แม้ไม่ได้สิทธิ์ก็ขอมีชีวิตอยู่อย่างชอบธรรม
งานตกค้าง
นี่เป็นงานตกค้างค่ะ งานนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งขอมาให้ช่วยเขียนเรื่องการเดินทางไปหลังสึนามิ ส่งไปแล้วแต่ไมได้ลง ดูเหมือนหนังสือเล่มนั้นปิดตัวลงก่อน (หนังสือที่เกี่ยวกับวรรณกรรมจะมีชีวิตไม่ยืนยาว) บังเอิญวันนี้ค้นพบต้นฉบับเก่า จึงนำมาลงในบล็อกนี้ให้อ่านกันเล่น ๆ นะคะ
***************** แม้ไม่ได้สิทธิ์ก็ขอมีชีวิตอยู่อย่างชอบธรรม การเดินทางของนักเขียนเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเรียกตัวเองว่า นักเขียนเมืองเหนือ บางคนก็เป็นคนเมืองเหนือแท้ ๆ แต่บางคนก็มาอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเป็นการถาวร
แสงดาว ศรัทธามั่น กับไพฑูรย์ พรหมวิจิตร กวีนักเขียนเมืองเหนือทั้งสอง ร่วมด้วย อัคนี มูลเมฆ นักเขียนนักแปล ,ทรงพล สุขเรือน( วาดชีวา พานภพ) จุฑามาศ ณ สงขลา แพร จารุ
จุดนัดพบที่จังหวัดภูเก็ต ยามเที่ยงวัน สู่ฝั่งทะเลอันดามัน ในช่วงนี้มีการสัมมนาเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินหลังสึนามิ ที่อันดาบุรีรีสอร์ท เขาหลัก อ.ตะกัวป่า จังหวัดพังงา
เราจึงมุ่งตรงไปที่นั้นก่อน มีผู้ร่วมเข้าประชุมนับพันคน มาจาก 6 จังหวัด ภูเก็ต สตูล พังงา ตรัง กระบี่ และระนอง
จากการสังเกตุการณ์และพูดคุยทำพอจะเข้าใจได้ว่า ผู้คนที่มารวมกันที่นี้ ต้องการสร้างแผนปฏิบัติการณ์เพื่อการแก้ไขปัญหาที่ดินหรือต้องการมีส่วนร่วมด้วย
นั่ง ๆ มอง ๆ ก็ทำให้ได้รู้ว่า จำนวนคนมหาศาลที่รวมกันอยู่ที่นี่ แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ได้อีก เช่น กลุ่มที่ดินป่าไม้ กลุ่มที่ดินเอกชน กลุ่มที่ดินราชพัสดุที่สาธารณะ กลุ่มที่ดินกรมเจ้าท่า และยังมีกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น กลุ่มบ้านเช่าอีก
ล้วนเป็นเรื่องที่นักเขียนสนใจ
กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นนี้ เขาบอกว่า เขาเป็นคนไทยแต่ไม่มีสัญชาติ เขาอยู่เขตแดนไทยพม่าที่จังหวัดระนอง กลุ่มบ้านเช่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีในสาระบบการให้ความช่วยเหลือก็ว่าได้ คนที่อยู่บ้านเช่าจึงตั้งกลุ่มขึ้นมา
ส่วนกลุ่มที่ดินป่าไม้ คืออยู่ในพื้นที่ของป่าไม้และพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ข้อนี้นักเขียนเมืองเหนือทำความเข้าใจได้ง่าย เพราะปัญหานี้มีมากในเมืองเหนือ กรณีชาวบ้านอยู่มาหลายปีโดยที่ไม่คิดจะมีเอกสารสิทธิ์ใด ๆ คืออยู่ไปเรื่อย ๆ สืบทอดลูกหลานเหลนมานาน แต่แล้ววันหนึ่งก็มีประกาศว่าอยู่กันอย่างผิดกฏหมายเพราะเป็นเขตอุทยาน เช่นเดียวกัน การยืนยันการอยู่ก่อนและเรียกร้องขออยู่ต่อไปโดนสัญญาว่าจะดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างดี
ส่วนกลุ่มที่ดินเอกชน หลังจากเกิดสึนามิบ้านเรือนหายไปกับคลื่นยักษ์ เมื่อเดินกลับไปบ้านที่เคยอยู่ ซึ่งเหลือแต่ร่องรอย แต่กลับกลายเป็นว่าที่ดินตรงนี้มีเจ้าของ มีเอกสารสิทธิ์มายืนยัน บางแห่งถูกปิดล้อมไม่ให้เข้าไป โอ
มนุษยชาติ มีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีกไหม ในที่ประชุมของกลุ่มที่ดินเอกชนจึงมีข้อเสนอว่า จะขอตรวจสอบที่ดินของนายทุน การพิสูจน์เอกสารสิทธิ์หรือการครอบครองปรปักษ์
พวกเขาบอกว่า หน้าหาดเป็นของนายทุนมีเอการสิทธิ์ 100 กว่าไร่ ชาวบ้านอยู่มานาน 200 ปี ไม่มีเอกสารสิทธิ์ (เป็นคำพูดของชาวบ้านหาดทรายดำ)
ไม่มีสิทธิ์ก็ไม่เป็นไรขอให้ได้อยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย (เป็นคำพูดของชาวบ้านบ้านทุ่งหว้า) ชาวเลต้องอยู่ริมทะเล ย้ายเราไปไม่ได้ ต้องอยู่ริมทะเล ต้องหากินกับทะเลและดูแลเครื่องมือทำกิน อยู่อย่างมั่นใจไม่ได้เลยว่า บ้านเป็นของเราเอง นี้คือเรื่องราวในที่ประชุมเสวนา นักเขียนในฐานะผู้สังเกตการณ์ได้เห็น จบจากการสังเกตการณ์
อัคนี มูลเมฆ เลือกเดินทางไปเกาะลันตา เขาแยกไปคนเดียว โดยมีทรงพล สุขเรือน หรือวาดชีวา บอกว่าจะตามไปสมทบภายหลัง
บ้านทุ่งหว้า บ้านชาวมอแกลน ที่ซึ่งเป็นทำเลทองด้านหน้าติดถนนด้านหลังติดทะเล เป็นที่ซึ่งมีผู้อ้างว่าเอกสารสิทธิ์และเป็นที่ซึ่งจะสร้างโรงพยาบาลด้วย(น่าจะเป็นเพราะว่าถนนนั้นแหละตัดผ่านมา) บ้านทับตะวัน ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวมอแกลน มีนักศึกษาและหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยเรื่องการสร้างบ้าน มีมูลนิธิต่าง ๆ ที่ทำงานด้านเด็ก
และบ้านทับปลา เป็นที่อยู่ของชาวมอแกลน บ้านทับปลารอดพ้นจากคลื่นสึนามิ เพราะนอกจากอยู่ห่างจากชายฝั่งออกมาแล้ว บ้านพวกเขายังถูกกั้นด้วยป่าโกงกาง
(เรียกขานคำว่า มอแกลน และ มอแกน ด้วยเหตุว่า มอแกน คือชาวทะเลที่อยู่ติดชายฝั่งมาก ๆ เช่นมอแกนหมู่เกาะสุรินทร์ ส่วนมอแกลนคือพวกที่อยู่บนบกใกล้ชายฝั่ง เช่นบ้านทับปลาและอื่นๆ แต่บัจจุบันได้ชื่อใหม่ว่า ไทยใหม่)
พื้นที่เป้าหมายที่ฉันจะเดินทางไป ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ของชนกลุ่มมอแกลน
ชนกลุ่มน้อย บอกเราว่าแม้ไม่ได้สิทธิ์ก็ของมีชีวิตอยู่โดยถูกต้อง ตามแบบวิถีชีวิต มีประเพณีวัฒนธรรม มีภาษาพูด มีรากเหง้าที่ยังต้องการสืบทอด มีการไหว้ผีตายาย แก้เหมยแก้บน สำหรับยิปซีทะเล ผู้เร่รอน สุขทุกข์จากทะเลถือเป็นของขวัญจากทะเล พวกเขาเรียนรู้การมีชีวิตอยู่กับทะเล ดังนั้นจึงขออยู่กับทะเลต่อไป
เย็นวันนั้นโชคดีเราได้ข้าราชการสาวสองคน ที่มาร่วมประชุมเสวนาด้วย เมื่อเธอรู้ว่าเราจะไปไหนเธอก็อาสาพาไปส่ง แต่ขอเอาแต่ผู้หญิงสองคน
เธอขับรถพาไปดูร่องรอยต่าง ๆ ที่เขาหลัก ซากรถยนต์เหมือนรถกระดาษที่ถูกขำยับย่น ไปที่บ้านทับตะวัน พบเด็ก ๆมาเรียนหนังสือที่อาคารเล็ก ๆ มีอาสาสมัครเป็นนักศึกษาจากธรรมศาสตร์มาสอนหนังสือให้พวกเขา เด็กโตกำลังทำผ้าบาติกและงานไม้ ส่วนผู้ใหญ่กำลังสร้างบ้าน
จากบ้านทับตะวันไปบ้านทุ่งหว้า จริงเหมือนเขาว่า ที่นี่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจจริง ๆ ด้านหน้าติดถนนด้านหลังติดทะเล
ชาวมอแกลนคนหนึ่งบอกเราว่า เอกสารสิทธิ์ที่ถูกอ้างถึงไม่ใช่ของจริง ที่จะสร้างโรงพยาบาลก็ไม่จริงเป็นคำกล่าวอ้างและพวกเขาก็จะอยู่ที่นี้ต่อไป
เรามาถึงบ้านทับปลาก่อนฟ้ามืด คืนนั้นหนุ่มมอแกลน พูดว่า ไม่รู้ว่าทำไมบรรพบุรุษของเราจึงดูต่ำต้อย ถูกว่าเป็นคนด้อยพัฒนา โง่ และสกปรก รู้สึกเป็นปมด้อย จนไม่กล้าเปิดเผย ต้องจนอยากให้ตัวเองสูญหายไปเลย
เรานิ่งเงียบกับถ้อยคำของเขา เขาพูดต่อว่า ถ้าถามอ้ายแสงดาว เราเป็นคนไทยเหมือนกันใช่ไหม อ้ายแสงดาวต้องตอบว่าใช่ แต่เขาเข้าใจไหม เขารู้ไหมว่าเราอยู่ที่นี่ --เขาไม่เข้าใจ เราเป็นชนกลุ่มน้อยแม้ว่าจะได้เป็นไทยใหม่
อ้ายแสงดาวบอกว่า มอแกลนก็ต้องเป็นมอแกลน เรามีภาษาพูดของเราเอง เราต้องพูดภาษาเรา ต้องยืนยัน ต้องมีค่ามีศักดิ์ศรี ถ้ายินยอมถ้ายอมแพ้ ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้ อ้ายก็ช่วยไม่ได้ ไปโรงเรียนพูดภาษาไทยแต่กลับมาบ้านต้องให้ลูกหลานเราพูดมอแกลน
ผมก็ไม่ลืมหรอกว่าเป็นมอแกลน บรรพบุรุษผมก็ต่อสู้มาเป็นพันปี และเรารักสงบ อะไรยอมได้เราก็ยอมจึงถูกหาว่าโง่ เมื่อก่อนถูกขู่ว่า ไม่ใช่คนไทยและจะให้ทางการมาจัดการ ถ้าเขาขู่อย่างนี้ก็ต้องยอมโง่
ส่วนแสงดาวบอกว่า สู้เพื่อความเป็นธรรมจะไม่โดดเดี่ยว
ตอนนี้เรากำลังกลัวบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำที่จะรุกเข้ามา จะทำให้เราไม่มีน้ำดื่ม เพราะที่นี่เราดื่มน้ำบ่อ น้ำบ่อยังสะอาด แต่ถ้าบ่อกุ้งขยายมาเรื่อย ๆ เราจะทำอย่างไรหนุ่มคนเดิมว่า
ชีวิตที่เหลืออยู่ยังต้องดำเนินต่อไป มโนธรรมในการอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งที่ควรตระหนัก นี่เป็นภารกิจของนักเขียนหรือเปล่า
ขอบคุณ มูลนิธิชุมชนไทย สนับสนุนการเดินทาง
Create Date : 26 มีนาคม 2552 |
|
8 comments |
Last Update : 26 มีนาคม 2552 9:29:03 น. |
Counter : 1409 Pageviews. |
|
|
|
รักษาสุขภาพด้วยครับ