เรื่องราวเรื่อยๆ´¯)

MOnKEy_PrAi
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ก็แค่ผู้หญิงธรรมดา เกิดมาในสมัยที่เครื่องพิมพ์ดีดยังรุ่งเรือง เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ ถึงแม้หน้าตาและท่าทางน่าจะไปเรียนช่างยนต์ ช่างซ่อมมากกว่าก็เถอะ 555+ สนใจทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จะไม่สนใจก็แค่เรื่องที่ไม่น่าสนใจเท่านั้น เอ๊ะยังไงหว่า ชอบทำอะไรตามใจ ที่ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน เลยกลายเป็นผู้หญิงแปลก ผสมกับ สติแตกนิดๆ ใครจะเกลียดจะหมั่นไส้ไม่สนใจ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร 555+

ทุกท่านที่เดินผ่านมาในบล๊อก เราก็ดีใจ แต่ถ้าท่านจากไปโดยไม่ฝากคอมเมนท์ไว้ให้ เราก็แอบเคืองล่ะค่ะ ก้ากกกกก+
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add MOnKEy_PrAi's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 

บ๊าย บาย My Japan และ สวัสดี Thailand ที่รักของฉัน

บลีอคนี้คงเป็นบล๊อคสุดท้าย ของ group blog : my japan story แล้ว หากมีโอกาสได้ไปอีก ก็คงจะมีเรื่องราวมาเขียนอีก

ในใจอยากจะเขียนบล๊อค ทริป มาเลเซีย กะ สิงคโปร์ ที่ไปแบบฉายเดี่ยวแล้วไปเปรี้ยวกับเพื่อนทีหลัง แต่ว่ามันก็นานเกินกว่า จะมานั่งระลึกชาติกันอีกครั้ง งานนี้ขอผ่าน เก็บไว้เป็นความทรงจำแบบจำได้บ้างไม่ได้บ้างก็แล้วกันค่ะ



แล้ววันเดินทางกลับก็มาถึง อัมพิกาเดินทางกลับด้วยสายการบินไทย ในใจก็หวั่นๆว่า จะโดนปรับค่ากระเป๋าน้ำหนักเกินหรือไม่ ถ้าโดนล่ะก็ อานแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรค่อยไปยกมือไหว้ พนักงานภาคพื้นดิน อีกครั้งก็แล้วกัน

ก่อนวันเดินทางกลับเพียงหนึ่งวัน อัมพิกาก็ได้ส่งกระเป๋าเดินทางแบบบิ๊กบึ้ม 2 ใบไปที่สนามบินก่อนแล้ว เพราะถึงแม้ว่า prof. จะเป็นคนไปส่งที่สนามบิน แต่อัมพิกาก็ไม่ต้องการทุลักทุเล เพราะต้องทั้งแบกทั้งลากกระเป๋า เข้าไปในสนามบิน



และก่อนวันเดินทางกลับเพียงหนึ่งวัน อาจารย์ดร. ก็พออัมพิกาไปเลี้ยงส่งอีกครั้ง แต่งานนี้ไม่มีรูป เพราะว่าอัมพิกาเหนื่อยเหลือเกิน ตอนแรกอัมพิกาตั้งใจจะไปมหาวิทยาลัยแค่ครึ่งวัน แล้วก็ไปเก็บกวาดห้องให้สะอาด เหมือนวันที่ได้เข้ามาพัก
แต่ ดร. ก็ยืนยันว่าจะพาไปกินข้าวให้ได้ เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว อัมพิกาเก็บห้องเสร็จนิดหน่อย ก็กลับมามหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง

กินข้าวไป เม้าธ์ และเวลาร่ำลากับ ดร.จริงๆก็มาถึง ดร. พูดประโยคหนึ่งว่า เราจะไม่กล่าวคำว่า ลาก่อน เพราะเราจะกลับมาเจอกันอีกครั้งแน่ๆ โหยยยย พูดอย่างงี้ อัมพิกาน้ำตาแทบทะลัก.. ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ



แล้ววันเดินทางก็มาถึง prof. มารับ อัมพิกาที่ห้อง ประมาณ 7.00 โมงเช้าใช้เวลาเดินทาง จากหออัมพิกา ไปยังสนามบินนาริตะ โดยรถยนต์ส่วนตัวประมาณ เกือบหนึ่ง ชั่วโมง

พอไปถึงสนามบิน อัมพิกาก็ต้องไปเอากระเป๋าเดินทางที่มารออยู่ที่สนามบินแล้ว พอดีกับที่ เคาน์เตอร์เชคอินเปิดแล้ว ก็ได้เวลา เชคอินพอดี อัมพิกาก็ใจตุ๊มๆต่อมๆ ว่า น้ำหนักจะเกินมั้ยเนี่ยยยย แล้วก็ดังคาด น้ำหนักเกินจริงๆ

น้ำหนักกระเป๋าเดินทางที่การบินไทยอนุญาติ ในกรณีที่เป็นการเดินทางในชั้นประหยัด คือ 20 กก. carry on ได้ 7 กิโล อาจจะได้มากกว่านี้อีกกี่กิโล ก็ขึ้นกับว่า จะมีปัญญาต่อรองกับ พนักงานได้ภาคพื้นดินได้แค่ไหนค่ะ

มาคราวนี้ กระเป๋าอัมพิกาน้ำหนักเกิน เหมือนตอนมาเป๊ะๆ กระเป๋าสองใบ ล่อไป 34 กก. ส่วนที่พกติดตัวพะรุงพะรัง อีก เกือบ 20 กิโล ซึ่งส่วนหลังนี้ อัมพิกาทำเีนียนๆ เหมือนว่าของไม่เยอะ ไม่หนัก ให้เค้าต้องมาจับเอากระเป๋าพกพาไปชั่งได้

พอทางพนักงานซึ่งคราวนี้แม้อัมพิกาจะเดินทางโดยสายการบินไทย แต่พนักงานภาคพื่นดินเป็นของ บ. ANA และเป็นชาวญี่ปุ่นด้วย ได้แจ้งมาว่า น้ำหนักกระเป๋าเกินนะก๊ะ แน่นอนว่า เค้าพูดเป็นภาษาอังกฤษ มิใช่ภาษาไทยแต่อย่างใด

อัมพิกาก็ค้นแทคติคทั้งหลายออกมาใช้ทันที เริ่มจาก พูดขอร้องว่า ช่วยลดให้อิฉันหน่อยได้ไหมเจ้าคะ ทำตาวิ้งๆวิงวอนๆ เค้าบอกว่า เค้าอนุญาตให้ได้แค่ 30 กก. - -" อัมพิกาก็พูดต่อไปว่า please please!!

หน้าตาพนักงานภาคพื้นดินเริ่มลังเล แล้ว prof. ก็ช่วยพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า อัมพิกาเป็นนักเรียนมาเรียนได้ 7 เดือน ของเลยเยอะไปหน่อย ลดให้หน่อยได้มั้ย

พนักงานก็เลยชะโงกดูสิ่งของที่อัมพิกาcarry on ว่ามันเยอะมันดูหนักหรือไม่ อัมพิกาซึ่ง วางแผนมาอย่างดี โดยการเอากระเป๋าสัมภาระไร้สาระ วางไว้ติดหน้าเค้าน์เตอร์เชคอิน ซึ่งต่อให้พนักงาน ชะโงกแค่ไหนก็มองไม่เห็น

พอพนักงานชะโงกมาดูของ อัมพิกาก็รีบพูดว่า ของที่แบกขึ้นเครื่องไม่เยอะ ไม่หนัก พนักงานเลยพูดต่อว่า งั้น ขนของออกจากกระเป๋าซัก 4 กก. เอาใส่ถุงได้ไหมคะ แล้วก็ยื่นถุงให้อัมพิกา อัมพิกาก็จัดการขนของออก จนกระเป๋าสองใบรวมกันได้ 30 กก.

นั่นแสดงว่า อัมพิกาแบกของไว้กับตัว 20 กว่ากิโล เอาวะ ผู้หญิงเคมีซะอย่าง แบกของแค่นี้ ก็ดีกว่าเสียค่าปรับเกือบหมื่น สู้เว้ย!!




เมื่อเชคอินเสร็จ เดินออกมาก็เจอกับเด็กในแลปบางคนที่ตั้งใจตามมาส่งอัมพิกา ที่สนามบิน ใจดีกันต้้งแต่วันแรกที่มาถึงจนวันที่กลับเลยจริงๆ เมือพบปะกันแล้ว รอเวลาขึ้นเครื่อง โดยการไปหาอะไรกินที่ ร้านค้าในสนามบินนั่นแหละค่ะ อาหารมื้อสุดท้าย ที่ญี่ปุ่น ของอัมพิกา ก็คือ ไข่ดาว ไ้ส้กรอก แต่กินได้ไม่เยอะเท่าไหร่ร่ เพราะว่า คืนก่อนวันเดินทาง กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตี 3 ตืนนอน 6 โมงเช้าา
เล่นเอาเพลียมากๆเลยล่ะค่ะ



แล้วก็ได้เวลาร่ำลาทุกคนเสียที..




ขอบคุณทุกๆคน สำหรับทุกๆอย่างตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ จนกระทั่งถึง วินาทีสุดท้าย ที่จะได้ยืนอยู่บนพื้นแผ่นดินญี่ปุ่น สิ่งที่ได้จากที่นี่มากกว่าการมาทำงานวิจัย คือ มิตรภาพดีๆ ที่ได้จากทุกๆคนค่ะ



การเดินทางจากญี่ปุ่นกลับไทยครั้งนี้ใช้เวลาการเดินทาง ประมาณ 6 ชม. นิดๆ อัมพิกา ขึ้นไปบนเครื่อง ก็นั่งเล่นเกมดูหนังฟังเพลง ตามแต่ที่จะทำได้เพื่อ ฆ่าเวลา รอเวลารับประทานอาหาร

หลังจากนั้นก็จะได้ตั้งใจหลับเสียที ง่วงมากง่วงมายค่ะ แต่การเดินทางครั้งนี้ทัศนวิสัย ไม่ใคร่จะดีหรืออย่างไรไม่ทราบ หลับไปใจหายว๊าป ว๊าป ไป เพราะเครื่องบินตกหลุมอากาศ บ่อยสุดๆ

ในใจขณะที่หลับก็คิดว่า เอาวะ! ถ้าเครื่องบินจะเป็นอะไรไป อย่างน้อยก็ตายเลย ไม่ต้องเจ็บไม่ต้องทรมาน คิดได้ดังนั้น อัมิพกาก็หลับได้อย่างสบายใจค่ะ

ลืมตาตื่นอีกที อีก ประมาณ หนึ่งชั่วโมงก็ เครื่องจะถึงประเทศไทยแล้ว ทีนี้ล่ะ นั่งนับถอยหลังกันเป็นนาที ตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้าน ได้กินอาหารไทย ได้พูดภาษาไทย เสียที

พอเครื่่องลงจอด อัมพิกาก็แวะซื้อของ ที่ duty free นิดหน่อย แล้วก็ไปรอกระเป๋าที่โหลดลงจากเครื่อง สภาพอัมพิกาดูแย่มากๆ เพราะว่า เพลียกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัว และของที่หนักเกินตัวไปเยอะ ดีหน่อย ที่มีเจ้าหน้าที่ของไทย คอยช่วย จัดกระเป๋าลงรถเข็นให้กับอัมพิกา ไม่งั้นงานนี้มีทุลักทุเลกว่าเดิมแน่ๆค่ะ

จากนั้นก็เดินออกมาเพื่อมาพบผู้ปกครองที่มารอรับ คนมารอรับญาติๆเยอะแยะมากมาย ดูแล้วเวียนหัวมากๆค่ะ เดินได้ไม่นาน ก็พบกับผู้ปกครองทั้งหลาย ความรู้สึกก็คือดีใจ ปน แปลกใจว่า ทำไมถึงไม่ทำหน้าให้เรารู้สึกว่าดีใจบ้างล่ะ เอ๊ะ หรือไม่มีใครดีใจที่ อัมพิกาจะกลับมา

เก็บความสงสัยอยู่ได้ไม่นาน ก็ได้รู้คำตอบว่า ที่ทำหน้าตาเฉยๆกัน เพราะกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล ตอนเจอหน้าอัมพิกานั่นเอง เอ่อ ทุกคนคะ อัมพิกาไปแค่ 7 เดือนเองค่ะ



สุดท้ายของบล๊อคนี้ อัมพิกา ขอขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ ครั้งหนึ่งในชีวิตของอัมพิกา ได้มาสัมผัสการใช้ชีวิตที่แปลกใหม่แบบนี้ ทำให้มีเรื่องเล่าและความทรงจำที่ดีแบบนี้ค่ะ


ปิดกรุ๊บบล๊อคนี้ ด้วย MV ที่อัมพิกา ทำทิ้งไว้ให้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย แก่เด็กๆที่ญี่ปุ่นค่ะ



ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกท่านที่ตามอ่านนะคะ


สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
6 comments
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 17:59:00 น.
Counter : 1422 Pageviews.

 

ซึ้งมากๆครับ ได้ความทรงจำดีๆจากญี่ปุ่นเยอะเลยนะครับ :-)

 

โดย: จิรเดช IP: 203.129.26.158 11 กรกฎาคม 2553 18:28:14 น.  

 

ถามจริง ร้องไห้รึเปล่าตอน say sayonara อ่ะ
very thoughtful vdo. น้ำตาไหล เหมือนดูหนังตอนจบเลยค่ะ

 

โดย: kim_tiger 12 กรกฎาคม 2553 9:09:41 น.  

 

กลับมาแล้วเหรอคะ เจ็ดเดือนก็ไม่นานเนอะ ชอบญี่ปุ่นมั๊ยคะ

 

โดย: pim(พิม) 12 กรกฎาคม 2553 20:03:34 น.  

 

อาจารย์ ดร. พูดน่าประทับใจจังเลยค่ะ อย่ากลัวคำว่าลาก่อน เพราะต้องได้พบกันอีก ชอบจังเลยค่ะ

 

โดย: KOok_k 15 กรกฎาคม 2553 4:04:13 น.  

 

ครอบครัวคงดีใจมากเลยเนอะที่ได้เจอกัน
อัมพิกาซังหน้าเหมือนผู้หญิงคนกลางมาก คุณแม่ป่าวจ๊ะ
ผู้ชายใส่แว่นตัวโตๆ คงคิดถึงมาก โอบไม่ปล่อยเลยน้า อิอิ

 

โดย: GutChy 15 กรกฎาคม 2553 12:25:25 น.  

 

พึ่งได้เข้ามาอ่านบลอกนี้ คุณส้มใช้โปรแกรมอะไรตัดต่อเอ่ย อยากทำมั่งอ่ะคะ

 

โดย: เก่ง (keng_toshi ) 28 ธันวาคม 2553 20:46:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.