แม่และฉันตอน 1 วันที่เขียนถึงแม่
"คนรักและหินหอย"รวมเรื่องสั้นเล่มล่าสุดยังมีขายอยู่ ที่ร้านดอกหญ้าทุกสาขา
************************************
เปิดเรื่อง ฉันมีเรื่องราวที่เขียนถึงพ่อมากมาย
ทั้งที่เป็นบทความ ความเรียง บันทึก เรื่องสั้น และวรรณกรรมเยาวชนเป็นเล่ม ๆ
แต่เป็นครั้งแรกที่เขียนถึงแม่อย่างจริงจัง ทั้งนี้เพราะฉันเป็นลูกที่อยู่ห่างไกลแม่มาก และนี่เป็นตอนที่1
*************
แม่และฉัน
1
เช้า ๆ ตื่นขึ้นมาทำใจให้แจ่มใส ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ทำบุญตักบาตรตอนเช้า ทำจิตใจให้ดี พูดจาให้เพราะ อย่าโกรธเคืองโมโหใครเขา
ยามเช้าดี ก็ดีไปทั้งวันถ้าเช้าเริ่มต้นไม่ดี ก็จะไม่ดีทั้งวันแหละ
เป็นคำพูดของแม่ที่กรอกหูตั้งแต่เด็ก
นอกจากจะให้ล้างหน้าล้างตาทันทีที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้ว แม่ยังให้ท่องนโมสามจบก่อนล้างหน้า เรียกว่าท่องคาถาเสกน้ำ
อยู่ให้มันนิ่ง ๆ บ้างก็ได้นะลูก
นี่ก็เป็นอีกคำหนึ่งของแม่ เมื่อแม่เห็นว่า พวกลูก ๆ วุ่นวายกับเรื่องต่าง ๆ มากเกินไป การที่แม่บอกให้อยู่นิ่ง ๆ เป็นคำเตือนและคำตำหนิ
แม่เคยร้องไห้เพราะลูกอย่างฉันไม่หยุดนิ่ง ๆ อยู่สองครั้งเห็นจะได้ แค่สองครั้งก็รู้สึกผิดไปตลอดนั่นแหละ
ครั้งหนึ่ง เมื่อลุงคนหนึ่งมาบอกว่า ครูที่โรงเรียนของหลาน เป็นครูไม่ดี หาเรื่องเด็กขู่เด็กเพื่อที่จะนอนกับเด็กนักเรียนสาว ๆ ถึงขั้นว่าถ้าไม่นอนกับครูจะให้ตกในวิชาของครู เด็กคนไหนมีแฟนก็ขู่ว่าทำผิดระเบียบมีเรื่องชู้สาวรู้ถึงฝ่ายปกครองจะโดนไล่ออก แต่ถ้านอนกับครู ครูจะช่วย และว่าถึงอย่างไรก็มีแฟนแล้วเป็นแฟนกับครูอีกคนแล้วกัน
แกไปถาม พ่อแม่ของเพื่อน ๆ หลาน บอกให้ไปถามลูกสาวตัวเอง ได้ความว่าจริง
"ลุงจะร้องเรียนผ่านหนังสือพิมพ์ได้ไหม"
ฉันบอกว่าได้ แต่เมื่อลุงกลับไปแม่บอกว่า อยู่นิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ บ้าง อย่าไปยุ่งกับเขาให้เขาจัดการกันเอง ใครเขาก็รู้ว่าลูกทำหนังสือพิมพ์ถ้ามีข่าวลงหนังสือพิมพ์ เขาก็ต้องรู้ คิดดูมีใครสักกี่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ "เรื่องแบบนี้แล้วมันไม่ดีหรือแม่"
"มันหน้าที่ของเราหรือลูก"
ฉันประนีประนอมแม่ว่า ฉันไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรมาก จะให้ลุงแกเป็นคนเขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์เอง
เป็นจดหมายร้องเรียนถึงบรรณาธิการ แล้วฉันจะเอาไปส่งให้ลุงที่ไปรษณีย์
"ไม่ต้องไปยุ่งให้ลุงแกไปเขียนไปส่งของแกเอง"
เช้าวันต่อมา ลุงมาแต่เช้า
เมื่อฉันบ่ายเบี่ยงให้ลุงเขียนจดหมายเอง ลุงก็แสดงความเป็นคนหัวหมอออกมาทันที
" มาบอกแล้วไม่ทำไม่ช่วย ถือว่ามีความผิดนะ เป็นนักข่าวเป็นนักหนังสือพิมพ์แบบไหน เขามาบอกแล้วไม่เขียน
ฉันต้องบอกลุงว่า ฉันลาออกแล้ว แต่ฉันช่วยลุงเขียนจดหมายได้ ลุงต้องเขียนด้วยลายมือของลุงเอง แต่ฉันจะแนะนำให้และเอาไปส่งไปรษณีย์ในอำเภอให้ด้วย
ฉันเห็นแม่ร้องไห้
แม่กลัวฉันจะเดือดร้อน ไม่ยอมให้ฉันเอาจดหมายลุงไปส่งเด็ดขาด อย่างไรแม่ก็ไม่ให้ไป ในขณะที่กำลังพูดเหตุผลอยู่กับแม่
ลุงมาบอกว่า "มันหนีไปแล้ว" วันนั้นครูโดนตีหัวเลือดสาด เป็นการสั่งสอนจากพ่อแม่เด็กและเขารีบออกจากพื้นที่ไปทันที
"ย้ายออกไปก็ไปทำไม่ดีที่อื่น ทำกับลูกคนอื่น ไปสอนที่ไหน อย่างนี้มันต้องให้ออกไปจากอาชีพครูเลย ทำให้ครูคนอื่นเขามัวหมอง"
"พอได้แล้วลูก ให้มันเป็นเรื่องของคนอื่นมั้ง"แม่ว่า
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อฉันกลับไปเยี่ยมบ้าน เขามีโครงการจะสร้างฝาย
ฉันคิดว่ามันไม่ควรสร้าง แต่ญาติที่เป็นทนายความ คนหนึ่งบอกว่า สร้างฝายนะดีแล้ว จะได้กักน้ำเอาไว้ในช่วงน้ำหลากน้ำมาก ไม่ให้น้ำไหลลงทะเลหมด เสียดายน้ำ เก็บไว้ใช้ช่วงแล้งดีกว่า พอช่วงแล้งจะได้เอาน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร ปลูกพืช ปลูกผัก
ฉันอธิบายว่า น้ำมันไหลลงทะเลไปตามธรรมชาติก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ช่วงน้ำหลากเราก็อยู่แบบน้ำหลาก ในช่วงน้ำหลากมีปลามากมายมากับน้ำหลาก โดยเฉพาะปลาไข่ กินปลาจากแม่น้ำ พอน้ำหลากผ่านพ้นไปดินทรายสีขาวเราก็ปลูกแตงโม หลังจากเก็บแตงโมก็ปลูกพริกขี้หนู ปลูกผัก ถึงช่วงน้ำหลากพอดีเก็บพริกหมด งวดสุดท้ายฟันมาทั้งต้น พวกสัตว์ที่เอาไปเลี้ยงก็ไล่ขึ้นที่สูง น้ำหลากผ่านไปก็ถึงฤดูกาลปลูกผัก ปลูกแตงโมกัน ตัดแตงโมขายเสร็จปลูกพริกขี้หนู ก็ไม่มีปัญหาอะไร ชีวิตหมุนเวียนไปตามธรรมชาติ
ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนแบบนี้มาตั้งนาน การทำฝายกั้นน้ำเป็นการฝืนธรรมชาติ บังคับการไหลของน้ำ
เขาโต้แย้งว่า ต่อไปน้ำจะไม่ท่วมที่ลุ่ม ไม่ต้องเอาวัวขึ้นที่สูงเวลาน้ำท่วม ในที่ลุ่มก็ทำการเกษตรได้ทั้งปีไม่ดีหรือ ส่วนด้านบนก็มีน้ำใช้ตลอดเพิ่มผลผลิตด้วย ไม่มีอะไรเสียหาย งบประมาณตกมาที่บ้านเราถือว่าโชคดีแล้วไม่เอาก็โง่
แต่ฉันว่ามันไม่จำเป็น บ้านเราที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องน้ำ นั่นไงโอ่งสีแดงขนาดยักษ์ที่เขาเอามาแจก เราจำเป็นที่ไหน บ้านเราน้ำท่าสมบูรณ์น้ำบ่อก็กินได้ โอ่งแดงขนาดยักษ์เอาไปแจกแถวอีสานก็พอ ไม่ต้องแจกทั้งประเทศจริงไหม
บังเอิญป้าคนหนึ่งเดินมา แกตั้งใจจะมาขอมะละกอไปแกงส้มสักลูก แกหยุดฟังและถามขึ้นว่า แล้วใครจะเป็นคนปิดเปิดประตูฝาย ถ้าน้ำที่กักไว้มากเกินจนล้นท่วมบ้าน แล้วถ้าเปิดแล้วก็ลืมปิดน้ำแห้งหมด จริงของแกนับว่าป้าแกมาได้ถูกจังหวะมาก ๆ ไม่มีใครตอบคำถามนี้
ฉันบอกกับป้าว่าต่อไปบ้านเราอาจจะไม่มีปลาแม่ปลาที่ไข่เต็มท้องกินแล้ว ปลาฉลาดตัวบาง ๆ ก็ไม่มี ปลาอะไรต่ออะไรที่มากับน้ำหลากก็จะไม่มีแล้วเพราะว่า เขาจะไม่ยอมให้น้ำหลากเหมือนก่อนแล้ว
ป้าทำท่าตกใจ พูดเสียงดังว่า อย่างนี้ไม่ได้
พี่ชายพี่สาว เป็นข้าราชการ แต่พวกเขาไม่ค่อยพูดไม่ค่อยเถียงกับใคร เมื่อฉันถามเขาว่า เขารู้เรื่องนี้ไหม เขาทำท่าไม่สนใจ ทำเป็นเฉย ออกจะทำท่ารำคาญนิด ๆ และก็ออกรถไปทำงาน
ข้าราชการไทยก็อย่างนี้แหละ ไม่สนใจอะไรเลย ความจริงแล้วเป็นครูก็ไม่ได้มีหน้าที่แค่สอนหนังสือ เป็นพยาบาลก็ไม่ได้มีหน้าที่แค่ล้างแผลคนไข้
พูดให้มันเบา ๆ หน่อยได้ไหมลูก อยู่ให้มันนิ่ง ๆ เหมือนคนอื่นบ้างได้ไหม แม่ร้องไห้พลางว่า เขาพวกคนใหญ่คนโต ลูกเป็นใคร
พี่สาวคนโตที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียวก็ช่วยอีกแรง โดยบอกว่า ใครจะทำอะไรก็ให้เขาทำเถอะน้อง
อ้าวพี่ พูดอย่างนั้นได้อย่างไร มันบ้านเรานะ แม่น้ำของเรา เราเห็นมาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่ใครจะมาทำอะไรก็ได้ พี่ก็เป็นเสียอย่างนี้แหละ พี่จะแค่หุงข้าวทำกับข้าวให้ลูกให้ผัวกินอย่างเดียวหรือ (ความจริงน้องที่เถียงอยู่ฉอด ๆ ก็กินด้วย)
ผ่านมาสองเรื่อง ฉันก็สงบปากสงบคำ และบอกแม่ว่า
ช่างมันเถอะนะแม่นะ ใครทำไม่ดีท่านกลายก็ลงโทษเองแหละ ก็ขนาดฉี่ลงไปในน้ำยังปวดท้องเลย (เชื่อกันว่าท่านกลายเป็นผู้ดูแลคลองกลาย)
ฉันอยู่บ้านได้ไม่นาน ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะกลับมาอยู่บ้านสักพัก
นี้เป็นเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อนที่ฉันทำให้แม่ร้องไห้
ฉันไม่ใช่ลูกสาวที่แม่ภาคภูมิใจ แต่เป็นลูกที่แม่เป็นห่วงอยู่เสมอ แม้เดี๋ยวนี้ผ่านมาจนฉันอายุสี่สิบแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนั้น ฉันรู้สึกได้
ในฤดูร้อนที่ผ่านมาฉันกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แม่บอกฉันว่า แม่ได้ทำบุญเผื่อฉันด้วย เพราะแม่คิดว่าฉันคงไม่ค่อยทำบุญ แม่ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน แม่จะทำในชื่อลูก ๆ แต่ส่วนใหญ่ทำให้ฉันเพราะว่า ลูกคนอื่นแม่เห็นว่าเขาทำกันอยู่บ้าง แต่ฉันคงไม่ได้ทำแน่นอน ก็จริงของแม่ ถ้าทำบุญในแบบของแม่ ฉันไม่ได้ทำ แต่แม่เชื่อได้ว่า ฉันไม่ได้ทำชั่วทำบาปอะไร
ในช่วงที่อยู่บ้านสิบห้าวัน แม่ให้ฉันเป็นคนใส่บาตรพระเพียงผู้เดียว เหมือนหนึ่งว่าเป็นโอกาสทองของฉันที่จะได้ทำบุญสร้างกุศล เหมือนทุกครั้งที่ฉันกลับไปบ้านจะต้องมีการทำบุญ ที่ต้องนิมนต์พระมาที่บ้าน ฉันต้องทำอาหารสักอย่างด้วยตัวเอง ฉันต้องไปนั่งไหว้พระข้างหน้า ด้วย ครั้งนี้ก็เช่นกัน
และครั้งนี้ฉันทำได้ดียิ่ง ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ล้างหน้าให้ผ่องใส นั่งรอใส่บาตรพระทุกเช้า ครบสิบห้าวัน
ก่อนที่ฉันจะเดินทางออกจากบ้านอีกครั้ง แม่ทำบุญเพื่อนิมนต์มาที่บ้าน ฉันทำกับข้าวเองหลายอย่าง และนั่งฟังพระใกล้ ๆ แม่ จนสวดจบไม่ลุกไปไหนเลย ยกอาหารมาถวายพระด้วยตัวเอง
และที่สำคัญอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ตลอด จนถึงวันออกจากบ้านอีกครั้ง แม้ว่าอยู่นอกบ้าน ฉันไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ เฉย งดงามตามแบบผู้หญิง เหมือนที่แม่ต้องการ และฉันคิดว่าแม่ก็รู้ แต่แม่จำยอมและคิดว่าการทำบุญเท่านั้นที่จะช่วยฉันได้
แม่ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ฉันเริ่มเปลี่ยน ฉันเริ่มเชื่อว่า ฉันอยู่รอดเพราะบุญของแม่จริง ๆ
******************
ภาพนี้ชื่อว่า "ความสุข"
Create Date : 10 สิงหาคม 2550 |
|
45 comments |
Last Update : 17 สิงหาคม 2550 14:15:47 น. |
Counter : 1753 Pageviews. |
|
|
|
เป๋นจะไดล่ะ สบายดีบ๊อ?
แจมวุ่น ๆ กับงานที่ร้านน่ะค่ะพี่.. แต่ยังไง..17-18 นี้จะไปกรุงเทพฯ ถ้ามีตังค์จะชิ่งไปหา.. แบบว่ารีบไป รีบกลับ
คิดถึงอย่างแรงงงงง..