร์ไชค์ ขับขึ้นไปถึงลานที่เขาเต้นกันอยู่ และเข้ามาในวงพิธีพร้อมกับกีต้าร์ และบอกว่ามาแจมด้วย หนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นและเดินไปที่เทียนบูชาซึ่งอยู่ตรงกลางลานพิธี บนกองดินสูง มีตระกร้าของสำหรับบูชาพร้อม เขาไปจุดบุหรี่ที่นั่น

มันเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่พวกมูเซอเขาถือว่าวันปีใหม่เขาไม่อยากขัดแย้งกับใคร ไม่กล่าวคำหยาบ ไม่ทะเลาะ แต่ดูแล้วพวกเขาโกรธ พ่อเฒ่าคนหนึ่งไปดึงตัวหนุ่มคนนั้นมา และพาไปที่กองไฟที่พวกเขาก่อผิง เหมือนบอกว่าจุดบุหรี่กับกองไฟนี้เถอะอย่าไปจุดที่เทียนบูชา

ฉันบอกพวกเขาว่า ไม่เป็นไรฉันจะพูดให้ เราจึงไปบอกหนุ่ม ๆ ว่า พวกเราต้องเคารพในเจ้าของบ้าน ถ้าจะเล่นดนตรีก็เล่นแบบเขา เป่านอกู่ เต้นจะคึกับเขา เทียนนั้นก็เป็นเทียนบูชา

พวกหนุ่มไม่พอใจและพูดว่า ไม่มีปัญหาเสียผีเป็นหมูสักตัวก็แค่นั้นเอง

พวกเขาไม่พอใจและทำท่าจะนั่งเฝ้าเราซึ่งเป็นผู้หญิงสองคน ในช่วงจังหวะนั้นฉันปวดท้องจะต้องเข้าห้องน้ำขึ้นมาจึงเดินออกมา

ในระหว่างเดินออกมาเพื่อนกระซิบบอกว่าถูกตาม เราจึงเปลี่ยนแผน เดินลัดเลาะจนกลับไปถึงบ้านพัก บ้านหลังเล็กที่ชาวเขายกให้อยู่ชั่วคราว

ในระหว่างที่เรากำลังจะหลับรู้สึกมีคนมาแถว ๆ บ้าน พวกมันตามมาถูก เรารีบหนีด้วยความชำนาญทางที่ต่างกันเราหนีมาถึงลานจะคึ ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เขาจะอยู่กันที่ลานจะคึจนสว่าง ผลัดเปลี่ยนกันมาเป่านอกู่และเต้น

จำได้ว่าหนีไปด้วยใจที่เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ เหนื่อยมาก ๆ และรู้สึกว่าลานจะคึไกลเหลือเกิน เมื่อไปถึงลานจะคึเรานั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ เมื่อหนุ่มน้อยที่เป่านอกู่เห็นก็เดินเข้ามาหา เมื่อเราบอกเขาว่าเราหนีพวกนั้นมา
หนุ่มน้อยคนนั้นพูดอย่างอบอุ่นว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวอยู่กับเรา เราพวกเดียวกัน

คำว่าพวกเดียวกันสะดุดใจมาก ๆ เลยเพราะเราหนีพวกเดียวกันมา พวกที่ไล่ตามเรานั่นแหละพวกเดียวกับเรา และยิ่งรู้สึกความเป็นพวกเดียวที่น่าละอายมากขึ้น เมื่อรู้ว่าที่หนุ่มพวกนั้นที่ตามไปถูกบ้านเพราะ เขาไปถามที่ร้านค้าของคนพื้นราบที่ขึ้นมาเปิดใหม่ ๆ เพื่อขายบะหมี่ซองกับขนมขบเคี้ยวให้เด็ก ๆ เป็นหลัก เขาไปถามร้านค้าว่า สองสาวอยู่บ้านหลังไหน เขาอ้างเป็นพวกเดียวกันตามมา


*************

“ทำไมลูกถึงมองเห็นแต่สิ่งไม่ดี สิ่งดี ๆ ก็มีทำไมลูกไม่เห็น”
ฉันตระหนักถึงถ้อยคำนี้ของแม่

จริงซิ ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นสิ่งดี ๆ ทำไมฉันถึงรับสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่ถูกไม่ควรได้ง่ายนัก หรือสิ่งเหล่านั้นมากระทบกับฉันได้ง่าย

มันเป็นเรื่องน่าเศร้าจริง ๆ ที่ชีวิตมองเห็นสิ่งเลวร้าย
***************





 

Create Date : 17 สิงหาคม 2550
64 comments
Last Update : 23 สิงหาคม 2550 22:43:56 น.
Counter : 1366 Pageviews.

 

คุณแพรคะ เป็นดิฉันก็รับไม่ได้เหมือนกันแหละค่ะ
พระที่ทำตัวไม่ดีเนี่ย น่ารังเกียจที่สุด
ดิฉันจะมองจ้องให้รู้สึกทุกที แหะๆไม่บาปหรอกค่ะ
.......อ่านเรื่องเล่า แล้วเศร้าใจจริง
คำแม่ท่าจะอินยากซะแล้ว..เฮ้อ

 

โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน 17 สิงหาคม 2550 14:54:24 น.  

 

สวัสดีจ้ะคุณยาย


ชอบเรื่องนี้จัง
เป็นเรื่องสั้นหรือเป็นเรื่องจริงจ๊ะ
ต้องวนกลับไปอ่านอีกรอบ
ว่าตอนจบซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า

โครงแบบนี้ขยับนิดขยับหน่อย
ขัดเกลาหรือทำอะไรอีกหน่อย
หรือใช้วิธีเล่าที่ให้กลมกลืนกว่านี้
ถือว่าเป็นเรื่องสั้นดีๆเรื่องหนึ่งเชียวนะ
บอ.กอ.อยู่ใกล้ๆได้อ่านหรือยังล่ะ ?

หรือตีพิมพ์ที่ไหนมาแล้วเนี่ยะ หือ ?

 

โดย: พ่อพเยีย 17 สิงหาคม 2550 16:56:09 น.  

 

สวัดดีค่ะน้ายาย

ขอบคุณนะค่ะที่ไปที่บล็อก
และก็ขอโทษนะค่ะที่จำชื่อเรื่องผิดไป
เรื่องปรัญญาวัวข้ามฝั่งใช่ไหมค่ะ
ตอนนั้นหนูพยายามนึกชื่อแต่นึกไม่ออกจริงๆ
แต่ใจความหลักหนูจำได้นะค่ะ
เป็นเรื่องเกี่ยวพ่อที่อยากให้ลูกเรียนสูงๆ
จะได้มีงานดีๆทำและงานดีๆนั้นก็หมายถึง
การทำงานรับราชการ

จึงยกเอาธรรมชาติเรื่องการข้ามฝั่งของวัวมาพูด
ว่าถ้ามีวัวตัวใดตัวหนึ่งข้ามฝั่งไปก่อน
ย่อมจะมีวัวตัวอื่นๆข้ามตามไป
แต่ถ้าไม่มีวัวตัวที่หนึ่งที่แข็งแรงทั้งกาย
และใจเดินข้ามไปก่อน
ก็เป็นไปได้อยากที่จะมีวัวตัวที่สองเดินข้ามไป

หนูเองให้คำตอบไม่ได้หรอกค่ะว่าตัดสินใจถูกต้องไหม
เพราะหนูอยากเรียนคณะอักษรค่ะ
แต่ที่บ้านหวังอยากให้ลูกหลานรับราชการ
รุ่นพี่ที่ผ่านๆมาไม่มีใครยอมเรียนสายงานราชการ

พอมาถึงรุ่นหนู ที่ทุกคนต่างก็หวังโดยฉเพาะพ่อกับแม่
หนูเห็นว่ามันไม่เสียหายอะไรก็เลยปลอยเลยตามเลย
จนได้มาเรียนพยาบาล ตอนที่หนูเลือกสอบ
หนูสอบคณะพยาบาลทั้งหมด
ตอนนั้นหนูติดหลายที่ ติดทั้งระบบรับตรงและรับกลาง
แล้วหนูก็มารายงานตัวเรียนที่วิทยาลัยพยาบาล

ตอนแรกหนูก็ทุกใจเพราะรู้สึกเสียดาย
ก็คิดว่าตัวเองคิดผิดเหมือนกัน
แต่พอผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆมาได้
ก็ปรับตัวได้ ในตอนนี้คิดว่าอยู่ได้
แค่แบ่งเวลาเรียนกับเวลาทำสิ่งที่ชอบให้ลงตัว
แม้จะไม่ได้เรียนอักษรตามที่ต้องการ
แต่หนูก็ยังเขียนบันทึกได้ใช่ไหมค่ะ

 

โดย: yellyjam (lukkongpoka ) 17 สิงหาคม 2550 17:53:54 น.  

 

อ่านแล้วสะเทือนใจจังค่ะ
ความหมายกับความรู้สึกของ พวกเดียวกัน นั้นต่างกันจัง

เรื่องพระสงฆ์ เห็นด้วยกับพี่แพร นะคะ
มีประสบการณ์ที่จำได้ดี วันเกิดปี 2529 ตั้งใจทำกับข้าวตักบาตรจังหัน (กับข้าวที่ว่าคือ ไข่ต้ม)
รอพระอยู่หน้าบ้าน
พอถึงเวลา พระที่มาบิณฑบาต 1 ใน 3 รูป นั้นเป็นรูปที่เราไม่ชอบ ไม่ชอบในกิริยากรุ้มกริ่ม
เลยรีบตะโกนบอกแม่ว่า "แม่ใส่บาตรแทนหนูหน่อย"
แล้วก็รีบเดินหนีไปเลย
หลังจากนั้น แม่และยายที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ดุเราใหญ่เลย หาว่าเป็นพวกเข้าไม่ถึงบุญ
ไม่รู้หละ

 

โดย: นกแสงตะวัน IP: 125.25.173.101 17 สิงหาคม 2550 21:07:08 น.  

 

พี่แพรจารุ

มาอ่านเรื่องราวดีๆ ที่นี่ค่ะ มาหลายครั้งแล้ว แต่คราวนี้ขอลงชื่อไว้และขออนุญาต add blog นะคะ

 

โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) 17 สิงหาคม 2550 21:37:42 น.  

 

พ่อพเยีย

ดีใจที่ชอบ เราพยายามเขียนเรื่องนี้เป็นงานใหม่ เพื่อทำเป็นชุดงาน เรื่องแม่และฉัน เหมือนเขียนแผ่นหลังพ่อ เป็นตอน ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะได้สักกี่ตอน ถือว่าเป็นการเริ่มงานใหม่ ไปถึงตอนที่สามเมื่อเช้านี้

ตอนนี้พยายามเขียนทุกวัน บางตอนก็ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ เราคิดว่านี้คือประโยชน์สูงสุดของการเขียนบล็อกครั้งนี้ของเรา เมื่อจะนำมารวมเล่มก็ค่อยแก้ไขอีกที

 

โดย: แพรจารุ 18 สิงหาคม 2550 1:13:40 น.  

 

มันเป็นเรื่องเศร้าจริงจ้ะ ยาย ที่เรามักมองเห็นแต่สิ่งที่เลวร้าย เพราะภาพนั้นจะติดตาเราไปแสนทีเดียว และยากจะลืมเสียด้วยซี

ยายเขียนเรื่องนี้น่าอ่านจ้ะ

ไม่ว่าจะเขียนจากประสบการณ์ตรง หรือเป็นเรื่องแต่ง

เยี่ยมจ้ะ

 

โดย: รักษ์ (big onion ) 18 สิงหาคม 2550 1:17:50 น.  

 

หทัยชนก

ขอบคุณมากค่ะ ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 

โดย: แพรจารุ 18 สิงหาคม 2550 1:38:51 น.  

 

lukkongpoka

สวัสดีค่ะ

อยากจะบอกว่า เป็นแนวร่วมมากเลยค่ะ น้าเองอยากเรียนอักษรศาสตร์เหลือเกินทั้งที่ช่วงนั้นคณะนี้ติดอันดับคะแนนสูงมาก ๆ แต่ก็อยากเรียนมากจึงเลือกซึ่งรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ สมัยน้าใครเอ็นฯเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นผิดเป็นบาปไปเลยแหละ

อันดับต่อไปก็คือต้องไปสอบเพื่อเรียนพยาบาล ตอนนั้นไปได้ครึ่งทางก็คิดว่าเราไม่หมาะสมแทนที่จะไปสอบก็แวะไปดูหนังเสียและกลับบ้าน

ใจมันไม่ค่อยอยากเรียนอะไรแล้วตอนนั้น พี่ ๆ ขอให้ไปเรียนรามฯ ก็ไปแบบไม่มีเป้าหมาย คนข้างบ้านที่เขาไปสมัครด้วยเขาสมัครบริหารธุรกิจ ก็เลยสมัครด้วยแบบให้เขาเขียนใบสมัครให้ด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรียนไม่จบ
ความจริงมีสาขาวิชาที่สามารถเรียนแทนอักษรได้ แต่เราไม่ได้ดูให้ดี

แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นคงในหัวใจก็คือ การอ่านหนังสือ และอยากเขียนหนังสือ ถือเป็นเป้าหมายหลัก

ดังนั้นการเรียนรามจึงดียิ่ง เพราะมีห้องสมุดอย่างดีให้ซุกตัวอยู่ได้ทั้งวัน มีหนังสือให้อ่าน มีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดที่ดี เป็นห้องสมุดที่ใช้ได้อย่างเสรีมาก ๆ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว รู้สึกเป็นบุญคุณที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้ปริญญามาประดับตู้ แต่ถือว่าที่นั่นให้ความรู้มาก ๆ ให้ประสบการณ์ชีวิตที่ดี เรียนรู้การเอาตัวรอด การแก้ปัญหาเรียกว่าโตภายในหนึ่งปี

หนูโชคดีกว่าน้าที่เลือกเรียนอะไรสักอย่าง และถือว่าเป็นทางที่ดีแล้ว ควรเรียนให้จบ การเรียนจบย่อมดีกว่าเรียนไม่จบ
และถ้าหากเรามั่นคงต่อสิ่งที่เราตั้งใจ เราอยู่ที่ไหนก็ทำได้
เช่นการอยากเขียนหนังสือของหนู เป็นต้น

 

โดย: แพรจารุ 18 สิงหาคม 2550 9:23:16 น.  

 

ขอบคุณรักษ์

เขาว่าเรื่องบางเรื่องมีไว้จำเรื่องบางเรื่องมีไว้ลืม (คุณรงค์ว่าไว้)


พี่คนหนึ่งว่า การพยายามลืมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักเพราะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นควรทำความเข้าใจและยอมรับมันเสียดีกว่า (พี่สุจินดาว่า)

 

โดย: แพรจารุ 18 สิงหาคม 2550 9:28:38 น.  

 

สวัสดีพ่อพเยียอีกครั้งหนึ่ง

ลืมที่คุณถามว่าเรื่องนี้เคยตีพิมพ์มาแล้วหรือไม่

สงสัยคุณคงจะคุ้น ๆ แสดงว่าต้องเคยเป็นคนอ่านคอลัมน์ บ้านในความรักที่มติชน ในช่วงที่เราเขียน ใช้นามปากกา
ปาจารีย์ นั่นแหละเราเคยเขียนเล่าเรื่องกรณีชนเผ่าในประเด็นนี้ ใช้ชื่อว่า "พวกเดียวกัน" แต่เล่าเฉพาะเรื่องชนเผ่าอย่าเดียว (ไม่มีเรื่องพระ พอเขียนเรื่องแม่ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา)

ตอนนั้นมีคนเขียนเรื่องชนเผ่าน้อยมาก
มีน้องมูเซอคนหนึ่งที่ได้เดินทางมาเรียนหนังสือในเมือง
เขาเขียนจดหมายมาขอบคุณเราด้วย

 

โดย: แพรจารุ 18 สิงหาคม 2550 10:22:55 น.  

 








จากซ้าย ถนอม ไชยวงษ์แก้ว 'รงค์ วงษ์สวรรค์ แพร จารุ




สวัสดีตอนสายจ้ะยายแพร จารุ


อยากเขียนอะไรก็เขียนไปเลย
รู้สึกดีใจจริงๆที่มีความตั้งใจที่จะเขียน

เขียนไปเถอะ...สักพักหนึ่งเมื่อออกสตาร์ทได้แล้วก็จะไปฉลุย ขอให้มีความเชื่อในหัวใจว่า "ฉันเขียนได้"
อย่าเปิดแง้มช่องเล็กๆแม้เพียงเล็กน้อยว่า "เขียนไม่ไหว" หรือ "เขียนไม่ได้"

เพราะช่องเล็กๆเหล่านี้แหละมักมาทำลายความตั้งใจเดิมที่มีอยู่

และบอกตัวเองได้เลยว่า เรื่องแบบนี้ยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อน เรื่องแม่ของเรา จะมีใครเขียนได้ดีเท่าเราอีกล่ะ และย่อมไม่ซ้ำกับเรื่องของใครที่มีอยู่อย่างแน่นอน

วันก่อนบอกตรงๆรู้สึกเศร้าใจเล็กๆที่เห็นยายเขียนไว้ในบล็อกที่ "เขียนเรื่องแม่ตอนที่ 1" ขอยกมาอีกก็แล้วกัน ตอนแรกก็จะปล่อยให้ผ่านเลยไปแล้ว แต่คิดไปคิดมาก็ขอคุยเรื่องนี้ด้วยก็แล้วกัน ให้รู้ก่อนอ่านว่าต่อไปนี้เขียนด้วยความรักและปรารถนาดีอย่างจริงใจ (แต่จะถูกใจหรือเปล่าไม่รู้นะ ?)

--------------------------------------------------

(นี่คือที่ยายเขียนไว้ในความเห็นเรื่องแม่ ตอนที่ 1)

วันนี้เราคุยกันถึงเรื่องงานเขียนกับเพื่อน ๆ เราพบว่า เดี๋ยวนี้พวกเราที่เขียนหนังสือกันเป็นอาชีพไม่มีที่ลง

คือเขียนแล้วไม่มีที่ที่เหมาะสมที่ลง และต้องรอนาน เกินไปพวกนักเขียนจึงหันมาเขียนในบล็อกกันมากขึ้น

เราก็เห็นจริงอยู่นะ

-----------------------------------------------------

ช่วงหลัง ๆ นี้ เมื่อใครเชิญไปพูดเรื่องการเขียนหนังสือที่ไหน พี่มักจะปฏิเสธ ด้วยความรู้สึกว่า มันไม่สามารถทำให้ชีวิตเป็นจริงได้ และเหนื่อยมากกับการมีชีวิตอยู่เพื่อการเขียนหนังสือ

น้อง ๆ ที่เริ่มเขียนหนังสือใหม่ ๆ ก็จะมีความคาดหวังที่ผิด ๆ หรือบางที่เมื่อน้อง ๆ ถามถึงรายได้จากการเขียน เราก็ลำบากใจที่จะพูด

และถ้าพูดไปตรง ๆ ว่า ถ้าน้องอยากจะมีชีวิตที่ไม่มีคำว่าความสำเร็จ ในรูปแบบที่ควรจะเป็น ไม่มีเรื่องของความก้าวหน้าใด ๆ อีกทั้งน้องจะได้รับสิ่งที่ใคร ๆ เขาเรียกว่า ไร้อนาคต ไร้ความทะเยอทะยาน น้องก็จงทำเถิด

ถ้าจะเอาคำตอบว่า พี่มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกับรายได้จากการเขียนหนังสือนั้น ก็จะตอบว่าอยู่ไม่ได้กับรายได้หรอกค่ะ แต่ที่อยู่ได้ อยู่ได้กับการได้เขียนอะไร ๆ ที่คิดว่าพอมีประโยชน์อยู่บ้างกับผู้อื่น ถ้าไม่คิดถึงตรงนี้อยู่ไม่ได้แน่


--------------------------------------------------------

ตอนแรกว่าจะไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ในฐานะที่เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติน้ำหมึกกัน ก็ควรจะแลกเปลี่ยนทัศนะกันบ้าง

ยายว่า :คือเขียนแล้วไม่มีที่ที่เหมาะสมที่ลง และต้องรอนาน เกินไปพวกนักเขียนจึงหันมาเขียนในบล็อกกันมากขึ้น

เราว่า : ที่ว่าไม่มีที่เหมาะสมที่จะลงนั้น เป็นเพราะ"เรื่อง"หรือเป็นเพราะ "บรรณาธิการ" ถ้าเป็นเพราะบรรณาธิการคนคัดเรื่องแล้วละก็... มันก็ต้องมีที่ใดที่เหมาะสมสำหรับเรื่องเรื่องนั้นที่ใดที่หนึ่งแน่

เราก็เคยนะส่งไปที่นี่ไม่ได้ลง (บ่อยด้วย) พอเห็นสมควรแก่เวลาก็ส่งไปที่อื่น จนวันหนึ่งมันก็พบที่ทางของมันจนได้ ประการสำคัญเราว่านะ...พวกเราทำงานกันมากพอสมควรกับเวลาที่เรามีอยู่หรือยัง ?


ส่วนเรื่องเขียนบล็อกนั้น โดยส่วนตัวแล้วเขียนเพราะชอบและรู้สึกสนุกที่จะใช้เครื่องมือสื่อสารประเภทนี้ ไม่ได้คาดหวังอะไรจากบล็อกนัก ถ้าใครมาคาดหวังมากๆจากการเขียนบล็อกก็อาจผิดหวังได้นะ

ยายว่า :ด้วยความรู้สึกว่า มันไม่สามารถทำให้ชีวิตเป็นจริงได้ และเหนื่อยมากกับการมีชีวิตอยู่เพื่อการเขียนหนังสือ

เราว่า : ฟังคำพูดประโยคนี้แล้วรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก - - ถ้าจะแสดงความคิดเห็นแล้วก็ยาวเหยียด ถือว่าเป็นทัศนะ หรืออาจจะเป็นทัศนะที่แตกต่างกับยายอย่างสิ้นเชิงเลยก็เป็นได้ (ไม่ได้คิดว่าเพราะตัวเองมีคอลัมน์ประจำอะไรนะ เรามีความรู้สึกต่องานที่เรารักในทางที่งดงามมาตลอด)

ก็ขอให้ฟังเสียงจากเพื่อนคนหนึ่งก็แล้วกัน...ต้องถามก่อนว่า "ความจริงของชีวิตที่อยากให้เป็นคืออะไร คือแบบไหนล่ะ" จึงบอกว่าไม่สามารถทำให้ชีวิตเป็นจริงได้ ?

อันดับแรกใครบอกให้เราเลือกเป็นคนเขียนหนังสือ เราเป็นคนเลือกเองไม่ใช่หรือ ? เรามองว่าการมีสิทธิ์ได้เลือกนั้นถือว่าเป็นพรอันประเสริฐแล้ว แต่เมื่อเลือกสิ่งใดแล้วคุณก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาของสิ่งที่คุณเลือกด้วย


งานอะไรอีกล่ะ ที่นึกจะนอนดึกแค่ไหน ตื่นเช้า ตื่นสายแค่ไหน ก็ไม่มีเจ้านายบังคับ นึกอยากไม่ทำก็นอนตีพุงอ่านหนังสือเล่น นึกอยากเดินทางก็เดินทาง อยากขึ้นเขาลงห้วยก็ไป

คนที่เขาทำงานประจำเขารถติดอยู่บนถนนฝ่าหมอกควันไปตอกบัตร - นั่นก็เป็นเพราะเขาเลือกอีกนั่นแหละ เขาก็ย่อมได้รับผลในสิ่งที่เขาเลือก

แล้วทุกวันนี้ชีวิตที่ยายได้มาพบความรักแต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก ได้ปลูกบ้านอยู่ในมุมอันแสนสงบ ได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างน่าอิจฉากว่าคนอื่นๆที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่แออัด สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่ผลพวงอันเนื่องมาจากการเขียนหนังสือหรอกหรือ ?

ถามตัวเองด้วยความเป็นกลางก็แล้วกันว่า เราจะยินดีรับผลของการกระทำแบบเลือกชิ้นเลือกส่วนไม่ได้หรอก อันนี้ดีฉันเอา ไม่ดีฉันไม่เอา ไม่ได้...


เราต้องเป็นธรรมกับนักเขียนอาชีพคนอื่นๆที่เขาประสบความสำเร็จด้วย (นี่ไม่ได้หมายถึงตัวพ่อพเยียนะ) ยกตัวอย่างอย่าง ชาติ กอบจิตติ, กฤษณา อโศกสิน, มาลา คำจันทร์, ประชาคม ลุนาชัยหรือใครๆต่อใครอีกมากมาย เพราะเขาเหล่านี้คือนักเขียนอาชีพตัวจริงเสียงจริง ห้ามปฏิเสธว่าเทียบกันไม่ได้ เพราะยายพูดคำว่า "เขียนหนังสือกันเป็นอาชีพ"

แล้วคำพูดที่ว่าอยากบอกคนที่มีความใฝ่ฝันจะเขียนหนังสือว่า...

ถ้าน้องอยากจะมีชีวิตที่ไม่มีคำว่าความสำเร็จ ในรูปแบบที่ควรจะเป็น ไม่มีเรื่องของความก้าวหน้าใด ๆ อีกทั้งน้องจะได้รับสิ่งที่ใคร ๆ เขาเรียกว่า ไร้อนาคต ไร้ความทะเยอทะยาน น้องก็จงทำเถิด

คำพูดประโยคนี้ อาจเกิดขึ้นในยามรู้สึกท้อแท้หรือผิดหวังบางขณะก็เป็นได้ แต่เราไม่อยากให้ยายรู้สึกและพูดออกไปเช่นนี้เลย เราอาจบอกตัวเองได้แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปห้ามความฝันของใครเช่นนั้น


แพร จารุ เป็นนักเขียนที่มีฝีมือระดับหนึ่งแล้ว...แต่ทำไมจึงรู้สึกต่อสิ่งที่ตัวเองเลือกเช่นนี้หนอ ? เราทุ่มเทกับการทำงานมากกว่าที่เป็นอยู่นี้แล้วหรือยัง ?

เชื่อไหมตอนไปบ้านในคืนฤดูหนาวที่ทุ่งเสี้ยว ยังนึกอิจฉาเลยว่าปลูกบ้านเสร็จแล้ว ได้อยู่กับคนที่รัก (ดูท่าคุณรักมากด้วย ) ได้เลี้ยงหมา ได้อยู่กับบ้าน และบ้านหลังนี้ก็ได้เงินมาจากการเขียนหนังสือ (เมื่อกี้ไปรื้อไฟล์ภาพที่ถ่ายไว้กองไฟในคืนหนาวไม่เจอ- จะเอามาให้ดู)

เพราะฉะนั้นเห็นยายเริ่มต้นเขียนในบล็อก เราก็รู้สึกดีใจ และเชื่อว่าต้องทำได้แน่นอน ขอมอบกำลังใจมาพร้อมกับคอมเม้นท์มหาโหดชิ้นนี้

เราคิดว่าบางที...รักในสิ่งที่เราทำอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ เราต้องเข้าใจในสิ่งที่เรารักด้วย

และมีคำคมอยู่ประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าจำมาจากไหนเราเห็นว่าดีมากเลยเอามาฝากอาจจะไม่สวยเหมือนคำพูดเดิม แต่ความหมายประมาณนี้

"ความตั้งใจเพียงเล็กน้อย ไม่อาจทำอะไรให้สำเร็จได้"

และถึงที่สุดแล้วก็จบลงตรงที่ประโยคคำพูดของครูมอร์รีแห่ง "วันอังคารแห่งความทรงจำ" ที่พูดไว้ว่า "จงยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำได้ และยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้"


อย่าได้โกรธกันเลย ถ้าหากจะคิดต่างกัน แต่ที่พิมพ์มาเสียยาวเหยียดอย่างนี้ก็ด้วยรักและปรารถนาดีต่อยายด้วยใจจริง แต่ถ้าหากมีบางถ้อยคำทำให้เคืองระคายใจก็ต้องขออภัยด้วย

จากเพื่อนของคุณ

 

โดย: พ่อพเยีย 18 สิงหาคม 2550 11:00:46 น.  

 

คอเสื้อยืดสีดำ ย้วยแล้ว...
ขำ...เหมือนเราเลย

ตอนนี้ไปดูรูปเก่าๆ อือ...ทำไปได้ไง(วะ)
ที่ว่าทำไปได้ไง ไม่ใช่รังเกียจตัวเอง แต่ว่าตอนนั้นหัวใจของเราสั่งให้ทำไปแบบนั้น

แต่ขอบอก ตอนนี้ เป็นมากกว่าเก่า แต่หัวใจดวงใหม่

เพราะว่า...เราเห็นพระจุดบุหรี่แบบนั้น แล้วขำได้
เมื่อก่อน เห็นแล้วเครียด...

เสื้อยืดตัวเก่าๆ เราคนใหม่
พระคนเก่าๆ เราคนใหม่
(ที่จริงอยากจะเขียนว่าว่า เรา"ตน"ใหม่" มากกว่า

ดีจังได้อ่านงานยาย สนุกดี

 

โดย: ศิลป์ IP: 203.146.63.183 18 สิงหาคม 2550 11:53:22 น.  

 

ความคิดเห็นที่แตกต่าง มองต่างมุม ใช่.. เราต้องเข้าใจในสิ่งที่เราทำและรักด้วย และต้องยอมรับผลที่จะตามมาไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี (ระวังหูตาร้อน) ตัวใครต้วมันเน้อ

 

โดย: วิมายา IP: 203.113.50.14 18 สิงหาคม 2550 17:04:51 น.  

 

สวัดดีค่ะน้ายาย

หนูไม่เคยคิดเลยนะค่ะว่าจะได้รู้จัก
และคุยกับน้าผ่านตัวหนังสือ
นอกจากที่ได้รู้จักน้าจากงานของน้า
ทำให้หนูได้รู้ว่าน้าเองก็อยากเรียนอักษร
หนูว่าไม่ใช่แค่ตอนนั้นหรอกค่ะที่คนคิดว่าเอ็นฯไม่ติด
แล้วชีวิตจะสิ้นหวัง ตอนนี้ก็ยังมีนะค่ะ

เพื่อนหนูบางคนถึงกับชอล์กเมื่อรู้ว่าเอ็ดฯไม่ติด
หนูเองก็จำความรู้สึกตอนประกาศผลสอบแล้วไม่มีชื่อตัวเองดีเลยค่ะ มันเป็นสนามสอบสนามแรก
เป็นรอบโควต้า ของมหาลัยชื่อดังในภาคเหนือ
ซึ่งทุกๆคนก็หวังอยากเรียนที่นั้น รวมตัวหนูด้วย
หนูเองก็คิดว่าไม่น่าจะพลาด ยังไงก็ต้องได้
พอผลออกมาตัวเองไม่ติด ตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
แต่หนูโชคดีตรงที่มันเป็นสนามสอบสนามแรก
หนูยังคงมีหวังในสนามสอบครั้งใหม่
เมื่ดเทียบกับเพื่อนที่เดินทางมาถึงจนจุดสุดท้ายแล้ว
ก็ยังไม่มีที่เรียนมันอาจจะเจ็บปวดน้อยกว่าเขานัก

น้ายายค่ะแล้วทำไมตอนนั้นถึงคิดจะเรียนพยาบาล
เมื่อรู้ว่าสอบไม่ติด แล้วมาเริ่มต้นการเขียนได้อย่างไรค่ะ
หลังจากที่หนูรู้ว่า ยังไงก็ไม่ได้เรียนอักษร
หนูก็ทิ้งสิ่งที่ต้องการไปพักหนึ่ง เพราะไม่รู้จะทำไปทำไม
หวังไปก็คงไม่มีทางเป็นจริง
จนได้ลุงโดมที่มาทำให้หนูหันกลับมาอยากเขียนอีกครั้ง
แต่ตอนนี้หนูไม่ได้หวังว่าจะได้เป็นนักเขียนเหมือนก่อน
เพียงแค่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ พร้อมๆกับเรียนไปด้วย

น้ายายมาปลูกบ้านที่เชียงใหม่หรือค่ะ
อยู่อำเภออะไรค่ะ
หนูเองก็ไปเชียงใหม่บ่อยๆในช่วงที่มีเวลา
พอดีมีที่พักฟรีพร้อมค่ารถไปกลับ
หนูไปพักกันน้าสาวที่หมู่บ้านเดอะลากูนน่าโฮม
ทางแถวตลาดรวมโชคและก็มหาลัยแม่โจ้ค่ะ
แล้วหนูจะเข้ามาอ่านเรื่องแม่ตอนต่อไปนะค่ะ

ด้ายความเคารพ

 

โดย: lukkongpoka IP: 61.7.231.130 18 สิงหาคม 2550 19:03:23 น.  

 

พัฒนาควารู้ ความสามารถนั้นคงไม่ยากเท่าการพัฒนาจิตใจคน(บางคน) คนที่ถูกเรียกว่าไร้การศึกษาบางที่ก็รู้สึกผิดชอบ ชั่วดีกว่าคนการศึกษาสูงก็มีอยู่ไม่น้อยเลย จึงอยากสรุปว่า คนไม่ดี ถึงถูกสอนสั่งอย่างไร ก็ดีได้ยาก...

สวัสดีครับ ยาย ผมขอบคุณมากเลยครับสำหรับน้ำใจที่มอบให้ เอาไว้ผมลองสอบถามแม่บ้านดูก่อนครับว่าเธอมีแผ่นเพลงที่ว่าอยู่หรือเปล่า (เป็นสื่อสารมวลชนแขนงหนึ่ง อยู่คนละทีกับผม มักได้รับของที่ระลึกอยู่บ่อยๆครับ) ถ้ายังไม่มีก็อาจจะรบกวนยายก็ได้ครับ ขอบคุณอีกครั้งครับผม

 

โดย: เขาพนม 18 สิงหาคม 2550 20:08:05 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณยาย...

เรื่องที่เขียนนี้น่ารักมากเลยค่ะ 'พวกเรา' ทำให้มองเห็นถึงความแตกต่างของมุมมอง และนิ่งคิดไปนานๆ จะทำให้เรารับรู้...จับต้องได้ ถึง ความรู้สึก ว่าทุกอย่างนั้น เกิดมาจากความรู้สึก หากเราไม่รู้สึกเรื่องนี้ เราอาจจะมีเวลาไปรู้สึกอีกเรื่องหนึ่ง

เป็นอีกหนึ่งมุมมองของเรื่องราวน่ารักๆ

ชอบที่พี่โดมมาเขียนจัง...
ทุกวันนี้ก็เขียน และเขียนไม่เสร็จซักที
ไม่รู้ว่า หัวใจของความฝันก่อนที่จะได้พิมพ์เล่มแรก มันหายไปไหน

แต่จะพยายามค่ะ

หมายเหตุ: ประการแรก ต้องอัพบล็อกเท่าเดิม (เพราะไม่ใช่งานหนักหนาอะไร
แต่ต้อง ท่องบล็อกน้อยลง...เม้นท์น้อยลง...คริ คริ....

 

โดย: ฮอลล์ IP: 58.8.142.134 18 สิงหาคม 2550 20:30:35 น.  

 

สวัสดีค่ะ
มาอ่านเรื่องที่เขียนได้น่าสนใจมาก
ทำให้คิดถึง คำใครบางคนที่เคยบอกเราว่า ทำไม่ไม่มองแต่สิ่งดีๆ ไอ้ที่ไม่ดีของใครก็ข้ามๆไปบ้าง
ตัวเราก็จะเบากว่านี้

รวมถึงเรื่องเสื้อเก่าๆ สำหรับฉัน หากดูคุณในวันนั้น เรื่องเสื้ออย่าถามฉัน เพราะฉันไม่ได้มองแม้สีของมัน..
หากจะสนใจคงเป็นเนื้อหาที่คุณพูดมากกว่า

 

โดย: วีดวาด IP: 222.123.40.21 19 สิงหาคม 2550 9:44:24 น.  

 

ได้อ่านงานเขียนนี้แล้วมีพลังในเนื้อหาจังครับ ดึงคนอ่านให้คล้อยตามกับเหตุการณ์ไปด้วยมนต์ของตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ชอบครับผม

 

โดย: ดำรงเฮฮา 19 สิงหาคม 2550 12:25:43 น.  

 

//www.oknation.net/blog/mataharee

บล็อค น้องหมีนะครับ

 

โดย: มาตาฮารี IP: 222.123.85.119 19 สิงหาคม 2550 16:04:52 น.  

 

ใช่คืนบนดอยที่เราตะโกนตอบคำถามไอ้พวกนั้นว่า...จะไปขี้...ใช่หรือเปล่า
(อยากหัวเราะให้ขี้แตกอีกรอบ)
ตอนนี้ฉันจะริมีบล็อกกับเขาบ้าง เพราะมีเรื่องอยากเขียนบานตะไท
ถ้าเขียนแล้วรู้สึกว่ามีคนติดตามอ่านมันจะเป็นการบังคับเราไม่ให้เอ้อระเหยไป
โดยปริยาย จริงไหมตัวเอง

 

โดย: ใครหนอ IP: 58.8.144.4 19 สิงหาคม 2550 16:09:25 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณยาย แพรจารุ
--------------------------
แวะมาทักทายค่ะ

 

โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น 19 สิงหาคม 2550 17:26:59 น.  

 

จริงๆ...ก็อยาก จะเขียนอะไรบ้างนิดหน่อย
หลังจากอ่านเรื่องจบแล้ว

แต่พออ่านคอมเมนต์ของพ่อพยียและการตอบกลับของคุณยาย...เลยรู้สึกวา
เอ...ขอเก็บไว้เงียบๆดีไหมเนี่ย

ช่วงจังหวะนี้...ไม่ค่อยอยากแสดงความคิดเห็นกับเรื่องใดๆ
ไปบ้านใครต่อใคร...ก็ขออ่านเงียบๆ....มีความคิดแต่ไม่ขอออกความเห็น.....

มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า...ช่วงนี้ของชีวิตอยากเป็นผู้รับฟังความเห็นและเรื่องราวที่แตกต่าง....

มีบางสิ่งบางอย่างที่บอกว่าเราต้องเป็นผู้ฟังที่ดี....

แต่พอแวะมาเยี่ยมแล้วก็อดคุยไม่ได้ค่ะ.....

ขอบคุณมากค่ะที่แวะไปอ่านเด็กๆเขียนหนังสือที่บ้านปลายฟ้า (เด็กเฒ่า...ฮี่...ฮี่....)

 

โดย: ปลายแปรง IP: 203.113.17.148 19 สิงหาคม 2550 22:29:10 น.  

 

ปลายแปรงสวัสดีเจ้า

จริงของปลายแปรง การเป็นผู้ฟังที่ดีถือเป็นคุณสมบัติพิเศษโดยเฉพาะฟังในสิ่งที่ต่างจากที่เราคิด เมื่อเราหยุดฟังได้จะทำให้เราเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น อีกทั้งยอมรับความเป็นจริงได้

ความเห็นที่ต่างกันไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่เราเรียกว่า "การปะทะสร้างสรรค์ทางความคิด"

พี่ยังไม่ได้ตอบพ่อพเยีย เพราะต้องตอบยาว และช่วงนี้ยังยุ่ง ๆ อยู่กับการป่วยของโอ่งน้อย

เมื่อวานนี้อุ๋มอิ๋มเจ้าของเรื่องที่ปลายแปรงและคุณนุ วาดภาพประกอบเรื่อง และรูปปกหนังสือ ช่วยออกเงินค่ารักษาโอ่งน้อยให้ก่อนแล้ว

ตอนแรกยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไรดี โชคดีจริง ๆที่เพื่อนช่วย ทั้งที่ยังไม่ทันออกปาก




 

โดย: แพรจารุ 20 สิงหาคม 2550 8:58:32 น.  

 

ใครหนอ

ขอใบ้คำเพิ่มว่า "เธอนั้น...ชอบปวดท้องขี้ในที่พิเศษ ๆ เช่นบนยอดดอยภูชี้ฟ้า เป็นต้น ใช่หรือไม่

บล็อกของ"ใครหนอ"ชื่ออะไร ขอให้บอกมาด้วยโดยพลัน

ข้างบนเป็นบล็อกของน้องหมีผู้น่ารัก มาตาฮารี เข้าไปเยือนกันได้

 

โดย: แพรจารุ 20 สิงหาคม 2550 9:07:17 น.  

 

แมวผมเกิดลูกแล้ว สี่ตัวก่อนนิ...
สนใจอยากได้ไปเลี้ยงซักตั๋วก่อ...

 

โดย: pu_chiangdao IP: 202.5.87.141 20 สิงหาคม 2550 13:36:52 น.  

 

รักษาหายแล้ว แต่โรคเก่ากำเริบ 555

 

โดย: มาตาฮารี IP: 222.123.29.112 20 สิงหาคม 2550 14:59:06 น.  

 

ฝากกำลังใจไปถึงโอ่งน้อยด้วย
หายวันหายคืน ตื่นมาเป็นลูกหมาที่ร่าเริงนะโอ่งน้อย

แบบว่า ไม่อยากเห็นสัตว์ทรมาน
เพราะเจ้าของต้องทรมานใจ

 

โดย: ศิลป์ IP: 203.146.63.183 20 สิงหาคม 2550 16:10:06 น.  

 

ถูกต้องแล้วเธอเอ๋ย ฉันคือผู้ที่สามารถขี้บนภูชี้ฟ้า แถมมีทหารคอยถือปืนรักษาความปลอดภัยให้
ฉันยังไม่ได้เปิดบล็อก เพิ่งสมัครเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา
ถ้ามีเมื่อไหร่จะแจ้งแก่เธอเป็นคนแรกทีเดียวเชียว

 

โดย: ฉันเอง IP: 58.8.225.210 20 สิงหาคม 2550 19:59:07 น.  

 

อ่านเรื่องของน้องหมาได้ที่
Group blog ครอบครัวหมา ๆ นะคะ

ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีต่อโอ่งน้อย

 

โดย: แพรจารุ 21 สิงหาคม 2550 0:04:03 น.  

 

คิดถึงนิทานเรื่องอิฐสองก้อนเลยครับ

เคยได้ยินหรือเปล่า

ถ้ายังแล้ววันหลังจะมาเล่าให้ฟังครับ...

 

โดย: ฟ้าดิน 21 สิงหาคม 2550 5:06:09 น.  

 

"ฟ้าดิน"
นิทานอิฐสองก้อนยังไม่เคยอ่าน และยังไม่ได้ฟัง
คุณจะเขียนเล่ามาให้อ่านด้วยนะคะ ขอบคุณมาก ๆ อยากอ่านจริง ๆ

"ฉันเอง"
ดีทีเดียว มียิบซีอีกคน เธออยู่ตรงนี้ ลองเข้าไปหาเธอดู //www.oknation.net/blog/shadowy
ในวันที่ "ภูชี้ฟ้า" เธอก็ร่วมอยู่กับเรา


"วีวาด"บอกว่า
อ่านแล้ว
ทำให้คิดถึง คำใครบางคนที่เคยบอกเราว่า ทำไม่ไม่มองแต่สิ่งดีๆ ไอ้ที่ไม่ดีของใครก็ข้ามๆไปบ้าง
ตัวเราก็จะเบากว่านี้

ใช่แล้ววีวาด นี่คือประเด็นสำคัญที่หลายคนคิดว่าเราควรทำ และจะได้เป็นคนน่ารัก
ไอน์สไตน์พูดว่า" โลกเต็มไปด้วยอันตราย มิใช่เพราะมีคนทำสิ่งชั่วร้าย แต่เพราะมีคนยืนดูเฉย ๆ และปล่อยให้มีการกระทำสิ่งชั่วร้ายนั้นเกิดขึ้น "


 

โดย: แพรจารุ 21 สิงหาคม 2550 9:41:28 น.  

 

สวัสดีจ้ะยาย

แมห..วันนี้รู้สึกยินดีเป็นพิเศษกับคำทักทายที่บ้านพ่อพเยียในเช้าวันนี้..

มาส่งข่าวแค่นี้แหละ เดี๋ยวจะออกไปข้างนอก



แวะทักคุณฟ้าดินตรงนี้ นิทานเรื่องอิฐสองก้อนในหนังสือธรรมะ "ชวนม่วนชื่น" ของอาจารย์พรหม พราะชาวอังกฤษลูกศิษย์หลวงพ่อชาใช่ไหมครับ ? ใช่เรื่องเดียวกันหรือเปล่า ?

ว่าแต่คุณอ่านหัวข้อไหนล่ะครับที่ทำให้คุณคิดถึงนิทานเรื่องนั้น

 

โดย: พ่อพเยีย 21 สิงหาคม 2550 10:19:10 น.  

 

ภู เชียงดาว ได้ลูกแมวสี่ตัวยินดีด้วย ใครอยากได้ลูกแมวน่ารัก ๆ บ้าง แม่แมวของเขาน่ารักจริง ๆ เพราะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี

เพื่อน ๆ เราก็มีแมวน่ารักหลายคนนะ อย่างเช่นแมวของ
คุณโอ๋ ไม้ยมก(ที่เขียนคอลัมน์ เรื่องบ้าน ๆ อยู่ในประชาไท) นั่นเป็นแมวนางแบบ มีภาพถ่ายมากกว่าแมวธรรมดาและคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ด้วย ตอนนี้เริ่มอ้วน (แมวนะไม่ใช่คน) แต่แมวกับคนนี่ต่างกันยิ่งอ้วนยิ่งน่ารักและยิ่งเป็นแบบได้ ดูเหมือนจะชื่อ"จับอิ๊ดนึ่ง"

คุณเธอไม่ธรรมดานะ มีลักษณะพิเศษเป็นตัวของตัวเองสูง ไว้เนื้อไว้ตัว แบบว่าฉันสวย ไม่ชอยให้ใครมาจับเนื้อต้องตัว นั่งมองกันห่าง ๆ ได้

แมวน่ารักมาก ๆ อีกหลายตัว ที่สำนักงานของ
อาจารย์พัชรินทร์ นั่นแบบเรียบร้อยมาก นอนในตระกร้าสวยทุกตัวเลย และเป็นคุณสะอาดนะ

ถ้าจะดูแบบดุ ๆก็ได้นะ เป็นแมวที่บ้านคุณวิมายา แมวบ้านนั้นเป็นแมวอิสระ ไปมาเมื่อไหร่ไม่รู้ ร้องเสียงดัง ห่าว ๆ
ห่าว ไม่เป็นมิตรทั้งกับคนแปลกหน้าและคุ้นเคย

แมวสมบูรณ์อีกแห่ง บ้านคุณรงค์ วงษ์สวรรค์ นั่นตัวโตมาก เห็นครั้งแรกตกใจ เอ๊ะ...นั่นอะไร เจ้าของจะรักของเขามาก ๆ เลยแหละ แต่พวกน่ารักสมบูรณ์ที่นั่นให้อุ้มและเป็นมิตร

ส่วนบ้านเราไม่มีแมว เพราะพวกน้องหมาไม่ชอบ
คุยเรื่องแมว ๆ แล้วมีความสุขดีนะ แม้ไม่รับเลี้ยงแต่อยากไปเล่นไปดูนะ

แล้วตอนนี้ครอบครัวแมวของภูยังอยู่ที่บ้านเชียงใหม่หรือย้ายไปเชียงดาวแล้ว จะเอาของขวัญวันเกิดไปให้

 

โดย: แพรจารุ 21 สิงหาคม 2550 10:19:26 น.  

 

lukkongpoka

ระบบสอบคัดเลือกทำร้ายเด็กจริง ๆ ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาน้ากลับไปบ้านใต้ พบว่าเป็นช่วงที่เด็ก ๆ หาที่เรียนกันและมีการจับสลากเรียนด้วย รู้สึกสงสารมาก ๆ เพราะบางคนไม่ได้ผิดหวังครั้งเดียว ดูแล้วเครียดด้วย คนทีได้ก็ดีใจกันเกินเหตุส่วนคนที่จับสลากเรียนไม่ได้ก็ร้องไห้

กดดันจากระบบ และพ่อแม่ก็กดดันลูกอีก ว่าต้องได้ ดังนั้นถ้าเด็ก ๆ โตขึ้นมามีสภาพจิตใจไม่ปกติ และทำทุกอย่างเพื่อเป็นผู้ได้ ก็อย่าแปลกใจเลย

บางคนคิดแต่ว่าลูกเองต้องได้ ลูกเองได้ก็แล้วไป แต่ในทางหนึ่งไม่ว่าคุณจะดูแลลูกคนดีอย่างไร หากลูก ๆ ในสังคมไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็อย่างหวังว่าจะรอด

บางครั้งเห็นข่าวคนร้ายทำคนดี และผู้คนลุกขึ้นโวยวายสาบแช่งคนที่ร้าย เขาว่ากันว่าให้คิดก่อนว่า เอ...พวกเราก็มีส่วนอะไรไหมที่เกื้อให้เขาเป็นคนร้าย เช่นว่า เราไม่เคยแบ่งปันโอกาสให้เขาเลย

นี่น้าพูดด้วยความหวังต่อเยาวชนเช่นหนูนะ

คำถามที่ว่า ทำไมน้าไม่เรียนพยาบาลในตอนนั้น คำตอบก็คือรู้ว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นพยาบาล คือไม่มีคุณสมบัติใด ๆ เลย เรียกว่าไม่ใช่สิ่งที่คิดมาก่อน เป็นความคิดของพ่อ ด้วยหวังว่าลูกสาวจะเป็นพยาบาล ส่วนลูกชายเป็นครูบาอาจารย์นั่นแหละ

แต่น้ามีเืพื่อนคนหนึ่ง เธอบอกว่าเธอก็ไม่ได้คิดจะเป็นพยาบาลมาก่อนเหมือนกัน แต่เมื่อได้ทุนสอบได้ก็ไปเรียน แต่เธอมีอยู่สิ่งหนึ่งคือหัวใจที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น ปัจจุบันเธอก็ัยังเป็นพยาบาลอยู่ หากหนูมาเชียงใหม่จะแนะนำให้รู้จัก

และคำถามที่ว่า มาเขียนหนังสือได้อย่างไร หรือเกี่ยวกับเรื่องนี้ น้าคิดว่าจะนำมาตอบอีกครั้งหนึ่งให้เป็นเรื่องเป็นราว ต่อไป แต่น้าเชื่อว่าไม่ว่า น้าจะตอบอย่างไร สำหรับคนที่อยากจะเขียนหนังสือก็ไม่สามารถสกัดกั้นสิ่งที่พวกเขียนหนังสืออยากเขียนได้หรอก

แต่มันมีอยู่ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ"ในโลกที่เป็นจริงซึ่งไม่มีใครอยากพูดหรืออยากฟังนั่นแหละ"

ไว้คุยกันใหม่เรื่องนี้



 

โดย: แพรจารุ 21 สิงหาคม 2550 15:19:00 น.  

 

เงาศิลป์
ฝากความถึงกู่ด้วย เข้าไปอ่านนินทามาเลย์แล้ว แต่แสดงความคิดเห็นไม่ได้ ทั้งที่ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง มันก็ยังบอกว่า ลอกอินไม่ถูกต้องอยู่นั่นแหละ

ทำได้หลายอย่างนะเพื่อน (เป็นนักขายก็ได้) บทสนทนาระหว่าง หญิงสาว(ฉัน)กับผู้จัดการบริษัท ช่างน่ารักนัก ระวังพวกเขียนนิยายมาเจอ ขยายร้อยตอนและเอาไปทำละครด้วย

แล้วจะเข้าไปอ่านตอนที่สองต่อนะจ๊ะ

 

โดย: แพรจารุ 21 สิงหาคม 2550 16:09:07 น.  

 

สวัสดค่ะคุณแพรจารุ
ฟ้าแวะมาอ่านข้อเขียนดีๆ
แล้วก็เลยรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี
หรือว่าฟ้าจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายหรือเปล่าคะเนี่ย
ถึงได้มองแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่โลกนี้ก็มีทั้งสิ่งดีและไม่ดีปะปนกัน สิ่งที่ไม่ได้มันทำง่ายใช่ไหมคะ เราจึงเห็นมันได้บ่อยกว่าสิ่งที่ดี

ปล.มาตอบที่คุณแพรจารุถามถึงที่มาของฟ้ากระจ่าง
ฟ้ากระจ่างคือชื่อจริงๆที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้ค่ะ
ตอนเด็กๆรู้สึกว่าไม่ชอบชื่อนี้เลยแต่ตอนนี้รู้สึกรักมากมายค่ะ ไม่ว่าจะมีทุกข์ยังไงก็จะนึกถึงความรักของท่านที่บรรจงตั้งชื่อให้เราเพื่ออยากให้เรามีชีวิตที่สดใสเหมือนฟ้ากระจ่างค่ะ

 

โดย: ฟ้า (ฟ้ากระจ่าง ) 21 สิงหาคม 2550 17:31:09 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณแพร

แวะมาทักทายค่ะ พึ่งกลับมาจากแคนเบอร์รา เมืองหลวงของประเทศนี้ อากาศซึมๆ หนาวและมีฝนตกบางวัน

นักเรียนไทยที่นี่เยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุน เรียนเก่ง ตั้งใจเรียน หลายคนบอกว่าอยากกลับบ้านเร็วก็ต้องเรียนให้จบเร็วๆ ถ้าจะจริงของเขา คนที่ทนเหงาไม่ได้ คงอยู่ลำบาก

แต่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยที่นั่นดีมาก รวมทั้งห้องสมุดแห่งชาติออสเตรเลีย โดยเฉพาะที่รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับเอเชีย โอ้โฮ ถ้าคุณแพรมาเที่ยวจะพาไปดู น่าสนใจมากๆ เพื่อนคนหนึ่งที่นั่นบอกว่า หอสมุดแห่งชาติออสเตรเลีย มีเอกสารที่รวบรวมหนังสืออนุสรณ์งานศพมากเป็นอันดับสองรองจากที่อังกฤษ และเรื่องราวที่หนังสือเหล่านี้นำเสนอก็เป็นเรื่องสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ที่น่าอ่านทั้งนั้น

ไม่ได้อยู่แต่ในห้องสมุดหรอกค่ะ ไปขี่จักรยานชมรอบทะเลสาบ รู้สึกสงบ สบายใจดี
--------
มีดวงตาไว้เห็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม และมีหัวใจไว้เรียกร้องให้เกิดการแก้ไข

สังคมเราต้องการดวงตาและดวงใจเช่นนี้ค่ะ

 

โดย: แม่ญิงโย-นก IP: 202.7.166.166 21 สิงหาคม 2550 20:02:33 น.  

 

พี่ยาย..

โอ่งน้อยเป็นไงแล้วล่ะค่ะ.. แหะ แหะ ขออภัย
มาถึงก็ผ่ากลางวงถามหาโอ่งน้อยก่อน วันก่อนมาอ่านแล้วไม่ได้ตอบคอมเม้นท์

วันนี้มาอัพบล็อก 2 เรื่อง..ข่าวเรือล่มที่เกาะ กับข่าวเว็บที่แจมดูอยู่ โดนกระทรวงบล็อกหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ

กำลังติดตามและรีบดำเนินการแก้ไขอยู่น่ะค่ะ

แจมอ่ะนะ.. เป็นคนไรไม่รู้พี่ยาย.. โชคดีไปซ้าทู้กเรื่อง



 

โดย: สีน้ำฟ้า 21 สิงหาคม 2550 23:52:45 น.  

 

..สวัสดีค่ะ พี่ยาย..

นกขอเรียก พี่ยาย ด้วยคนนะคะ ได้เห็นพี่ยายแล้วในบล็อกอาโดมค่ะ

กลับมาอ่านงานของพี่ยายรอบสองด้วยค่ะ

 

โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) 22 สิงหาคม 2550 10:08:43 น.  

 

มาบอกข่าวเรื่องแมวครับ...
ตอนนี้ยังอยู่ที่บ้านในเชียงใหม่เน้อ...
ตายังไม่แตกเลย..
นอนอยู่ในกล่องกระดาษชั้นบน ทำไงดีจะนอนในตะกร้าหวายกับเขาบ้างเนาะ...

วันเสาร์เจอกันเน้อ...

 

โดย: pu_chiangdao IP: 203.151.243.6 22 สิงหาคม 2550 20:57:53 น.  

 



ป้าแอ๊ดเคยไปปฏิบัติธรรมที่บ้านกรินชัย โคราช

คุณแม่สิริ กรินชัย ท่านสอนว่า
คนเรามีทางเลือกที่จะมีชีวิตได้หลายทางทั้งความทุกข์และความสุข

เราควรจะเลือกแต่ทางที่ทำให้เรามีแต่ความสุข
ไปเลือกทางแห่งความทุกข์ทำไม

เป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่งค่ะ



 

โดย: ป้าแเอ๊ด (addsiripun ) 22 สิงหาคม 2550 22:46:43 น.  

 

เศร้าใจจังค่ะ
พูดไม่ออก บอกไม่ถูก..


ขออนุญาตอ่านงานเขียนในบล็อก
และขอแอดบล็อกด้วยนะคะ



 

โดย: ภูเพยีย 23 สิงหาคม 2550 9:02:50 น.  

 

โอ่งน้อยหายยังยาย
เข้าใจความรู้สึกนะ
เราเคยเอาแมวไปผ่าตัดทำหมันหลายตัว
บางตัวซยมาก ท้องฉีก (แผลฉีก)เห็นไส้เลย
ต้องเอาไปหสหมอเย็บแผลอีก ดูแลอีก สาระพัดจะต้องจัดการ
ดีว่ามันไม่โอดโอย แต่อ้อนนิดๆ

มีตัวหนึ่ง ท้องแตกอยู่กลางถนน ไปเจอเข้า (ที่เกาะมุกด์)
เอามาหาหมอเย็บแผล แมวผอมโซ สีดำน่าเกลียด ตอนนี้อ้วนท้วน ฉลาด มันได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า

โอ่งน้อยคงเป็นอย่างนั้นนะ

ทำไมเมนท์ไม่ได้หนอ
เดี๋ยวจะไปเช็คในบล็อกนะ

 

โดย: เงาศิลป์ IP: 203.146.63.182 23 สิงหาคม 2550 9:47:26 น.  

 

ป้ายาย..ไปเฝ้าโอ่งน้อยหรือคะ..

หายๆ เงียบๆ ไงก็ไม่รู้

 

โดย: แจม IP: 61.7.160.254 23 สิงหาคม 2550 14:49:29 น.  

 

เปิดบล็อกแล้วนะ
เข้าไปดูหน่อย
ใช้ชื่อ ตานลวิน
ยังไม่ได้ทำอะไรมาก ยังงงๆอยู่

 

โดย: ฉันเอง IP: 58.8.138.139 23 สิงหาคม 2550 15:05:09 น.  

 

สวัดดีค่ะน้ายาย

อาการของน้องโองน้อยเป็นอย่างไรค่ะ
ขอให้อาการดีขึ้นไวๆค่ะ
แต่เจ้าของของน้องโองน้อยก็ต้องเข้มแข็งด้วยนะค่ะ
จะได้ดูแลน้องโองน้อยได้

น้ายายพูดถึงการจับฉลากเลือกที่เรียน หนูพอจะนึกได้และคิดว่าจะต้องเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่มาเรียนที่วิทยาลัยของหนู หลังจากที่พวกหนูเรียนไปได้หนึ่งเดือนแล้ว
หนูลืมบอกไปค่ะว่าที่วิทยาลัยหนูมีเพื่อนจากภาคใต้มาเรียนร่วมด้วยอีก 80 คน สวนใหญ่เป็นไทยอิสลามและเด็กเหนืออย่างพวกหนูอีก 80 คน
หนูไม่รู้ว่ากระบวนการคัดเลือกเป็นอย่างไรนะค่ะ
แต่ในความรู้สึกของหนูคิดว่าในภาวะวิกฤตก็ยังมีโอกาสสำหรับใครๆหลายๆคน
มีเพื่อนหนูหลายคนอยากเรียนแต่ไม่มีโอกาสและไม่มีการรองรับความต้องการ อาจด้วยกำลังการผลิตที่จำกัด
แต่ในกลุ่มเด็กหลายคนที่ยังได้ไปจับฉลากเขายังมีโอกาสมากกว่าเพื่อนๆหนู แม้ว่าจะมีบางคนต้องผิดหวัง แต่ก่อนที่จะผิดหวัง เขายังมีความหวังใช่ไหมค่ะ
บางคนที่มานะค่ะจบมหาลัยแล้ว บางคนอายุตั้ง 30 บางคนกำลังท้อง บางคนก็มีที่เรียนอยู่แล้วก็ลาออกมาเรียน

เพื่อนคนหนึ่งโทรมาปรึกษาหนูวาจะเอ็ดฯใหม่เข้าคณะพยาบาล
สำหรับเขาคนนี้หมดหวังที่จะเรียนในสาขานี้ตั้งแต่อยู่ ม. 4แล้ว เขาสอบเรียนสายวิทย์ไม่ได้ ทั้งที่เขาฝันอยากเรียนตั้งแต่ประถม แต่หนูไม่ค่อยเท่าไหร่
ตอนไปสอบเราก็ไปด้วยกัน แต่เราได้อยู่กันคนละห้องตั้งแต่มอต้นยังมอปลาย

ประจวบกับตอนนี้ที่มหาลัยเขาจะเปิดคณะพยาบาลใหม่
เขาบอกว่ามีแนวทางที่เขาจะได้เรียนหากเขาสามารถสอบติด เพราะเขาเป็นศิษย์เก่า
แต่ติดตรงที่ว่าคณะจะได้รับรองหรือเปล่า ถ้งไม่ได้รับการรับรอง เขาก็เสี่ยงกับการที่จะไม่ได้สอบใบประกอบวิชาชีพหลังจากจบแล้ว การทำงานก็จะลำบาก
เขาให้หนูช่วยตัดสินใจ หนูก็บอกให้เขาตัดสินใจเอง หาข้อมูลประกอบมากๆ หลายๆส่วน หนูจะช่วยได้ในส่วนที่หนูรู้ แต่ไม่อยากตัดสินใจแทนใคร
เพราะถ้าเป็นตัวหนูคิดว่าชีวิตเรา เราตัดสินใจเอง เวลาไม่ได้ดังใจเรา เราจะได้ไม่ต้องโทษใครและจะได้ทำใจยอมรับมันได้ง่ายกว่าเพราะว่าเราเลือกเอง
หนูว่ามันเจ็บปวดกับการที่มีใครมาช่วยเราตัดสินใจ แล้วผลออกมาคือ มันไม่ได้ดั่งใจ แล้วต้องมานั่งเสียใจว่าทำไมเราไม่เลือกเอง เราต้องเผชิญกับมันเอง ไม่มีใครที่จะเผชิญมันกับเราตลอดเวลา ดังนั้นเราเลือกเองดีที่สุด
แต่อาจรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้ การตัดสินใจเราควรพิจรณาเองน้ายายว่าจริงไหมค่ะ

ด้วยความเคารพ

 

โดย: lukkongpoka IP: 61.7.231.130 23 สิงหาคม 2550 16:27:21 น.  

 

มองในมุมกลับสิค่ะ
แอมมักใช้วิธีมองในมุมกลับ
เวลาที่แอมไม่พอใจอะไรสักอย่าง
ก่อนที่แอมจะทำอะไรไป
แอมจะเลือกมองในมุมกลับกัน
อย่างกรณีพระเอาบุหรี่ไปจุดกับเทียนพรรษา
ถ้าเป็นมุมมองของแอม อันดับแรกแอมจะไม่พอใจพระ
แต่อันดับสองแอมจะถือว่า อย่างน้อยพระก็ไม่แอบซ่อน
หรือลักทำอะไร ที่ไม่ถูกไม่ควร อันดับสาม อย่างน้อย
เทียนพรรษาก็ยังได้ใช้ประโยชน์หลายด้าน
แม้ว่าสมัยนี้แสงสว่างจากไฟจะไม่มีประโยชน์เท่าสมัยก่อน
บางทีการมองหาข้อดีเล็กๆ น้อยๆ ของสถานการณ์ก็ทำให้เราสบายใจค่ะ


เหมือนตอนนี้ที่ทำงาน มีเรื่องภายใน แต่แอมก็สบายๆ
แอบคิดว่า โอว์ เขาทำได้ยังไง ทำให้คนอื่นเกลียดได้ถึงขั้นนี้
แทนที่เราจะโมโห เขามากมาย มันก็กลายเป็นเรื่องตลกไปซะ


 

โดย: หมูแอม IP: 222.123.29.85 23 สิงหาคม 2550 16:52:35 น.  

 

รู้สึกเป็นเกียรติที่แวะไปเยี่ยมที่บล็อคนะคะ

เรื่องความรู้สึกผิดหวังในมนุษย์รอบตัว
หรือแม้แต่กับบรรพชิต ก็คงมีหลายคนรู้สึกเหมือนๆ กันค่ะ
ช่วงนี้ลองหาหนังสืือธรรมะมาอ่านเพื่อเป็นยาใจ แต่เริ่มจากที่น่าจะเข้าใจง่ายก่อน
วันก่อนได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ชื่อเรื่อง พระเจ้าของชาวพุทธ
ท่านกล่าวไว้พอจับความได้ว่า อะไรที่ผิดเพี้ยนไม่ได้มาจากศาสนาเสื่อม แต่มาจากคนที่ขาดศีลธรรม ทำให้เป็นแค่คน ไม่เป็นมนุษย์เสียที

แต่จะให้คนเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรม ดูจะยากเหลือเกิน
หรือเราจะต้องกลายเป็นคนส่วนน้อย
หรือว่าเราจะคิดอะไร "ร้าย" เกินการณ์

ปล. ขอแอดบล็อคนะคะ จะมาหาเรื่อง...ดีดี ไว้อ่าน

 

โดย: นางไม้หน้า3 23 สิงหาคม 2550 23:20:04 น.  

 

แม่ญิงโย-นก

ถ้อยคำของแม่ญิง ที่ว่า

มีดวงตาไว้เห็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม
และมีหัวใจไว้เรียกร้องให้เกิดการแก้ไข
สังคมเราต้องการดวงตาและดวงใจเช่นนี้
(ดียิ่ง-นี่แหละคือประเด็นขอบคุณแม่ญิงมาก)

ขอเอาไปใช้หน่อยนะ...25 นี้ เขามีการสัมมนานักเขียนสีภาคที่เชียงใหม่

เราคิดว่า นี่แหละที่นักเขียนควรตระหนัก รวมทั้งสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยด้วย เพราะสมาคมฯ ทำตัวไม่รู้ร้อนหนาวกับเรื่องราวในสังคม ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ไม่เคยมีแถลงการณ์ของสมาคมฯ สักฉบับ

การมาของสมาคมฯ ครั้งนี้ เราถือว่าเป็นการเปิดตัวสู่สาธารณะชน

พอดีเรากำลังทำเอกสารที่จะเอาไปแจกให้กับผู้ร่วมสัมมนา
เพราะหัวข้อพูดคุย เรื่อง นักเขียนภาคเหนือกับประเด็นสิ่งแวดล้อม เพื่อน ๆ ส่วนเชียงใหม่กลุ่มหนึ่งจะนำเสนอเรื่องแม่น้ำปิงรอบนอก

 

โดย: แพรจารุ 23 สิงหาคม 2550 23:40:57 น.  

 

โลกมีหลาย ๆ มุมให้มอง
อยู่ที่เราจะเลือกมองในมุมไหน

แต่ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่
มักจะมองในมุมที่ตาตัวเองเห็น




แวะมาทักทายยามดึกคะ

 

โดย: ArmSLavesArxZ 24 สิงหาคม 2550 23:48:09 น.  

 

และตัวเองเชื่อหรือคิดว่าไอ้สิ่งที่เราเห็นมันจะต้องเป็น
แบบนั้น


เพิ่มนิดนึง อิอิ

 

โดย: ArmSLavesArxZ 24 สิงหาคม 2550 23:52:17 น.  

 

อือ.. ลืมไปเลยว่า 25 มีสัมนานักเขียน..

โหยยย..ถ้าไม่ติดงานบัญชีนะ หนูติดปีกไปแล้วววว..

รักษาสุขภาพนะคะป้ายาย..อย่าหามรุ่ง หามค่ำมากนัก
เป็นห่วงค่ะ

 

โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.165.253 25 สิงหาคม 2550 0:26:47 น.  

 

"เงาศิลป์ สีน้ำฟ้า lukkongpoka และเพื่อนๆ ที่ถามถึงเรื่องโอ่งน้อย และให้กำลังใจมา ทั้งที่นี่และ "ที่ครอบครัวหมาๆ" ขอบคุณมาก ๆ และต้องขอโทษในเวลาเดียวกันที่ไม่ได้ตอบ ทำเหมือนว่า ความห่วงใยไม่มีความหมาย ซึ่งจริง ๆ แล้วมีความหมายยิ่งนัก แต่ยังไม่อยากบอกเพราะยังทำใจไม่ได้ เมื่อบอกไปแล้วจะเสียใจไปด้วย เพราะในช่วงแรกที่ผ่าตัดเสร็จดูเหมือนทุกอย่างจะดี แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

และตอนนี้คิดว่า ถึงเวลาที่จะบอก ว่า
โอ่งน้อยได้เป็นอาจารย์ใหญ่แล้ว ถือว่าเป็นงานที่มีค่ายิ่งของมัน

 

โดย: แพรจารุ 25 สิงหาคม 2550 0:40:01 น.  

 

เรื่องของโอ่งน้อยเป็นเช่นนี้

width='450' height='297' border=0>width='450' height='292' border=0>


นี่คือความจริง ของชีวิต อย่าว่าแต่เกิดเป็นลูกนักเขียนเลย เกิดเป็นหมานักเขียนก็ยังลำบากแล้ว แค่เงินค่าผ่าตัดสามพันถึงห้าพันยังเป็นเรื่องยากเหลือเกิน

เช้าวันต่อมา โอ่งน้อยเข้ารับการผ่าตัด จากการช่วยเหลือด้านการเงิน จากเพื่อนนักเขียน แต่เป็นเงินจากโรงเรียนอนุบาล การผ่าตัดใหญ่เพื่อเอากระดูกออกมาได้สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามมันยังไม่ปลอดภัยเพราะมีแผลที่ลำไส้ และมีความหวังเพียงน้อยนิด

ฉันดูเข้าไปทางกระจก มีผู้ป่วยนอนอยู่ในตู้บ้างในกรงบ้าง นั้นเป็นโอ่งน้อยแน่นอน ฉันคิดว่ามันเห็นฉัน และมันเห็นฉันเห็นกันไกล ๆ และฉันคิดว่าพรุ่งนี้ฉันจะมาหามันใหม่ในช่วงเวลาเยี่ยมบ่ายโมงถึงสามโมงเย็น ที่นี่ต้องเยี่ยมตรงเวลามาก

วันต่อมา ฉันรู้สึกไม่ต่างไปกับคนในครอบครัวจากไป ฉันไปเยี่ยมโอ่งน้อยกับเพื่อน โรงพยาบาลใหญ่ใช้ระบบเดียวกับของคน ห้องเยี่ยมอยู่ด้านหลัง เราเดินไปเยี่ยมโอ่งน้อย ห้องพักฟื้นที่มีเสียงคราง อิ่ง อิ่ง ดังออกออกมา มันเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดจริง ๆ

เขาบอกว่า โอ่งน้อยเสียแล้ว ให้เราไปติดต่อด้านหน้า จ่ายเงินรักษาแล้ว เขาถามว่าจะรับร่างกลับหรือว่าจะบริจาคร่างให้นักศึกษา ฉันตัดสินใจในทันทีว่าให้นักศึกษา เขายืนกระดาษให้แผ่นหนึ่ง และบอกว่า ถ้าฉันสงสัยอะไรเกี่ยวกับการเสียชีวิตของโอ่งน้อย ฉันคุยกับหมอผ่าตัดโอ่งน้อยได้ ฉันบอกเขาว่าไม่สงสัย ฉันเชื่อว่าหมอต้องการให้หายพอ ๆ กับฉัน

ฉันรับแผ่กระดาษมา อ่านสรุปว่า ฉันยินยอมยกร่างให้เพื่อการศึกษา น้ำตาไหลพราก ๆ เมื่อเซ็นชื่อลงไปในกระดาษ

วิมายา เพื่อนที่ไปด้วยกันบอกฉันว่า ไม่เป็นไรหรอก เออ...โอ่งน้อยมันได้เป็นอาจารย์ใหญ่แล้ว ไม่ใช่ไร้ค่าเสียทีเดียว

เออจริง...ฉันขอให้มันได้มีชีวิตต่อเพื่อทำหน้าที่ให้ความสุขแก่ผู้คน ด้วยความน่ารักของมัน แต่มันก็ได้ทำหน้าที่ของมัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน มันทำหน้าที่เพื่อพวกมันเอง ในโรงพยาบาลนี้ต่อไป

ฉันไม่รู้ว่าฉันจะบอกเขาได้อย่างไรว่าวันที่เขาจูบมันก่อนส่งให้หมอในเย็นวันนั้นก็คือการจูบลา

ฉันเดินกลับบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน หลานสาวรออยู่ เธอถามทันทีโอ่งน้อยเป็นอย่างไรบ้าง ฉันบอกเธอว่า ให้โอ่งน้อยอยู่คุณหมอที่โรงพยาบาลมันช่วยหมอทำงานที่นั่น ผ่านไปหลายเช้า เธอยังมาคุยทุกเช้า ว่าโอ่งน้อยมันจะได้กลับมาบ้านไหม มันจะคิดถึงจูนี่ไหม

ส่วนพี่ชายคนโตอายุสิบเอ็ดขวบ เขารู้ว่ามันตายแล้ว เขาไม่พูดอะไร แต่ฉันรู้ว่าเขาเสียใจ เพราะมันเป็นหมาของเขา ฉันยกให้เขาเป็นเจ้าของ ให้เขาตั้งว่าโอ่งน้อย เขามากางมุ้งให้มันทุกวัน และเรียกมันไปหามันทุกวันก่อนไปเรียน มันจะวิ่งตามจักรยานไปส่งเขาและวิ่งกลับมา วันหนึ่งเจอหมาใหญ่อยู่หน้าบ้าน พวกตัวโต ๆ เห่าขู่และทำท่าจะสู้กัน โอ่งน้อยเอาตัวรอดวิ่งกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว และเข้าไปหมอบอยู่ใต้โต๊ะ

เขาบอกว่า เขาคิดถึงเพื่อนของเราคนหนึ่งที่เสียลูกไป และเห็นลูกเจ็บปวด ในช่วงที่เห็นโอ่งน้อยร้องแต่ฉันบอกเขาว่า ฉันคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ถอยรถไปชนลูกตัวเองตาย ฉันเคยสัมภาษณ์ผู้ชายคนนั้น

ฉันรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกที่หยิบยื่นกระดูกให้มัน

เขาบอกว่าอย่าคิดมากเลย หากมันไม่แย่งกระดูกตัวอื่นวันนี้ วันหลังมันก็แย่งจนได้ เราจะทำบุญให้มัน

ฉันลุกขึ้นไปเก็บจานเล็ก ๆ สีขาว เก็บกล่องกระดาษที่นอนของมันไปไว้รวมกับของเก่ารอขาย

 

โดย: แพรจารุ 25 สิงหาคม 2550 0:45:43 น.  

 

แจม รู้ได้อย่างไรว่านอนดึกหรือหามรุ้งหามค่ำ หรือเทียบกับตัวเอง
หลังจากที่พี่ส่งเมลไปหาแจมแล้วรู้สึกบายใจขึ้น และเขียนบล็อกใหม่ ครอบครัวหมา ๆ พร้อมกับลุงขึ้นบอกเพื่อน ๆ เรื่องโอ่งน้อย ดูเหมือนเมื่อได้เขียนถึงมันแล้วสบายใจขึ้น

ดอกไม้สวย ๆ แด่ ...โอ่งน้อย อาจารย์กนกวรรณส่งมาให้ไม่ทราบว่าไปเอามาจากไหนที่ส่งต่อ ๆ มาทางเน็ต

ไปนอนล่ะนะ พรุ่งนี้จะไปจัดรายการวิทยุแต่เช้า อยากฟังไม่ล่ะ เป็นวิทยุชุมชน เฉพาะวันเสาร์ ความจริงก็ไม่เช้าหรอกสิบโมง พรุ่งนี้จะคุยกันเรื่อง การมาของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

คิดถึงเช่นกัน

 

โดย: แพรจารุ 25 สิงหาคม 2550 1:12:35 น.  

 

สวัสดีจ้ะยาย

ช่วงนี้มีเพื่อนที่มาคุยในบล็อกที่หมาที่รักตายจากไปอย่างกระทันหันที่เรารับรู้ถึงสามคนในเวลาติดๆไล่เรียงกัน

เริ่มจากคุณ P tim หมาชื่อเจ้าหมี ตัวนี้เราเคยเห็นและถ่ายรูปไว้ตอนที่เราไปพักที่บ้านบนดอยโป่งแยง โดนรถมอเตอร์ไซค์ชน เอาไปรักษาแล้วกลับมาเหมือนจะหาย แต่ก็ตายในวันรุ่งขึ้น


อีกคนคือคุณยานาเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ เธออยู่กับหมาสองคนเท่านั้น เรียกว่าหมาเป็นเกือบทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ หมาเธอชื่อฟาง ฟาง นี่เพิ่งตายหมาดๆก่อนเจ้าโอ่งน้อยไม่นานนัก

คนที่สามก็คือยายแม่เจ้าโอ่งน้อยนี่แหละ..

เรื่องเศร้าๆเกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน เราก็ต้องรู้เท่าทันความรู้สึกที่เกิดขึ้น มันจะเศร้าโศกมากเสมอเมื่ออะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นนั้นเป็น"ของเรา"


ประโยคข้างล่างที่เน้นตัวหนานี้ เราตัดตอนมาจากเรื่อง "ระเบียงมิตรภาพ" ที่เพิ่งตีพิมพ์ไปในขวัญเรือนเมื่อไม่นานนัก เป็นเรื่องที่เขียนถึงเพื่อนคนหนึ่งที่หมาตาย เลยตัดตอนมาให้อ่านด้วยความเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้น...


ผมเข้าใจถึงความรู้สึกเศร้าเวลาหมาที่เลี้ยงตายลงอย่างกะทันหัน เพราะเมื่อ 18 ปีที่แล้วผมก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน คือหมาตัวหนึ่งที่เลี้ยงไว้ตายด้วยความซุกซน เพราะมันไปกัดกระป๋องยาฆ่ามดที่วางไว้ไม่พ้นปากหมา

ผมฝังมันไว้ที่โคนต้นมะม่วงในสวนเล็กๆข้างบ้าน ตอนนั้นผมยังไม่มีลูก ภรรยาผมร้องไห้ราวกับว่าใครสักคนในครอบครัวเสียชีวิต

ขณะที่ผมกำลังขุดหลุมฝังเจ้าซูโม่ด้วยความโศกเศร้าอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงคำตรัสของพระพุทธองค์แว่วมาว่า “การพลัดพรากจากสิ่งที่รักย่อมเกิดทุกข์”

นี่ขนาดหมาที่รักตายยังรู้สึกเศร้าโศกถึงเพียงนี้ พลอยทำให้ผมนึกถึง “สิ่งที่รัก” อื่นๆขึ้นมาอีก เมื่อรักและผูกพันแล้วก็ย่อมมีวันจากพราก เมื่อพลัดพรากจากสิ่งที่รักแล้วย่อมเกิดทุกข์อย่างแน่นอน

 

โดย: พ่อพเยีย 25 สิงหาคม 2550 7:02:13 น.  

 

เศร้าเลยฉัน...คิดถึงจึงมาหาจ๊ะ

 

โดย: tai (taibangplee ) 25 สิงหาคม 2550 13:19:33 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่แพรฯ
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะเรื่องโอ่งน้อย
"พบเพื่อพราก" จริง ๆค่ะ

ที่บ้านเลี้ยงหมาตัวสุดท้ายตั้งแต่พ่ออยู่ เป็นแม่หมาชื่อ กิม ลูก ๆมันตายหมด เนื่องจากรถชน เพราะบ้าน(บ้านแม่)อยู่ติดถนนใหญ่ ขายของชำ ไม่มีรั้วหน้าบ้าน พอพ่อเสีย(ปี38) วันทำบุญ100วันให้พ่อ เจ้ากิมก็เสีย อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ป่วยมาก่อนหน้านั้นแล้ว
หลานสาวเอาไปฝังที่หลังบ้าน ปักป้ายชื่อและคำอาลัยไว้ด้วย
หลังจากนั้นไม่ได้เลี้ยงหมาอีก เพราะบ่อยครั้งที่เราเดินทาง ทิ้งบ้านไว้หลายวัน ข้างบ้านก็ไม่คุ้นเคยพอที่จะฝากเลี้ยง

อ่านจากคอมเม้นท์ของพี่โดมแล้วได้เรียนรู้หลักการคิดนะคะ

พักผ่อนและดูแลสุขภาพด้วยนะคะพี่แพรฯ และฝากถึงพี่หนอมด้วยค่ะ

 

โดย: นกแสงตะวัน 25 สิงหาคม 2550 13:27:07 น.  

 

สวัดดีค่ะน้ายาย

เรื่องน้องโอ่งน้อยไม่ต้องคิดมากนะค่ะ
หนูเพียงอยากจะบอกว่าชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป
หนูจะเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หนูเองก็เคยเสียหมาที่ตัวรักไป
แต่วันเวลาและคนรอบกายได้ช่ายเยียวยารักษาหัวใจให้หายดีแม้จะไม่ปรกติ
แต่ก็สามารถเผชิญกับความจริงได้

ด้วยความเครพ

 

โดย: lukkongpoka IP: 61.7.231.130 25 สิงหาคม 2550 17:03:00 น.  

 

อ่ะจ้ะ.. โทรมาเพราะเป็นห่วง

เนื่องจากโทรก่อนเช็คเมล์ และอ่านบล็อก
ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรจ้า....

รักษาสุขภาพนะคะ..

แจมเข้าใจเรื่องโอ่งน้อย เพราะแจมโดน..สมัยสึนามิแมวแจมหายไปกับสึนามิ ไม่ตาย พอตอนหลังทราบว่าตายก็ร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นแมวแบบเดียวกัน..

แล้วกาลเวลาจะช่วยรักษาแผลนี้ให้ค่ะ.. เก็บความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับโอ่งน้อยไว้คิดถึงนะคะ..

 

โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.164.120 25 สิงหาคม 2550 20:38:15 น.  

 

ยาย เสียใจด้วย...ทำบุญให้โอ่งน้อยนะ
ตักบาตรก็ยังดี
แล้วอธิษฐานให้ดวงวิญญาณมาเกิดใหม่เป็นคน
เขาจะได้มีโอกาสสร้างกุศลด้วยตัวเอง
จะได้ไม่ต้องทรมานแบบนี้อีก

อย่างน้อยยาย ก็เรียนรู้เรื่องการตายอีกแบบหนึ่ง
แต่ความรักไม่ขาดหายไปจากใจ ใช่ไหมยาย

ขอให้โอ่งน้อยไปดี
แมวเราทุกตัวที่ตายไป เพราะอุบัติเหตุ
เราคิดว่าถึงเวลาที่เขาต้องเปลี่ยนภพของเขาแล้ว
ช่วงที่เขาอยู่กับเราเราจึงดูแลเขาอย่างดีที่สุด เพื่อไม่ต้องเสียใจ ว่าละเลยเขาไง

โชคดีที่เขาเจอเรา ได้ความรักความห่วงใยไงยาย
หมาข้างถนนน่าสงสาร มันขาดความรัก

เลิกเศร้า ๆ ๆ ความเศร้าไม่เหมาะแก่ชีวิต

 

โดย: เงาศิลป์ IP: 203.146.63.185 25 สิงหาคม 2550 21:56:19 น.  

 

ดีจัง..ที่บอกว่า ความเศร้าไม่เหมาะแก่ชีวิต
ส่วนใหญ่เราคงอยู่กับความไม่เหมาะกระมัง.

 

โดย: นกแสงตะวัน IP: 125.25.165.172 26 สิงหาคม 2550 9:32:44 น.  

 

อยากให้ทุก ๆ คนมีความสุขมากๆน่ะค่ะ

 

โดย: หยง IP: 203.172.199.254 6 สิงหาคม 2551 16:41:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แพรจารุ
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..
۞ บทกวีและเรื่องสั้น ถนอมไชยวงษ์แก้ว
อัพเดท

..
۞ จากกระท่อมทุ่งเสี้ยว โดยถนอม ไชยวงษ์แก้ว
อัพเดท 17 ต.ค.51
http://www.youtube.com/watch?v=L21lhWsu8QQ&feature=related object width="315" height="80">
หา โค้ดเพลงhi5 : hi5 song code search
Friends' blogs
[Add แพรจารุ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.