..A new day, an old life..............
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
2 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
PP....ไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากคนสองคนที่เคยรักกัน.......PP

เรื่องสั้น

.

ไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากคนสองคนที่เคยรักกัน

โดย ปลายมนัส ลิ้มสุวรรณ


(พิมพ์ครั้งแรกเนชั่นสุดสัปดาห์ 9 มกราคม 2552)


เสียงเพลงแบบโซปราโนที่แม่เปิด ทำให้ฉันลืมตาตื่นพร้อมหัวใจแตกสลาย เสียงสูงนั่นเชือดเฉือนความรู้สึก กรีดดวงใจให้เป็นแผลลึก สร้างความทรมานเจ็บร้าวทว่าน้ำตามิอาจรินไหลออกมาให้เห็น




เมื่อน้ำตารสเค็มปะแล่มที่เคยหยดรดแก้ม ตกลงกลางใจมันจึงกลายเป็นน้ำกรด กัดกร่อนความรักที่มีต่อแม่ให้ผุพัง ในทุกครั้งที่โดนแม่ทำร้ายจิตใจ เช้านี้ก็เช่นกันกับไอ้เสียงเพลงบ้าๆ นั่นของแม่ เพราะแม่เป็นอย่างนี้ไงเล่า ชอบทำร้ายจิตใจคนใกล้ตัว แม่ไม่เหมือนพ่อ พ่อเข้าอกเข้าใจ ไม่มีสักครั้งของพ่อที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจเหมือนแม่ ไม่มีคำสั่ง ไม่เคยห้าม มีแต่บอกด้วยเหตุผลให้ฉันเข้าใจ หลายครั้งแล้วที่ฉันรู้สึกว่าไม่อาจจะทนอยู่กับแม่ได้อีกต่อไป ถ้าไม่ติดว่าพ่อเคยขอให้อยู่กับแม่เพราะแม่ไม่ใคร ป่านนี้ฉันคงออกไปอยู่ไหนต่อไหนตามใจตัวเองแล้ว




สายลมอ่อนๆ พลิ้วผ่านประตูระเบียงห้องนอนเข้ามาหยอกเย้าม่านโปร่งสวยให้เริงระบำไปตามจังหวะแห่งสายลม ท่วงทำนองเนิบช้าวนกลับมาซ้ำอีกครั้ง ตามด้วยเนื้อเพลงภาษาอังกฤษเสียงสูงสวย ฉันสลัดความเศร้าทิ้งและใช้สัญชาตญาณความอยากรู้ถอดความหมายของเพลงที่ได้ยิน





มันเป็นเพียงเพลงรักธรรมดาเพลงหนึ่งบอกเล่าความจริงในความงามของความรักและความฝันซึ่งต้องการเห็นความรักนั้นเป็นรักสมบูรณ์แบบของหญิงสาว ไม่มีประโยคไหนบ่งบอกถึงความเจ็บช้ำ หากฉันก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าในความงามของเนื้อเพลงมันมีความเศร้าอันลึกล้ำเจือปนอยู่ทุกอณู บางทีฉันคงใช้ความรู้สึกต่อเนื้อเสียงของนักร้องสาว มากกว่าใช้ความรู้ที่มีในการแปลความหมายออกมากระมัง




ฉันรวบรวมพลังเฮือกใหญ่ขับไล่ความเศร้าซึ่งคุกคามให้ออกไป พาตัวเองลุกจากเตียงนอนไปยังห้องน้ำ ‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชีวิตก็ต้องเดินต่อไป’ ฉันปลอบประโลมจิตใจที่เจ็บป่วยของตนด้วยประโยคดังกล่าวขณะยืนแต่งตัวหน้ากระจก




เสียงเพลงเงียบไปแล้ว แม่คงออกจากบ้านไปสอนหนังสือแล้วเช่นกัน แม่ไปถึงมหาวิทยาลัยเช้าเสมอแม้วันนั้นจะมีสอนบ่าย หรือไม่มีสอนเลยก็ตาม ส่วนฉัน ตั้งแต่ประกาศตนเป็นอิสระต่อการปกครองของแม่จะไปมหาวิทยาลัยก็ต่อเมื่อถึงเวลาเรียน แม้กระทั่งถึงวัยทำงาน ฉันก็เลือกงานที่รับผิดชอบต่อตัวงานโดยไม่จำเป็นต้องสแกนนิ้วมือลงเวลาเข้า-ออก มันเป็นอาการกบฏอันโง่เขลาของเด็กสาวที่ต้องการเอาชนะมนุษย์ซึ่งเรียก ‘แม่’ เท่านั้นเอง




รถสปอร์ตสีดำเฉี่ยวจอดสนิทแบบไม่มีฝุ่นเกาะในโรงรถหน้าบ้าน ของขวัญที่ได้จากการเอ็นทรานซ์ติดคณะแพทย์ศาสตร์อันเป็นความฝันของแม่ที่อยากเห็นลูกสาวเป็นหมอ ถัดจากนั้นหนึ่งปีหลังจากพ่อกับแม่แยกกันอยู่ ฉันขอโอนย้ายมาเรียนสื่อสารมวลชน จากชิ้นส่วนทรงจำ อุปกรณ์ประกอบความรักมันกลายสภาพเป็นเครื่องประดับแห่งสงครามเย็นระหว่างเราแม่ลูก




หลังสวมรองเท้าผ้าใบหนังนิ่มสีขาว ฉันลุกขึ้นยืนดึงปลายเสื้อยืดสีขาวสะอาดตาซึ่งรั้งขึ้นระหว่างนั่งใส่รองเท้าให้ลงมาคลุมขอบกางเกงยีนส์เอวต่ำสีซีดเนื้อนิ่ม เป็นครั้งที่สองตั้งแต่ทำงานที่ทำให้ฉันจำใจวางย่ามสีแดงสดขนาดกะทัดรัดซึ่งได้มาครั้งไปทำงานกับกะเหรี่ยงปะกากะญอ มาสะพายกระเป๋ากล้องใบใหญ่เพียงใบเดียวไปทำงาน




หนแรกซึ่งจำใจวางย่ามใบโปรดไว้บ้าน เป็นวันที่ฉันต้องไปทำงานถ่ายภาพไกลถึงเมืองเลย ก่อนเดินทางเพื่อนร่วมงานรุ่นที่หาข้อมูลบอกกับฉันห้ามนำสีแดงติดตัวไป เพราะสีแดงคือสัญลักษณ์ของสงครามซึ่งห้ามนำเข้าไปในเขตพระธาตุศรีสองรัก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดหมายการทำงานในทริปนั้น




ฉันเดินเรื่อยๆ จากบ้านซึ่งห่างปากซอยเพียงสามร้อยเมตรมาขึ้นรถเมล์สายที่จะพาฉันไปส่งใกล้สะพานมัฆวานรังสรรค์มากที่สุด บนรถเมล์สีแดงคันแรกอัดแน่นไปด้วยผู้โดยสารเสื้อเหลือง มันเป็นภาพที่น่ารัก ฉันรีบเปิดกระเป๋าจับกล้องขึ้นมาเก็บภาพ ขณะผู้คนซึ่งสวมเสื้อสีเดียวกับคนบนรถทยอยขึ้นรถ ฉันไม่รีบและฉันอยากนั่งมองข้างทางมากกว่ายืนเบียดไปกับผู้คนจึงรอรถเมล์คันถัดไป









เสียงสายฝนโปรยเม็ดบางเบาคล้ายหญิงสาวร่ำไรกับชายคนรักด้วยไม่อยากพรากจากเมื่อฤดูหนาวมาเยือน แข่งกับเสียงมือตบ อุปกรณ์ประกอบการร่วมชุมนุมที่จะช่วยให้ฝ่ามือของผู้ร่วมชุมนุมไม่ด้านเร็วเกินไปเพราะใช้งานหนัก




พี่บ.ก. ฝ่ายภาพของนิตยสารซื้อเจ้าของเด็กเล่นขนาดพอเหมาะมือชนิดนี้ให้หนึ่งอัน เขาเลือกอันที่มีด้ามจับสีน้ำเงิน เพราะรู้ว่าฉันชอบสีน้ำเงินส่วนอันของเขาเป็นด้ามจับสีขาว ด้ามจับนั่นกระชับมือส่วนมือพลาสติกที่ต่อขึ้นไปเป็นแกนกลางมั่นคงรูปมือสีน้ำเงิน โดยมีรูปมือสีเหลืองและสีแดงประกบหน้าหลัง สองสีนี่เองที่ขยับได้ก่อให้เกิดเสียง ฉันทดสอบพลังเสียงของเล่นชิ้นใหม่แล้วพบว่าการจับมีส่วนสำคัญให้ความดังของพลาสติกรูปมือซึ่งซ้อนกันอยู่มีระดับเสียงไม่เท่ากัน ยิ่งเว้นช่องห่างระหว่างมือฉันกับส่วนมือหลากสีนั่นมากเท่าไหร่ เสียงก็จะยิ่งดังเพิ่มขึ้น




ฉันทดสอบใหม่อีกครั้ง คราวนี้เป็นการวัดพลังกับเสียงปรบมือของฉันเอง เสียงปรบมือของฉันไม่ดังเท่าเสียงมือตบที่ผู้ร่วมชุมนุมขนานนาม ‘มือตบมาร’ แถมระหว่างที่มือสองมือสัมผัสกันด้วยความแรงเพื่อสร้างเสียงดังมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเจ็บมือทั้งสองข้างของตนมากขึ้นเท่านั้น แม้จะเจ็บแต่สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่าฉันว่าชนะเจ้าของเล่นชิ้นนี้ได้อย่างขาดลอยก็คือความไพเราะอันอ่อนโยนและหนักแน่นของเสียง ไม่ใช่เสียงกร้าวเปาะแปะจากพิมพ์เดียวกัน




แต่ถ้าสมมุติมือตบนั่นมีความรู้สึกเช่นเดียวกับฉันล่ะ มือสีน้ำเงินคงเจ็บกว่าสีเหลืองและสีแดงใช่ไหม เพราะไม่ว่าสีไหนเป็นฝ่ายขยับ เป็นต้องโดนสีน้ำเงินที่คั่นกลางเสมอ คิดเช่นนั้นแล้วฉันก็เก็บของเล่นที่เพิ่งได้มาใหม่ลงกระเป๋ากล้อง ไม่มีอะไร...แค่ไม่สนุกถ้าจะเล่นต่อเท่านั้นเอง




เสียงเพลงจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงบอกให้รู้ว่าพ่อโทรมา ฉันรับโทรศัพท์ด้วยความดีใจ เดือนหนึ่งๆ จะมีเพียงสองวันเท่านั้นที่ฉันมีความสุข นั่นคือวันที่ได้อยู่กับพ่อ เราคุยกันไม่ถึงนาที เพราะเมื่อพ่อรู้ว่าฉันมาทำงานถ่ายภาพจึงบอกว่าจะมาหาและถือโอกาสเดินดูบรรยากาศจริงยังที่เกิดเหตุ




ฉันกอดพ่อด้วยความคิดถึง พ่อลูบหัวแล้วหัวเราะเบาๆ เช่นเคยแล้วถาม “แม่เป็นยังไงบ้าง”




“เหมือนเดิมนั่นล่ะค่ะพ่อ วัตรปฏิบัติของหนูและแม่ยังคงดำเนินอยู่ในสงครามเย็น พ่อรู้มั้ยเมื่อเช้าแม่เปิดเพลงที่ทำเอาหนูน้ำตาตกใน เพลงอะไรไม่รู้ค่ะน้ำเสียงช่างกรีดหัวใจเหลือเกิน” ฉันเล่าให้พ่อฟังเจื้อยแจ้วเหมือนความเจ็บปวดเมื่อเช้าคือเรื่องธรรมดาที่แม่ก่อ




พ่อดุด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หากดวงตาที่มองฉันเต็มไปด้วยความห่วงใยและอ่อนโยน “หนูไม่ควรพูดถึงแม่แบบนั้นว่าแม่ทำร้ายหนู หนูไม่ได้เล่าให้แม่ฟังนี่ลูกว่าเพิ่งเลิกกับคนรัก ถ้าแม่รู้แม่คงไม่เปิดเพลงสั่นสะเทือนความรู้สึกหนูอย่างที่หนูคิด ไม่มีคนเป็นพ่อเป็นแม่คนไหนหรอกนะลูกอยากทำให้ลูกเจ็บปวด”




อาจเพราะรู้จักนิสัยช่างโวยวายไม่ยอมฟังอะไรง่ายๆ ของฉันดี พ่อจึงเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงปัญหาการเมืองครั้งนี้ว่าซับซ้อนนัก ความรู้สึกของนักต่อสู้ขณะนี้เหมือนขัดกับความตั้งใจเดิม จริงลวงสลับไปมา สร้างความสับสนจนไม่รู้จะยืนตรงไหน จนคล้ายไม่มีจุดยืนมากขึ้นไปทุกที




พี่บ.ก. ฟังพ่อพูดแล้วโดดเข้าร่วมด้วยการบอกว่าคนที่มาร่วมชุมนุมเป็นพวกซ้ายไร้เดียงสากับขวาจัดตั้ง ฉันปรามเขา “คนที่มาร่วมชุมนุมคือคนที่มาด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ควรมองเหมือนเขาคือคนโง่ไม่รู้อะไร เขามาเพื่อร่วมใจเรียกร้องบางสิ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงตามบริบทต่างๆ ก็เท่านั้น เพียงแต่ว่าเสียงมือตบมารมันคงดังกลบเสียงอื่นเสียหมด เขาจึงแยกเสียงความลวงออกจากความจริงไม่ออก และที่สุดจึงตกเป็นฝ่ายถูกล่อลวงให้ติดกับดักความคิดเสียเอง”




“หนูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากนะลูก” พ่อพูดอย่างชื่นชมพลางโอบไหล่ฉัน




“ก็หนูลูกพ่อไงคะ” คำพูดของฉันทำให้พ่อยิ้มกว้าง




หลังเก็บภาพที่พี่บ.ก. ต้องการได้ครบหมดแล้ว ฉันขอตัวกลับบ้านโดยไม่เข้าออฟฟิศ เขาอนุญาตและเย้า “เจอกันอีกทีวันจันทร์ก่อนสิบโมงเช้านะครับคุณลูกน้อง”




“ทำไมพ่อกับแม่ถึงเลิกกันล่ะค่ะ” ฉันถามเมื่อพ่อขับรถออกจากลานจอดรถวัดเบญจมบพิตร มันเป็นคำถามที่ติดค้างความรู้สึกฉันมาเนิ่นนาน คำถามที่ไม่เคยกล้าถามเพราะกลัวคำตอบ




พ่อไม่ตอบกลับย้อนถาม “แล้วหนูทำไมถึงเลิกกับช่างภาพหนุ่มซึ่งเคยพามาให้พ่อรู้จักล่ะคะ”




ฉันหัวเราะแหะๆ ยังไม่ทันตอบอะไรพ่อรุกต่อด้วยคำถาม “เขาเจ้าชู้หรือหนูมีคนใหม่ เขาไม่ช่างเอาใจหรือหนูไม่เคยเข้าใจ หนูไม่พอใจนิสัยบางอย่างของเขาหรือหนูไม่ได้รักเขาอย่างที่เขาเป็น”




ฉันหัวเราะไม่หยุดกับคำถามของพ่อ พ่อหยุดครู่หนึ่งแล้วถาม “ตอบพ่อได้ไหมหนูเลิกกับเขาทำไมทั้งๆ ที่ยังรักเขา”




เมื่อเห็นฉันนิ่งเงียบ พ่อจึงบอก “ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ตอนหนูรักกัน หนูก็ไม่ได้ป่าวประกาศบอกใครว่าทำไมหนูถึงรักกัน เพราะงั้นตอนเลิกกันมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องบอกใครถึงสาเหตุเช่นกัน คนเราเลิกกันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเกลียดกันเสมอไป เพราะงั้นจึงไม่ควรทำลายใครอีกฝ่ายด้วยการตีฆ้องร้องป่าวว่าตนเป็นฝ่ายถูกทำร้าย เพราะหากทำเช่นนั้นความรักซึ่งเคยงดงามก็จะกลายเป็นความแค้นอันน่าชิงชัง คอยจับจ้องดูแต่อีกฝ่ายว่าทำอะไรผิดพลาดตรงไหน เพื่อนำมาบอกเล่าสร้างความสะและสาแก่ใจตน แล้วชีวิตแบบนั้นมันจะหาความสุขจริงแท้ได้จากตรงไหนกันล่ะลูก”




“มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะพ่อ ในเมื่อฝ่ายที่คิดว่าตัวเองถูกทำร้ายจะไม่มีความรู้สึกโกรธเกลียด” ฉันถามพ่อหลังนั่งเงียบมานาน




“นั่นมันขึ้นอยู่กับว่าเขารักตัวเองหรือเปล่า คนเราถ้ารักตัวเองคงไม่ปล่อยให้ความอาฆาตมาดร้ายเข้าครอบงำหรอกลูก มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการทำลายตัวเองมากกว่าคนที่ตนแค้นเคือง”




เมื่อเห็นฉันนิ่งเงียบไปอีกครั้ง พ่อจึงเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยการอบรมเรื่องแม่ “แม่หนูน่ะถูกคุณยายเลี้ยงมาให้เป็นผู้หญิงเข้มแข็งเพราะเป็นลูกคนเดียว การไปเรียนเมืองนอกคนเดียวนั่นก็ยิ่งทำให้เค้าต้องรู้จักอยู่ด้วยตัวเองตามลำพังให้ได้ แม่เค้าเลยไม่ถนัดในการแสดงออกด้านความรัก ไอ้เรื่องที่จะให้แม่มากอดมาหอมน่ะ แม่หนูเค้าทำไม่เป็นหรอก แต่การไม่แสดงออกก็ไม่ได้หมายความว่าแม่ไม่รักหนูนี่ลูก หนูเองก็เป็นลูกคนเดียวเหมือนที่เค้าเป็น เค้าจึงอยากชดเชยสิ่งที่เคยขาดให้กับหนู”




ฉันถามเบาๆ “งั้นรักของแม่เป็นแบบไหนกันล่ะคะพ่อ ถึงไม่เคยเข้าใจความรู้สึกหนูเลย”




พ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วอธิบาย “แม่กอดหนูด้วยดวงตาคู่สวยของแม่ แม่บอกรักหนูด้วยการดุเมื่อหนูทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรอย่างการดื่มเหล้าหรือกลับบ้านดึก ความรักของแม่อยู่ในเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่แม่เลือกอย่างดีมาให้ไงล่ะลูก”




ฉันเริ่มคิดตาม ขณะที่พ่อยังคงพูดต่อ “ตอนที่แม่ท้องหนูนะ แม่ดีใจมากๆ ขนาดหมอบอกว่ามันอันตรายเกินไปกับสุขภาพของแม่ที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก วันที่พ่อพาแม่ไปเดินซื้อของเตรียมไว้ให้หนู กับแค่ผ้าอ้อมยังเป็นปัญหาแล้วสำหรับแม่เลยลูก ก็ผ้าอ้อมที่มีขายน่ะถ้าไม่บางเกินไปก็เนื้อหยาบเกินไป แม่หนูเค้าว่าไม่เหมาะกับผิวแรกเกิดของทารก”




พ่อเล่ามาถึงตรงนี้ก็หยุดหัวเราะพร้อมกันกับฉัน ใช่...แม่เป็นแบบนี้เสมอข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของแม่ต้องสมบูณณ์แบบที่แม่ต้องการ แม่จะไม่ยอมเห็นความบกพร่องไหนในสิ่งที่แม่สามารถควบคุมได้ แต่บางทีแม่คงลืมไป ฉันมีชีวิตจิตใจหาใช่สิ่งของที่แม่สามารถกำหนดได้ดั่งใจ “ความรักของแม่อยู่ในอาหารทุกจาน ไม่เคยมีมื้อไหนบนโต๊ะอาหารไม่มีของโปรดหนูไม่ใช่หรือลูก ไม่เชื่อเย็นนี้เรามาพิสูจน์ด้วยกันดีมั้ยลูก” พ่อยังคงหัวเราะต่ออย่างอารมณ์ดี ขณะที่ฉันเริ่มคิดให้มากขึ้นแทนการคิดมากว่าแม่ชอบทำร้ายความรู้สึก




บางครั้งความรักของแม่ซึ่งดูเหมือนมากเกินไปจนคล้ายไม่ใส่ใจความรู้สึกฉันด้วยการวางอนาคตให้เรียนหมอ คิดดูอีกทีมันก็เป็นความรักอันอยู่บนพื้นฐานของความปรารถนาดี อยากเห็นฉันมีชีวิตอันสุขสบาย




ฉันเริ่มรู้สึกผิดกับความเขลาอันอวดเก่งของตนซึ่งมีต่อแม่




พ่อคงเห็นว่าเงียบไปนานจึงตั้งคำถาม “หนูได้อะไรนอกเหนือจากการไปถ่ายภาพเก็บความรู้สึกของผู้ร่วมชุมนุมวันนี้บ้างลูก”




“มิตรภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความเจ็บปวดที่พวกเขามีเหมือนกันช่วยบ่มเพาะความอ่อนโยนเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน” ฉันตอบโดยไม่จำเป็นต้องคิดซับซ้อน




“การทำอะไรด้วยใจนี่มันดีนะลูก เหมือนคนที่มารวมชุมนุมไง ไม่ว่าจะไปชุมนุมกับเสื้อสีไหน อยู่ข้างฝ่ายใด ถ้าไปด้วยใจนี่มันดีทั้งนั้น เพียงแต่เราต้องระวังไม่ให้ใจใหญ่มากไปกว่าความรู้ ถ้าหนูจัดสมดุลระหว่างความรักและความรู้ได้ หนูจะไม่เจ็บปวดกับความรัก เชื่อพ่อสิ” พ่อยื่นมือข้างซ้ายมาลูบหัวและปัดผมม้าซึ่งยาวปรกตาขึ้นให้ฉัน









พ่อจอดรถสนิทที่หน้าบ้าน แม่กลับถึงแล้ว พ่อลงจากรถชวนฉันให้ทายว่าแม่จะทำกับข้าวเผื่อพ่อไหม ฉันไม่ตอบแต่อยู่ชวนพ่อกินข้าวเย็นด้วยกัน




แม่ออกมายืนรอเราทั้งคู่เหมือนตอนที่พ่อกับแม่ยังไม่แยกทางกัน เป็นครั้งแรกที่ฉันมองแม่อย่างตั้งใจ อาจเพราะตลอดเวลาตั้งแต่เกิดและเติบโต พ่อคือคนที่เลี้ยงและอยู่กับฉันตลอดเวลาไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า ดวงใจของฉันจึงมีไว้มองพ่อเพียงคนเดียว ฉันสังเกตเห็นรอยยิ้มของแม่ที่ส่งให้พ่อมันดูเหนื่อยอ่อนแต่เหมือนสุขใจในคราวเดียว




ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน พ่อจะเดินตรวจดูรอบบ้านว่ามีอะไรชำรุดเสียหายไหม ฉันหอมแก้มพ่อฟอดใหญ่แยกตัวเดินขึ้นห้องนอนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า




เรากินข้าวเงียบๆ เหมือนต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว บนโต๊ะมีมัสมั่นไก่ของโปรดพ่อ และปลากะพงนึ่งมะนาวของโปรดฉัน แม่บอกรักเราทั้งคู่อย่างพ่อพูดไว้จริงๆ ฉันยิ้มให้แม่เป็นครั้งแรกหลังก่อสงครามความรู้สึกกับแม่มาหลายปี




กินข้าวเสร็จพ่อขอตัวกลับไปนอนบ้านอา บอกว่าพรุ่งนี้จะมารับไปบ้านพ่อที่ต่างจังหวัดแต่เช้าพร้อมกับหอมเบาๆ ที่หน้าผากฉัน ฉันเดินกอดเอวพ่อออกไปส่งที่รถ รถพ่อแล่นไปจนลับสายตาแล้ว แต่ฉันนึกถึงคำพูดของพ่อเมื่อครู่ “ถ้ามีความเข้าใจต่อกัน ก็จะไม่มีใครรู้สึกว่าถูกทำร้าย”




แม่นั่งตรวจงานอยู่บนโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์ หลังซึ่งเคยตั้งตรงของแม่เหมือนงองุ้มลงเล็กน้อย ฉันนึกสงสัยเพราะสงครามเย็นที่ฉันก่อนั่นหรือเปล่าทำให้แม่ที่เคยสง่างามทุกอิริยาบถเปลี่ยนไปแบบนี้ ฉันยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่ประตูพลางมองด้านหลังแม่อย่าพินิจแล้วตัดสินใจถามประโยคอันเป็นเสมือนการโยนธงยกเลิกสงคราม “กุญแจรถลินอยู่ไหนแม่ ไม่ได้สตาร์ทนานแล้วเดี๋ยวแบตฯเสื่อม”




“มันก็อยู่ที่เดิมที่มันเคยอยู่นั่นแหละลูก” ·










Create Date : 02 มิถุนายน 2552
Last Update : 2 มิถุนายน 2552 14:30:57 น. 7 comments
Counter : 704 Pageviews.

 
แวะมาทักทายค่ะ


โดย: โยเกิตมะนาว วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:17:56:20 น.  

 


พีพีจ๋า..

พี่พูแวะมาหาด้วยความคิดถึง



โดย: พธู วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:7:59:29 น.  

 
หวัดดีจร้า

นู๋เข้ามาดู


โดย: ยัยตัวยุ่ง IP: 124.120.164.82 วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:20:49:40 น.  

 


อัพเหอะ น๊าๆๆๆ นะๆๆๆ
พีพี..คนดีของพี่พู อิอิ



โดย: พธู วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:9:10:01 น.  

 
PP....ไม่มีใครรู้ความจริงนอกจากคนสองคนที่เคยรักกัน.......PP


ตรงมากมาย

ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของคน 2 คนหรอก
นอกจากคนที่คบกัน


โดย: ผุ๋งผิ๋ง วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:12:03:25 น.  

 
เข้ามาดูอีกรอบ


โดย: ยัยตัวยุ่ง IP: 58.8.167.59 วันที่: 10 มิถุนายน 2552 เวลา:7:49:06 น.  

 
แวะมาเปงกำลังใจให้เจ้าของบล๊อคค่ะ ..ยิ้ม..


โดย: ไร้ใจ IP: 58.11.44.35 วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:23:01:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PPalone
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นแค่หนึ่งคนนี้ ที่รู้ดีกับหนทางของใจ
เป็นแค่หนึ่งคนนี้ ที่รู้ตัวว่าไม่ดีเหมือนใคร
เป็นแค่หนึ่งคนนี้ ที่รู้ดีกับหนทางของใจ
เป็นแค่หนึ่งคนนี้ ที่รู้ตัวว่าไม่ดีเหมือนใคร
อยู่กับความเป็นจริงกับสิ่งที่เป็นไป

เป็นแค่คน...ที่ขาดความอบอุ่น เป็นแค่คน...ชอบสร้างเรื่องวุ่นๆ ให้เธอเท่านั้น เป็นแค่คน...เซ่อซ่า - บ้าบอ..ไปวันๆ เป็นแค่คน...ช่างฝันเฟื่องแต่เรื่องเธอ - - เป็นแค่คน...ที่ห่วงใยเธอที่สุด เป็นแค่จุด...เล็กๆ ที่เธอมองไม่เห็น เป็นแค่คน...ที่ตรงไปหน่อยไม่ซ่อนเร้น เป็นแค่คน...ที่อยากให้เธอเห็นว่ารักกัน - - - เป็นแค่คน...ที่แคร์เธอกว่าใครๆ เป็นแค่สิ่ง...อื่นใดที่ไม่เคยจะหวังผล เป็นแค่คน...ข้างๆ ใจของใครบางคน เป็นได้แค่...คน..หนึ่งคน...ที่รักเธอ

Google
ฟังวิทยุออนไลน์ผ่านเน็ต !
Friends' blogs
[Add PPalone's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.