Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
Taiwan 2010 ตอนจบ



วันที่ 3 วันนี้จะไปเที่ยวอุทยานเย่หลิว และถนนคนเดินจิ่วเฟิ่น
วันนี้ช่วงเช้าเราเดินทางไปเย่หลิว โดยนั่งรถโดยสารไป เราไปขึ้นรถที่สถานีรถที่อยู่ด้านข้างของสถานีไทเป คือ West Bus Station โดยสถานีนี้ ถ้าเดินจากที่พักเรา จะอยู่ทางด้านขวาของสถานีไทเป อืม จะไปไหน ๆ ก็ไปเริ่มที่สถานีนี้แหละ ทางไปมันก็อยู่รอบ ๆ สถานีนั่นแหละ แต่รอบตรงไหน ๆก็คงต้องหากันไป พอซื้อตั๋วแล้วก็รอรถมาจอดตามช่องที่คนขายตั๋วแจ้งไว้ เพราะรถจะมาจอดก่อนเวลาเล็กน้อย รถที่นั่งก็เหมือนรถเมล์วิ่งในเมือง มีจอดป้ายรับคนเป็นระยะ ๆ แต่พอที่นั่งเต็มแล้วก็จะวิ่งยาวเลย ตรงช่วงที่วิ่งระหว่างเมือง แต่พอเข้าเมืองใหม่ ก็แปลงสภาพเป็นรถเมล์รับคนเหมือนเดิม เรานั่งไปประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เจอป้ายสัญลักษณ์ของ อุทยานเย่หลิว ตามที่หลาย ๆ คนได้เคยบอกไว้ ตอนที่เราลง ป้ายนี้ไม่มีคนเลย รถที่นั่งมาก็ว่าง ๆ มีกลุ่มวัยรุ่นลงมาด้วยอีก 2-3 คน ถ้าไม่เห็นป้ายมาก่อน คงไม่มั่นใจ
ลงป้ายนี้แล้ว ก็เดินไปตามหมู่บ้านประมง ระหว่างทางเดินที่เงียบเหงา ก็มีรถทัวร์นักท่องเที่ยววิ่งผ่านเราไปเป็นระยะ ๆ บอกให้เรารู้ว่า คงเดินมาไม่ผิดทางแน่ ๆ เดินไปซักประมาณ เกือบ 500 เมตร เราก็เจอกับความคึกคักของกลุ่มนักท่องเที่ยวมากมายที่มาเยี่ยมชมอุทยานแห่งนี้ ต่อคิวซื้อตั๋วแล้วเราไปกันเลย



ลูกโป่งมาสคอทของอุทยาน เหมือนตุ๊กตาเห็ดมากกว่านะ


แผ่นหินรูปต่าง ๆ ที่พื้นอุทยาน


ไปเที่ยวดงหินกัน









ก่อนไปหาหินฮองเฮา เราไปดูหินสาวใช้(ตั้งกันเอง) กันก่อนนะ



หินรูปปลา ต้องดูใกล้ ๆ ถึงจะเห็นมันขดอยู่


และไฮไลท์ของที่นี่ หินรูปหัวฮองเฮา


ดูหินจนอิ่มแล้วก็มาพบกับดงของฝาก ซื้อกันสนุกไป ไม่ได้นึกถึงตอนแบกเลย เพราะเรายังต้องไปต่อที่ถนนคนเดิน จิ่วเฟิ่นอีกนะ เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้ เนื่องจากดูรายการ Maki’s magic restaurant ซึ่งพามาเที่ยวถนนสายนี้ น่าสนใจมาก ของกินหลากหลายน่ากินไปหมด
การไปจิ่วเฟิ่น ก็เริ่มจากการเดินกลับมาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายตรงข้ามกับป้ายเดิม แล้วนั่งรถเมล์กลับไปตั้งต้นที่เมือง Keelung เพื่อนั่งรถเมล์ต่อไปจิ่วเฟิ่น โดยสายของรถเมล์ก็ไปถามเอาที่ Tourist Information ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดที่รถเมล์มาจอดมากนัก ใช้เวลารอรถนานพอสมควร

ระหว่างนั่งรถเมล์ชมเมือง Keelung มองไกลๆ นึกว่าเป็น Hollywood


และเมื่อนั่งรถไปซักระยะ ผ่านเมือง เมืองหนึ่งซึ่งมีสถานีรถไฟอยู่ เราก็พบว่า คนมาเที่ยวจิ่วเฟิ่นเยอะมากเหลือเกิน ประกอบกับวันที่ไปเป็นวันอาทิตย์ด้วย รถเมล์แน่นมาก จนแทบจะยืนกันไม่ได้ ดีนะที่ขึ้นตั้งแต่ต้นสาย เลยได้นั่งตั้งแต่แรก
จิ่วเฟิ่น เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเขา รถเมล์ที่จะพาเราที่นั่น ต้องขับไปตามทางที่แคบและคดเคี้ยวไต่ไปตามริมเขา มีการสวนกันให้หวาดเสียวเป็นระยะ ที่เสียว เพราะทางมันแคบ รถใหญ่ ถ้าจะสวนกัน ต้องหยุดให้ทางกัน แต่คนขับมีประสบการณ์สูง นั่งแล้วมั่นใจในความปลอดภัย

พอไปถึงจิ่วเฟิ่น คนเยอะมาก จนเริ่มกังวลว่าขากลับเราจะทำอย่างไรดี แต่ตอนนี้เที่ยวก่อนดีกว่า ถนนคนเดินที่นี่มีขายอาหารและขนมไปตลอดทาง มีความสุขจริง ๆ เดินชิมไปตลอดทาง แต่ก็หมายตาร้านบัวลอยตรงปากทางไว้แล้ว ว่าเดี๋ยวคงได้กลับมากิน ระหว่างทางก็มีร้านอาหารพื้นเมืองแปลก ๆ มาให้ดูและลองชิม

บรรยากาศคนแน่นๆ


ร้านขนมที่มีตัวอย่างให้ชิมกันทุกร้าน ถามว่าอร่อยมั๊ย...อืม ไม่ แต่สนุกที่ได้ชิม ได้ลอง


ขนมที่ดูไม่อร่อย แต่เจ้านี้คนต่อคิวยาวมาก ถ่ายมาได้แบบไม่ชัด เพราะโดนเบียด


ขนมเผือกแบบเดียวกะบ้านเรา


เห็ดย่างและเห็ดทอดแบบที่ทะเลสาปสุริยัน จันทรา แต่ราคาแพงกว่าเยอะ


น้ำผลไม้สุดฮิต จำไม่ได้ว่าใช่น้ำองุ่นหรือไม่ ขายกันหลายร้าน


มาถึงของที่เราแวะชิม บัวลอยไต้หวัน นุ่ม ๆ เหนียว ๆ อร่อยดี ชิมไปเยอะ เลยอุดหนุนเค้าหน่อย


เปาะเปี๊ยะห่อไอติม เอาไอติมเป็นไส้ โรยถั่วตัดขูดฝอย ผักชีแล้วห่อแป้งเปาะเปี๊ยะ กินเล่นเย็น ๆ ดี


อีกจานที่แปลก เรียกอะไรก็ไม่รู้ แต่ขายกันเยอะ ถึอเป็นของฮิตเลยทีเดียว เลยลองซะหน่อย เป็นแป้งใส่ไส้หมูแดงและหน่อไม้ เวลากินโรยน้ำซุปเหนียว ๆ คล้ายกระเพาะปลาลงไปอีก


เดินชิมทั้งฟรีและจ่ายตังค์กันจะหนำใจแล้ว ก็มารอรถเมล์ที่เดิมแตเปลี่ยนฝั่งถนน และแล้วขากลับก็คนแน่นจริง ๆ ด้วย แต่ก็เป็นกระป๋องสู้บ้านเราไม่ได้ และยืนแค่ช่วงจากจิ่วเฟิ่นไปถึงสถานีรถไฟ แต่ระยะทางต่อจากนั้นจนถึงไทเป คนที่ลงไทเปจะมีที่นั่งทุกคน เพราะคนขับรถจะถามทุกคนว่าลงไทเปหรือเปล่า ถ้าลง ก็จะส่งกระดาษให้ 1 แผ่น โดยกระดาษนั้นจะมีจำนวนเท่ากับที่นั่งบนรถ เพื่อใช้นับจำนวนให้คนที่เข้าไทเปมีที่นั่งทุกคน แต่สุดท้ายก็มีปัญหาจนได้ เพราะมีคนที่ไปลงไทเป แต่ไม่ได้รับกระดาษมา เลยมีคนยืน ดังนั้น คนขับจึงไม่ออกรถ รอจนมีอีกคันมา แล้วเอาคนนั้นไป หมดปัญหาแล้วก็ยิงยาวเข้าไทเปเลย หลับสบายไปตลอดทาง
พอถึงไทเป พอดีได้ลงตรงแถว ๆ ห้างโซโก้ และมีเวลาเหลือ เลยไปเที่ยว ไทเป 101 ก่อน แล้วค่อยกลับมากิน Din Tai Fung ที่โซโก้ แต่ตอนหา shuttle bus ไปที่ตึก ดันเดินผิดทาง ก็เลยเดินไปที่ตึกเลย เหนื่อยใช้ได้ทีเดียว พอไปที่ตึก ก็ขึ้นไปเที่ยวชมวิวข้างบนเลย ไม่ได้สนใจ shopping เลย เพราะเวลาไม่พอ เดินชมวิวไปก็นึกถึงแม่ไป ว่าทำไมเราต้องดั้นด้นมาขึ้นตึกสูงถึงนี่ ใบหยกบ้านเราก็มี ไม่เห็นแม่จะไปเลย

วิวยามค่ำจากบนตึกไทเป101


จบจากการชมวิวมุมสูงแล้ว ก็เดินไปตามทางที่ทางตึกทำสัญลักษณ์ไว้ เจอกับทางเดินที่เหยียบไปแล้วมีภาพฉายขึ้นมา ซึ่งเราคิดว่าตรงนี้แหละที่ประทับใจ ทำได้ดีจริง ๆ

ลูกตุ้มที่ทำหน้าที่รักษาสมดุลของตึก และคอยถ่วงตัวตึกไว้


มาสคอทของตึกนี้



พอดูวิวเสร็จก็รีบกลับมากินเสี่ยวหลงเปาที่ Din Tai Fung จุดหมายหลักของเราดีกว่า ที่นี่เป็นครัวเปิด ทำให้เราสามารถดูพ่อครัวนั่งปั้นเกี๊ยวเพลิน ๆ ได้ แต่เราไม่เพลินด้วย เพราะเมื่อยเหลือเกิน อยากนั่งเป็นที่สุด แต่เราก็ต้องรอคิวกว่าจะได้กินก็เกือบ 3 ทุ่ม ต้องรอกันเป็นชั่วโมงกันเลยทีเดียว ระหว่างรอ เราก็ชะแว้บไปซื้อของ ปล่อยแม่และน้ารอคิวไป ระหว่างรอนี้ ทางร้านก็เอาเมนูมาให้สั่งเลย เวลาเข้าไปนั่ง อาหารก็จะมาเลยทันที ส่วนหนึ่งก็เพื่อบริการที่ทันใจลูกค้า แต่คาดว่าเหตุผลหลักก็คือจะพยายามกำจัดลูกค้าไปจากร้านเร็ว ๆ เพื่อจะได้รับลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น (เขียนด้วยความชื่นชมในการจัดการนะ ไม่ได้กัด) มื้อนี้เป็นมื้อที่แพงที่สุดตั้งแต่กินมาทุกมื้อเลย แพงมาก แต่อาหารอร่อยสมกะที่รอมาเลย



คืนนี้ แม้ว่าจะอิ่มจุกแล้ว แต่พอกลับไปที่พัก ร้านของทอดตรงข้ามโรงแรมเริ่มคึกคักแล้ว ของกินเริ่มส่งกลิ่นยั่วยวนกระเพาะอีกแล้ว ทนไม่ไหว แว้บไปซื้อมาชิมซะหน่อย ร้านนี้เขามีของชุบแป้งทอดหลายอย่าง ทั้งปลาหมึก ชีส ไก่ส่วนต่าง ๆ เลยกินไก่ไป 1 ชีสอีก 1 เซ็ท แล้วเข้านอนอย่างสบายใจ

วันที่ 4 พิพิธภัณฑ์กู้กง

วันนี้ก็คงเก็บตกที่ที่ยังไม่ได้ไปเที่ยวในไทเป คือพิพิธภัณฑ์กู้กง และที่อื่น ๆ แล้วแต่เวลาจะมี โดยเริ่มต้นสาย ๆ ด้วยที่แรกคือที่พิพิธภัณฑ์ โดยนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Shillin แล้วต่อรถเมล์สาย R 30 หน้าร้าน watson นั่งสุดสายไปเลย รถจะเข้าไปส่งภายในพิพิธภัณฑ์เลย ไม่ต้อเดินตากแดดเข้าไป แล้วเราก็เข้าไปซื้อตั๋วเข้าชม
ภายในไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป ทางเดินในพิพิธภัณฑ์เป็นไปอย่างสับสนงงงวย ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นที่ไหนก่อนดี ก็เลยจิ้มมั่ว ๆ ไปซักห้องหนึ่งแล้วเดินตามลูกศรไป แต่ก็งง ๆ อยู่ว่า เราจะเดินครบได้ยังไง
ของชิ้นเด่น ๆ คือ หินรูปหมูสามชั้น ซื่งเหมือนของจริงมากๆ และผักกาดขาวทำจากหยกแกะสลัก มีแมลเกาอยู่ด้วย ทำได้สวยมากจริง ๆ ส่วนของอื่น ๆ ก็มีความสวยงามละเอียด ปราณีตมาก โดยเฉพาะงานแกะสลักต่าง ๆ จากงาช้าง
ไม่คิดเลยว่าเราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานกว่า 4 ชั่วโมง เสร็จแล้วเราก็นั่งรถเมล์สายเดิมมาลงที่เดิม แล้วก็หาอาหารกินแถวนั้น

มื้อบ้าน ๆ ตรงป้ายรถเมล์


เสร็จแล้วคาดว่าคงไปเที่ยวที่ไหนไม่ค่อยได้ ก็เลยกลับไปเก็บตกเดินแถว main station ใกล้ ๆ ที่พัก กินไอติม Coldstone เล่น ๆ รอเวลาออกไปสนามบิน เราคาดว่าคงต้องออกไปสนามบินประมาร บ่าย 3 โมง โดยนั่งรถไฟความเร็วสูงไป จะได้กำหนดเวลาที่แน่นอนได้ ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะดันไปหลงทางแถว ๆ สนามบิน คือลงรถผิด Terminal เลยต้องหาทางเดินกันไป กว่าจะถึงก็พอดีเวลาเช็คอิน

ปิดท้ายทริปนี้ด้วยน้องคิตตี้ ตรงที่รอขึ้นเครื่อง จัดเป็น theme Kitty ตั้งแต่เก้าอี้ไปเลยทีเดียว น่ารักมากสำหรับสาวกแมวสาวสีชมพู



Create Date : 04 พฤษภาคม 2554
Last Update : 5 พฤษภาคม 2554 14:05:04 น. 2 comments
Counter : 2553 Pageviews.

 
ชอบตุ๊กตาเห็ดใช่ป่าว อิอิ


โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 4 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:54:16 น.  

 
อุ๊ย มันคือตุ๊กตาหินนะคะ หัวมันคือหินค่ะ ไม่ใช่หัวเห็ดหอมนะ แม้ว่าจะเหมือนมากก็ตาม


โดย: นู๋Poopy วันที่: 5 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:04:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นู๋Poopy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




http://fastwebcounter.com
Friends' blogs
[Add นู๋Poopy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.